'ไปถ่ายช้างกัน'
เป็นประโยคที่พิมพ์กันบ่อยใน Group Line ถ่ายรูปพักนึง
จนมานัดกันจะไปถ่ายได้เป็นเรื่องเป็นราวเมื่อช่วงต้นเมษาที่ผ่านมา แหมะ นัดกันได้ฤดูร้อนพอดี๊...พอดี
พอเค้าตกลงจะไปกันได้ เค้าก็ move ไปคุยใน Group ผู้ชายกัน ไผ่ก็เลย Lost Trip นี้ไปพักนึง จนพี่ปุ่นมาบอกว่า
"เดี๋ยวอาทิตย์นี้จะไปถ่ายช้างกันนะ"
ลูกไผ่: "อ่าาา ไปถ่ายที่เขาใหญ่เหรอคะ"
พี่ปุ่น: "เอ๊...ไม่แน่ใจนะ แต่รู้สึกว่าจะเป็นเขาแหลมหญ้านะ"
ลูกไผ่: เหหห ที่นั่นมีช้างเยอะเหรอคะ
พี่ปุ่น: ที่โล่งๆฟ้าเปิดก็ถ่ายได้ทั้งนั้นแหละไผ่
??? ช้างมันชอบอยู่ที่โล่งๆ ฟ้าเปิดๆเหรอวะเนี่ย ???
ลูกไผ่: "นึกว่าจะไปถ่ายที่เขาใหญ่ซะอีก ตอนไผ่ไปออกกอง เค้าก็บอกว่าเขาใหญ่มีช้างออกมาเดินด้วย"
ยัง ยัง ยังไม่เลิกความตั้งใจ
พี่ปุ่น: เดี๋ยวๆๆนะ ช้างที่ว่านี่เค้าหมายถึง 'ทางช้างเผือก' นะ 555
อ้าววววว ก็นึกว่าถ่ายช้างเป็นโขลงๆมาตลอดเลยยย
โอเคๆ ไผ่ก็กะว่าเค้าคงอยากไปถ่ายแบบผู้ชายๆกัน ไม่อยากไปให้มีห่วง จะได้ถ่ายรูปกันเต็มที่ แต่สรุปว่าน้องที่จะไปด้วยกันจะเอาแฟนไปด้วย ไผ่ก็เลยลังเลอยู่พักนึง ใจนึงก็อยากไป แต่อีกใจนึงก็ขี้เกียจขับรถ มันตั้งระยองนู้นนนแน่ะ ยังไม่เคยขับไปเลย
สุดท้าย ต้านทานความอยากเที่ยวตัวเองไม่ได้
"พี่ปุ่นๆ ไผ่ไปด้วยยยย" 555
ปะ เดี๋ยวจะพาไปถ่ายช้าง!
สรุปทริปนี้ไปกันทั้งหมด 6 คน เอารถไป 2 คัน
คันของ 'พี่โด่ง' จะไปรับน้องๆอีก 3 คนที่ชลบุรี ส่วนคันไผ่มีไผ่กับพี่ปุ่น
พี่โด่งนัดออกจากกรุงเทพ 9 โมง กะว่าไปเจอกันที่ชลบุรีประมาณ 11 โมง
โอเค ได้เลยค่ะ ตามนี้!
Day 1:
11 โมงของวันเสาร์ ไผ่กับพี่ปุ่นเพิ่งตื่นจ้าาาา 555
รีบ line ไปบอกพี่โด่ง
พี่ปุ่น - เดี๋ยวเจอกันระยองเลยนะพี่โด่ง
พี่โด่ง - พี่กะไว้ละ 555
นั่นไง พี่เค้าคงชินกับอิ 2 ตัวนี้แล้วสินะ ตื่นสายทุกทริป 555
พี่โด่ง - รถติดมากก พี่ยังไม่ถึงชลบุรีเลย
โอเค อย่างน้อยพี่โด่งก็ยังไม่ถึงชลบุรี เราก็ชิลกันไป ตื่นมา อาบน้ำ แต่งตัว จัดของลงกระเป๋า (ก่อนออกบ้านอีกแล้ว) โดยกะว่าคืนนี้ต้องนอนเต๊นท์แน่ๆ
เสร็จเดินออกมาทานข้าวหน้าคอนโด แล้วก็ออกเดินทางประมาณเที่ยงครึ่ง เป็นคนตรงต่อเวลาเคอะ! 555
ไผ่เลือกใช้เส้นทางด่วนบูรพวิถี เอาแบบไม่ผ่านมอเตอร์เวย์ เพราะกลัวไปเจอรถติด พอพ้นทางด่วนก็พึ่งพี่ Google งมทางกันไป ทางไประยองเป็นทางขึ้นๆลงๆ สองข้างทางวิวสวยดีอ่ะ ขับๆไป ประมาณบ่ายสามโมงครึ่งก็ถึงระยอง ระหว่างทางก็คุยกับพี่โด่งเรื่อย สรุปเราเข้าระยองมาเวลาไล่เลี่ยกันเลย 555
พอเข้าระยอง เราก็พึ่งพาพี่ google กันต่อไป พอ search ว่าเขา 'อุทยานเขาแหลมหญ้า' มันก็ปักไปที่เกาะเสม็ด
เอาละไง
ลูกไผ่: "แล้วเราต้องเอารถไปจอดไว้ไหนอ่ะคะ"
"ละมันจะมีเรือข้ามฟากไปใช่ป่ะคะ"
"พี่ปุ่นลองถามพี่โด่งดูสิคะ"
พี่ปุ่น: "เดี๋ยวลองถามดู"
น้องในกรุ๊ปตอบแทนมาว่า 'เอารถเข้าไปจอดข้างในอุทยานได้เลยพี่'
มันเป็นเกาะ แล้วจะเอารถเข้าไปจอดในอุทยานยังไงหว่า หรือว่ามันมีทางที่รถขับไปได้ไม่ต้องนั่งเรือ งมๆกันไป เชื่อพี่ google บ้าง ดูป้ายข้างทางบ้าง
อ้าว นี่ไง อุทยานเขาแหลมหญ้า! ก็ไม่ต้องข้ามเกาะนี่
เอาอีกแล้วนะ google เล่นกุอีกแล้วนะ -"-
ค่าเข้าอุทยานคนละ 40 บาท ละต้องเสียค่ารถยนต์เข้าไปอีกคันละ 30 บาท
- สรุปเราเสียค่าเข้าไป 110 บาท
อุทยานเปิดให้เข้าไปข้างในได้ถึง 6 โมงเย็น
ถ้าจะออกมาต้องออกมาก่อน 4 ทุ่มนะ
พอขับรถขึ้นไปข้างบน พี่เจ้าหน้าที่อุทยานก็กั้นไม่ให้เราขับรถลงไปที่หาด เราก็เลยต้องจอดตรงที่จอดรถด้านบน มองไปรถคันที่จอดฝั่งตรงข้าม มีลิงนั่งอยู่บนหลังคา ปีนไป ปีนมา นั่งเคี้ยวอะไรซักอย่างหยุบหยับๆ อย่างสบายใจ
เดี๋ยวรถเราก็คงชะดากรรมเดียวกันสินะ - -"
เราจอดรถแล้วก็เดินตามถนนลงมา ทางชันน่าดู ไผ่ขับลงมานี่น่าจะมีหวาดเสียวอยู่
ที่หาดคนไม่เยอะอย่างที่คิด ลมโชย เงียบสงบดี
เราโทรหาพี่โด่ง แกบอกว่าให้เดินมาตาม 'เส้นทางศึกษาธรรมชาติ' มันเป็นทางเลาะทะเล ที่มีสะพานไม้ให้เดิน สลับกับต้องปีนโขดหินเอาเอง
เราเลยเดินตามไป กะว่าจะ survey เส้นทางก่อน ละพี่ปุ่นจะกลับไปเอาขาตั้งกล้องมาถ่ายจริงจัง ทางเดินเลาะทะเลก็อย่างที่เห็น มีโขดหินที่ต้องปีนป่ายกันไป ไผ่นี่ขาล้าจากขับรถมาก็ปีนแบบเก้ๆ กังๆ
พี่ปุ่น: "เหยียบไปเลยไผ่ มั่นใจๆ ละเดินไปเลย อย่าไปลังเล"
สิ้นเสียงนั้น พี่ปุ่นก็กระโดดโหยงๆ ไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว
เกิดเป็นแฟนพี่ปุ่นต้องหัดช่วยเหลือตัวเองให้ได้สินะ!
โขดหง โขดหินก็เกาะๆมันไป สู้ต่อไปนะไผ่ T^T
ปีนๆเก้ๆกังๆกันไป เราก็มาเจอพี่โด่งและน้องๆที่ปลายทาง 'เขาแหลมหญ้า' ข้างบนเป็นเขา มีหญ้าแห้งเต็มไปหมด ลมแรง ปลายหญ้าก็ไหวตามลม เพราะอย่างนี้รึเปล่าหว่า เค้าถึงชื่อว่า 'เขาแหลมหญ้า'
พอเจอกัน พี่โด่งก็บอก "มาๆๆ มาถ่าย selfie หมู่กันหน่อยสิ โทรศัพท์ใครถ่ายสวยอ่ะเอามาถ่ายหน่อย"
คือ...การ selfie หมู่เนี่ย มันไม่ใช่แค่ที่โทรศัพท์ใครถ่ายสวยแงะ แต่ถ้าใครควักโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วเนี่ย ต้องเป็นผู้เสียสละพลีชีพ หน้าบานอยู่หน้าสุดไง
ทุกคนนิ่งเงียบ ไม่มีใครควักโทรศัพท์ซ้ากกกคน 555 เอาวะ ไผ่ก็ได้วะ หน้าก็บานอยู่แล้ว มาอยู่ข้างหน้าคิดว่าจะเหลือเหรอ เต็มจอสิค้า
ใครจะลง ลงไปเลยค่า ไผ่ไม่ลง จบนะ! ขอจบการพลีชีพแต่เพียงเท่านี้ 555
ช่วงที่เราเดินสำรวจเส้นทาง เป็นช่วงเย็นพอดี พระอาทิตย์สะท้อนน้ำกำลังสวยเลย
พอปีนสูงขึ้นไปอีก วิวก็ยิ่งสวยมากๆ น้ำทะเลมันสีน้ำเงินเข้ม แจ่มมากจริงๆ
ถ่ายรูปพอเป็นพิธี ก็เดินกลับไปเอาขาตั้งกล้องกัน ทางเดินกลับเราไม่ต้องเดินย้อนกลับทางโขดหินทางเดิมก็ได้ แต่เราปีนเขากลับอีกทางได้จ้า
เลือกเอาจะปีนโขดหิน หรือ ปีนเขา
อ่ะ ลองเส้นทางใหม่ละกัน ไหนๆก็มาละเดินมันให้ครบ!
พอผ่านพ้นช่วงปีนป่ายเขาขึ้นมาได้แล้ว เราจะเจอทางเดินเป็นอุโมงต้นไม้ ค่อยเดินสบายหน่อย ทางร่มรื่น ไม่ลาดชันมาก
มีต้นไม้ใหญ่บังแดดให้นี่มันดีจริงๆ
เราเดินตรงทางอุโมงค์ต้นไม้พักใหญ่ๆ ก็มาโผล่ตรงต้นทาง จะเรียกว่าจุดชมวิวอย่างไม่เป็นทางการก็ได้ เพราะมันมองลงไปเห็นสะพานด้านล่างรับกับทะเลที่กวาง กว่าง กว้าง กว๊างงงงงสุดลูกหูลูกตา
จริงๆ ทางมันทะลุกันหมด เราจะเดินจากทางอุโมงค์ต้นไม้แล้วเดินกลับทางโขดหินก็ได้
เลือกเดินได้ตามใจชอบเลยจ้า
ที่นี่เค้าจะมีเต๊นท์ของอุทยานกางไว้ให้นักท่องเที่ยวเช่าอยู่ริมทะเลเเลย แบบว่าตื่นเช้าโผล่หน้ามาจากเต๊นท์นี่ได้เห็นวิวทะเลจะๆ เลย นี่มันวิวดีกว่าโรงแรมฝั่ง sea view อีกนะนี่!
แต่ตอนเราไปถึงเต๊นท์อุทยานเต็มหมดทุกหลังแล้วจ้าา สวัสดี T^T
แต่แล้ว โชคก็ช่วยเรา น้องที่มาด้วยกันเค้าเดินไปถามร้านค้า (ซึ่งมีอยู่ 2 ร้านในอุทยาน ร้านนึงขายน้ำ ขนม และมาม่า ส่วนอีกร้านขายเหมือนกัน แต่ว่าเป็นร้านอาหารด้วย) เค้ามีเต๊นท์ของเจ้าหน้าที่ให้เราเช่าอีก 2 เต๊นท์!
สรุปเราเสียค่าที่พักไป
- เต๊นท์ หลังละ 200 บาท
- เสื่อ ผืนละ 30 บาท
- ผ้าห่ม ผืนละ 30 บาท 2 ผืน
- หมอน ใบละ 20 บาท 2 ใบ
เบ็ดเสร็จแล้ว ค่าที่พักคืนนี้ 330 บาท
พอจัดการเรื่องเต๊นท์เสร็จ พี่โด่ง น้องๆ พี่ปุ่น ก็เดินขึ้นไปที่รถเพื่อไปหยิบขาตั้งกล้อง พอลงมาแล้ว ทุกคนก็ซื้อมาม่าคัพมาทานเป็นข้าวเย็น ละก็พากันเดินย้อนไปที่ 'เส้นทางศึกษาธรรมชาติ' เพื่อถ่ายรูปกันอีกครั้ง
ยกเว้น....เราและพี่ปุ่น 555
พี่ปุ่น: "ร้านอาหาร (ซึ่งมีร้านเดียว) รู้สึกว่าเค้าจะเขียนไว้ว่าปิด 6 โมงนะ"
ลูกไผ่: "โห งั้นเราไปเดินลงมาเค้าท่าจะปิดแล้วแน่เลยค่ะนี่"
พี่ปุ่น: "นั่นสิ ไผ่หิวมั้ย"
ลูกไผ่: "ก็นิดนึงอ่ะค่ะ แค่กลัวว่าลงมาแล้วเดี๋ยวจะไม่มีอะไรทานแล้วอ่ะค่ะ"
พี่ปุ่น: "ปะ งั้นทานก่อนเลยละกัน ละเดี๋ยวค่อยเดินตามไป"
นั่นไง...กองทัพมันต้องเดินด้วยท้องไง
สังข้าวผ่านไปเกือบชั่วโมง ข้าวก็ยังไม่มา จนแสงจะหมดละ
ลูกไผ่: "พี่ปุ่นคะ เค้าลืมของเราป่าว แสงจะหมดแล้วนะ เดี๋ยวพี่ปุ่นไม่ได้ไปถ่ายรูป"
พี่ปุ่น: "ไม่เป็นไรหรอก เราไม่ซีเรียส เดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยถ่ายก็ได้"
ชิลตลอด 2 ตัวนี้ ตั้งแต่ตอนออกตัวจากกรุงเทพละ - -"
ลูกไผ่: "เฮ้ยยย นานไปแล้วอ่ะ เดี๋ยวไผ่ไปถาม"
คือเราเห็นเค้าทำข้าวกล่องเป็น 20 กล่องให้คนที่มาทีหลังไปหลายคนแล้วแงะ
ลูกไผ่: "โทษนะคะ เมื่อกี้สั่งไปยังไม่ได้เลยอ่ะค่ะ คือนานมากแล้วอ่ะค่ะ"
แม่ค้า: "สั่งอะไรไปนะ"
เราก็บอกเมนูไป แม่ค้าก็มาดูที่จดไว้ แล้วหันไปหาแม่ครัว "อุ๋ย นี่ลืมทำของเค้าน่ะ" "เดี๋ยวทำต่อให้เลยค่ะ"
ณ จุดนั้น เราเริ่มโมโหหิว เสียงเริ่มขุ่นขึ้นมา สีหน้าเริ่มไป
ลูกไผ่: "อีกนานมั้ยอ่ะคะ"
"คือได้ทำไปบ้างรึยังคะ"
พี่ปุ่นเห็นท่าจะไม่ดี "ไผ่ๆ มานั่งๆ เดี๋ยวเราคุยเอง"
ไปละผู้เจรจา เสียงเป็นมิตรต่างจากเราลิบลับ 555
ในที่สุดเราก็ได้ทาน เย้!
ทานเสร็จฟ้าก็มืดตึ๊ดตื๋อ เราก็เลยมาเดินถ่ายรูปรับลมตรงสะพานแทน
เราไม่มีขาตั้งกล้อง เราก็เลยใช้วิธีนั่งลงกับพื้นแล้วเอากล้องวางบนเข่า ก็เลยได้รูปกล้อมแกล้มมาอย่างที่เห็น
เฮ้ยยย นั่นมันแสงเหนือเหมือนที่ไอซ์แลนด์เลยนี่!
เปล่า!
ไฟจากเรือไดหมึกมันสะท้อนขึ้นฟ้าอ่ะ 555
นั่งๆถ่ายไป เราก็ได้กลิ่นตุๆลอยมา
ลูกไผ่: พี่ปุ่นๆ ไผ่ได้กลิ่นขี้หมาอ่ะ
พี่ปุ่น: เราไม่เห็นได้กลิ่นเลย
เราเริ่มหันสาย หันขวา นั่นไง ห่างแค่เพียงเอื้อมมือออ....
เรานี่กระโดดตัวลอยลุกขึ้นมาเลย
ลูกไผ่: อี๊....นี่ไง ไผ่ว่าละ ไผ่ได้กลิ่นมาจากไหน ดีนะไผ่ไม่นั่งทับไป
ใครจะไปถ่ายรูปตรงสะพานตอนกลางคืน ระวังขี้หมาด้วยนะแจ๊ะ เราเจองี้ไป 2 รอบ แต่ละกองนี่ฉิวเฉียดทั้งน๊านนน เดชะบุญที่ไม่นั่งทับ
ถ่ายไปซักพัก พี่ๆน้องๆก็ลงมากันแล้ว เราเลยว่าจะเดินกลับไปสมทบ พอเราเดินหันหลังไปเท่านั้นแหละ
แคล่ก...คลุก คลุก คลุก แก๊ง แก๊ง......!!!
เราตกใจรีบหันไปมอง
"อะไรอ่ะคะ!"
พี่ปุ่น: กล้องร่วง
กล้องกับขาตั้งพี่ปุ่นโดนลมพัดตกเนินหินลงไปทั้งเซ็ต!
พี่ปุ่น: โอย....
ข้อดีของพี่ปุ่นคือเป็นคนคุมสติดีมาก ไม่มีร้อง ไม่มีโวยวาย คือทั้งเซ็ทนั่นน่ะ ไม่รู้กี่หมื่น พี่ปุ่นก็ยังค่อยๆเดินลงไปเก็บ แล้วพยายามฉายไฟหายชิ้นส่วนน็อตตัวเล็กๆ
เลิก เดินกลับไปสำรวจความเสียหาย 555
โชคดีที่กล้องไปเป็นไร แต่เลนส์นี่ส่งซ่อมไปเรียบร้อยจ้า
พอกลับมานั่งคุยๆกับชาวแก๊งค์ซักพัก เราก็แยกย้ายไปอาบน้ำกัน อาบน้ำเสร็จพี่โด่งกับน้องผู้ชายอีก 2 คนเค้าบอกจะไม่นอน จะไปตั้งกล้องรอถ่ายช้าง ส่วนไผ่กับพี่ปุ่นและแฟนของน้องแยกย้ายเข้าเต๊นท์นอนจ้า 555
เนื่องจากนี่ไม่ใช่การนอนเต๊นท์ในฤดูหนาว เราเลยต้องเปิดหน้าต่างเต๊นท์ทั้ง 2 ด้านให้ลมเข้า ไม่งั้นอาจมีหายใจไม่ออกกันไปข้าง
นี่เป็นการนอนเต๊นท์ในรอบ 10 ปีของเราเลยนะ ไม่ได้นอนมานานมากแล้ว
[CR] ทริปไต่โขดหิน ปีนเขาที่ "เขาแหลมหญ้า" จ.ระยอง
เป็นประโยคที่พิมพ์กันบ่อยใน Group Line ถ่ายรูปพักนึง
จนมานัดกันจะไปถ่ายได้เป็นเรื่องเป็นราวเมื่อช่วงต้นเมษาที่ผ่านมา แหมะ นัดกันได้ฤดูร้อนพอดี๊...พอดี
พอเค้าตกลงจะไปกันได้ เค้าก็ move ไปคุยใน Group ผู้ชายกัน ไผ่ก็เลย Lost Trip นี้ไปพักนึง จนพี่ปุ่นมาบอกว่า
"เดี๋ยวอาทิตย์นี้จะไปถ่ายช้างกันนะ"
ลูกไผ่: "อ่าาา ไปถ่ายที่เขาใหญ่เหรอคะ"
พี่ปุ่น: "เอ๊...ไม่แน่ใจนะ แต่รู้สึกว่าจะเป็นเขาแหลมหญ้านะ"
ลูกไผ่: เหหห ที่นั่นมีช้างเยอะเหรอคะ
พี่ปุ่น: ที่โล่งๆฟ้าเปิดก็ถ่ายได้ทั้งนั้นแหละไผ่
??? ช้างมันชอบอยู่ที่โล่งๆ ฟ้าเปิดๆเหรอวะเนี่ย ???
ลูกไผ่: "นึกว่าจะไปถ่ายที่เขาใหญ่ซะอีก ตอนไผ่ไปออกกอง เค้าก็บอกว่าเขาใหญ่มีช้างออกมาเดินด้วย"
ยัง ยัง ยังไม่เลิกความตั้งใจ
พี่ปุ่น: เดี๋ยวๆๆนะ ช้างที่ว่านี่เค้าหมายถึง 'ทางช้างเผือก' นะ 555
อ้าววววว ก็นึกว่าถ่ายช้างเป็นโขลงๆมาตลอดเลยยย
โอเคๆ ไผ่ก็กะว่าเค้าคงอยากไปถ่ายแบบผู้ชายๆกัน ไม่อยากไปให้มีห่วง จะได้ถ่ายรูปกันเต็มที่ แต่สรุปว่าน้องที่จะไปด้วยกันจะเอาแฟนไปด้วย ไผ่ก็เลยลังเลอยู่พักนึง ใจนึงก็อยากไป แต่อีกใจนึงก็ขี้เกียจขับรถ มันตั้งระยองนู้นนนแน่ะ ยังไม่เคยขับไปเลย
สุดท้าย ต้านทานความอยากเที่ยวตัวเองไม่ได้
"พี่ปุ่นๆ ไผ่ไปด้วยยยย" 555
ปะ เดี๋ยวจะพาไปถ่ายช้าง!
สรุปทริปนี้ไปกันทั้งหมด 6 คน เอารถไป 2 คัน
คันของ 'พี่โด่ง' จะไปรับน้องๆอีก 3 คนที่ชลบุรี ส่วนคันไผ่มีไผ่กับพี่ปุ่น
พี่โด่งนัดออกจากกรุงเทพ 9 โมง กะว่าไปเจอกันที่ชลบุรีประมาณ 11 โมง
โอเค ได้เลยค่ะ ตามนี้!
Day 1:
11 โมงของวันเสาร์ ไผ่กับพี่ปุ่นเพิ่งตื่นจ้าาาา 555
รีบ line ไปบอกพี่โด่ง
พี่ปุ่น - เดี๋ยวเจอกันระยองเลยนะพี่โด่ง
พี่โด่ง - พี่กะไว้ละ 555
นั่นไง พี่เค้าคงชินกับอิ 2 ตัวนี้แล้วสินะ ตื่นสายทุกทริป 555
พี่โด่ง - รถติดมากก พี่ยังไม่ถึงชลบุรีเลย
โอเค อย่างน้อยพี่โด่งก็ยังไม่ถึงชลบุรี เราก็ชิลกันไป ตื่นมา อาบน้ำ แต่งตัว จัดของลงกระเป๋า (ก่อนออกบ้านอีกแล้ว) โดยกะว่าคืนนี้ต้องนอนเต๊นท์แน่ๆ
เสร็จเดินออกมาทานข้าวหน้าคอนโด แล้วก็ออกเดินทางประมาณเที่ยงครึ่ง เป็นคนตรงต่อเวลาเคอะ! 555
ไผ่เลือกใช้เส้นทางด่วนบูรพวิถี เอาแบบไม่ผ่านมอเตอร์เวย์ เพราะกลัวไปเจอรถติด พอพ้นทางด่วนก็พึ่งพี่ Google งมทางกันไป ทางไประยองเป็นทางขึ้นๆลงๆ สองข้างทางวิวสวยดีอ่ะ ขับๆไป ประมาณบ่ายสามโมงครึ่งก็ถึงระยอง ระหว่างทางก็คุยกับพี่โด่งเรื่อย สรุปเราเข้าระยองมาเวลาไล่เลี่ยกันเลย 555
พอเข้าระยอง เราก็พึ่งพาพี่ google กันต่อไป พอ search ว่าเขา 'อุทยานเขาแหลมหญ้า' มันก็ปักไปที่เกาะเสม็ด
เอาละไง
ลูกไผ่: "แล้วเราต้องเอารถไปจอดไว้ไหนอ่ะคะ"
"ละมันจะมีเรือข้ามฟากไปใช่ป่ะคะ"
"พี่ปุ่นลองถามพี่โด่งดูสิคะ"
พี่ปุ่น: "เดี๋ยวลองถามดู"
น้องในกรุ๊ปตอบแทนมาว่า 'เอารถเข้าไปจอดข้างในอุทยานได้เลยพี่'
มันเป็นเกาะ แล้วจะเอารถเข้าไปจอดในอุทยานยังไงหว่า หรือว่ามันมีทางที่รถขับไปได้ไม่ต้องนั่งเรือ งมๆกันไป เชื่อพี่ google บ้าง ดูป้ายข้างทางบ้าง
อ้าว นี่ไง อุทยานเขาแหลมหญ้า! ก็ไม่ต้องข้ามเกาะนี่
เอาอีกแล้วนะ google เล่นกุอีกแล้วนะ -"-
ค่าเข้าอุทยานคนละ 40 บาท ละต้องเสียค่ารถยนต์เข้าไปอีกคันละ 30 บาท
- สรุปเราเสียค่าเข้าไป 110 บาท
อุทยานเปิดให้เข้าไปข้างในได้ถึง 6 โมงเย็น
ถ้าจะออกมาต้องออกมาก่อน 4 ทุ่มนะ
พอขับรถขึ้นไปข้างบน พี่เจ้าหน้าที่อุทยานก็กั้นไม่ให้เราขับรถลงไปที่หาด เราก็เลยต้องจอดตรงที่จอดรถด้านบน มองไปรถคันที่จอดฝั่งตรงข้าม มีลิงนั่งอยู่บนหลังคา ปีนไป ปีนมา นั่งเคี้ยวอะไรซักอย่างหยุบหยับๆ อย่างสบายใจ
เดี๋ยวรถเราก็คงชะดากรรมเดียวกันสินะ - -"
เราจอดรถแล้วก็เดินตามถนนลงมา ทางชันน่าดู ไผ่ขับลงมานี่น่าจะมีหวาดเสียวอยู่
ที่หาดคนไม่เยอะอย่างที่คิด ลมโชย เงียบสงบดี
เราโทรหาพี่โด่ง แกบอกว่าให้เดินมาตาม 'เส้นทางศึกษาธรรมชาติ' มันเป็นทางเลาะทะเล ที่มีสะพานไม้ให้เดิน สลับกับต้องปีนโขดหินเอาเอง
เราเลยเดินตามไป กะว่าจะ survey เส้นทางก่อน ละพี่ปุ่นจะกลับไปเอาขาตั้งกล้องมาถ่ายจริงจัง ทางเดินเลาะทะเลก็อย่างที่เห็น มีโขดหินที่ต้องปีนป่ายกันไป ไผ่นี่ขาล้าจากขับรถมาก็ปีนแบบเก้ๆ กังๆ
พี่ปุ่น: "เหยียบไปเลยไผ่ มั่นใจๆ ละเดินไปเลย อย่าไปลังเล"
สิ้นเสียงนั้น พี่ปุ่นก็กระโดดโหยงๆ ไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว
เกิดเป็นแฟนพี่ปุ่นต้องหัดช่วยเหลือตัวเองให้ได้สินะ!
โขดหง โขดหินก็เกาะๆมันไป สู้ต่อไปนะไผ่ T^T
ปีนๆเก้ๆกังๆกันไป เราก็มาเจอพี่โด่งและน้องๆที่ปลายทาง 'เขาแหลมหญ้า' ข้างบนเป็นเขา มีหญ้าแห้งเต็มไปหมด ลมแรง ปลายหญ้าก็ไหวตามลม เพราะอย่างนี้รึเปล่าหว่า เค้าถึงชื่อว่า 'เขาแหลมหญ้า'
พอเจอกัน พี่โด่งก็บอก "มาๆๆ มาถ่าย selfie หมู่กันหน่อยสิ โทรศัพท์ใครถ่ายสวยอ่ะเอามาถ่ายหน่อย"
คือ...การ selfie หมู่เนี่ย มันไม่ใช่แค่ที่โทรศัพท์ใครถ่ายสวยแงะ แต่ถ้าใครควักโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วเนี่ย ต้องเป็นผู้เสียสละพลีชีพ หน้าบานอยู่หน้าสุดไง
ทุกคนนิ่งเงียบ ไม่มีใครควักโทรศัพท์ซ้ากกกคน 555 เอาวะ ไผ่ก็ได้วะ หน้าก็บานอยู่แล้ว มาอยู่ข้างหน้าคิดว่าจะเหลือเหรอ เต็มจอสิค้า
ใครจะลง ลงไปเลยค่า ไผ่ไม่ลง จบนะ! ขอจบการพลีชีพแต่เพียงเท่านี้ 555
ช่วงที่เราเดินสำรวจเส้นทาง เป็นช่วงเย็นพอดี พระอาทิตย์สะท้อนน้ำกำลังสวยเลย
พอปีนสูงขึ้นไปอีก วิวก็ยิ่งสวยมากๆ น้ำทะเลมันสีน้ำเงินเข้ม แจ่มมากจริงๆ
ถ่ายรูปพอเป็นพิธี ก็เดินกลับไปเอาขาตั้งกล้องกัน ทางเดินกลับเราไม่ต้องเดินย้อนกลับทางโขดหินทางเดิมก็ได้ แต่เราปีนเขากลับอีกทางได้จ้า
เลือกเอาจะปีนโขดหิน หรือ ปีนเขา
อ่ะ ลองเส้นทางใหม่ละกัน ไหนๆก็มาละเดินมันให้ครบ!
พอผ่านพ้นช่วงปีนป่ายเขาขึ้นมาได้แล้ว เราจะเจอทางเดินเป็นอุโมงต้นไม้ ค่อยเดินสบายหน่อย ทางร่มรื่น ไม่ลาดชันมาก
มีต้นไม้ใหญ่บังแดดให้นี่มันดีจริงๆ
เราเดินตรงทางอุโมงค์ต้นไม้พักใหญ่ๆ ก็มาโผล่ตรงต้นทาง จะเรียกว่าจุดชมวิวอย่างไม่เป็นทางการก็ได้ เพราะมันมองลงไปเห็นสะพานด้านล่างรับกับทะเลที่กวาง กว่าง กว้าง กว๊างงงงงสุดลูกหูลูกตา
จริงๆ ทางมันทะลุกันหมด เราจะเดินจากทางอุโมงค์ต้นไม้แล้วเดินกลับทางโขดหินก็ได้
เลือกเดินได้ตามใจชอบเลยจ้า
ที่นี่เค้าจะมีเต๊นท์ของอุทยานกางไว้ให้นักท่องเที่ยวเช่าอยู่ริมทะเลเเลย แบบว่าตื่นเช้าโผล่หน้ามาจากเต๊นท์นี่ได้เห็นวิวทะเลจะๆ เลย นี่มันวิวดีกว่าโรงแรมฝั่ง sea view อีกนะนี่!
แต่ตอนเราไปถึงเต๊นท์อุทยานเต็มหมดทุกหลังแล้วจ้าา สวัสดี T^T
แต่แล้ว โชคก็ช่วยเรา น้องที่มาด้วยกันเค้าเดินไปถามร้านค้า (ซึ่งมีอยู่ 2 ร้านในอุทยาน ร้านนึงขายน้ำ ขนม และมาม่า ส่วนอีกร้านขายเหมือนกัน แต่ว่าเป็นร้านอาหารด้วย) เค้ามีเต๊นท์ของเจ้าหน้าที่ให้เราเช่าอีก 2 เต๊นท์!
สรุปเราเสียค่าที่พักไป
- เต๊นท์ หลังละ 200 บาท
- เสื่อ ผืนละ 30 บาท
- ผ้าห่ม ผืนละ 30 บาท 2 ผืน
- หมอน ใบละ 20 บาท 2 ใบ
เบ็ดเสร็จแล้ว ค่าที่พักคืนนี้ 330 บาท
พอจัดการเรื่องเต๊นท์เสร็จ พี่โด่ง น้องๆ พี่ปุ่น ก็เดินขึ้นไปที่รถเพื่อไปหยิบขาตั้งกล้อง พอลงมาแล้ว ทุกคนก็ซื้อมาม่าคัพมาทานเป็นข้าวเย็น ละก็พากันเดินย้อนไปที่ 'เส้นทางศึกษาธรรมชาติ' เพื่อถ่ายรูปกันอีกครั้ง
ยกเว้น....เราและพี่ปุ่น 555
พี่ปุ่น: "ร้านอาหาร (ซึ่งมีร้านเดียว) รู้สึกว่าเค้าจะเขียนไว้ว่าปิด 6 โมงนะ"
ลูกไผ่: "โห งั้นเราไปเดินลงมาเค้าท่าจะปิดแล้วแน่เลยค่ะนี่"
พี่ปุ่น: "นั่นสิ ไผ่หิวมั้ย"
ลูกไผ่: "ก็นิดนึงอ่ะค่ะ แค่กลัวว่าลงมาแล้วเดี๋ยวจะไม่มีอะไรทานแล้วอ่ะค่ะ"
พี่ปุ่น: "ปะ งั้นทานก่อนเลยละกัน ละเดี๋ยวค่อยเดินตามไป"
นั่นไง...กองทัพมันต้องเดินด้วยท้องไง
สังข้าวผ่านไปเกือบชั่วโมง ข้าวก็ยังไม่มา จนแสงจะหมดละ
ลูกไผ่: "พี่ปุ่นคะ เค้าลืมของเราป่าว แสงจะหมดแล้วนะ เดี๋ยวพี่ปุ่นไม่ได้ไปถ่ายรูป"
พี่ปุ่น: "ไม่เป็นไรหรอก เราไม่ซีเรียส เดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยถ่ายก็ได้"
ชิลตลอด 2 ตัวนี้ ตั้งแต่ตอนออกตัวจากกรุงเทพละ - -"
ลูกไผ่: "เฮ้ยยย นานไปแล้วอ่ะ เดี๋ยวไผ่ไปถาม"
คือเราเห็นเค้าทำข้าวกล่องเป็น 20 กล่องให้คนที่มาทีหลังไปหลายคนแล้วแงะ
ลูกไผ่: "โทษนะคะ เมื่อกี้สั่งไปยังไม่ได้เลยอ่ะค่ะ คือนานมากแล้วอ่ะค่ะ"
แม่ค้า: "สั่งอะไรไปนะ"
เราก็บอกเมนูไป แม่ค้าก็มาดูที่จดไว้ แล้วหันไปหาแม่ครัว "อุ๋ย นี่ลืมทำของเค้าน่ะ" "เดี๋ยวทำต่อให้เลยค่ะ"
ณ จุดนั้น เราเริ่มโมโหหิว เสียงเริ่มขุ่นขึ้นมา สีหน้าเริ่มไป
ลูกไผ่: "อีกนานมั้ยอ่ะคะ"
"คือได้ทำไปบ้างรึยังคะ"
พี่ปุ่นเห็นท่าจะไม่ดี "ไผ่ๆ มานั่งๆ เดี๋ยวเราคุยเอง"
ไปละผู้เจรจา เสียงเป็นมิตรต่างจากเราลิบลับ 555
ในที่สุดเราก็ได้ทาน เย้!
ทานเสร็จฟ้าก็มืดตึ๊ดตื๋อ เราก็เลยมาเดินถ่ายรูปรับลมตรงสะพานแทน
เราไม่มีขาตั้งกล้อง เราก็เลยใช้วิธีนั่งลงกับพื้นแล้วเอากล้องวางบนเข่า ก็เลยได้รูปกล้อมแกล้มมาอย่างที่เห็น
เฮ้ยยย นั่นมันแสงเหนือเหมือนที่ไอซ์แลนด์เลยนี่!
เปล่า!
ไฟจากเรือไดหมึกมันสะท้อนขึ้นฟ้าอ่ะ 555
นั่งๆถ่ายไป เราก็ได้กลิ่นตุๆลอยมา
ลูกไผ่: พี่ปุ่นๆ ไผ่ได้กลิ่นขี้หมาอ่ะ
พี่ปุ่น: เราไม่เห็นได้กลิ่นเลย
เราเริ่มหันสาย หันขวา นั่นไง ห่างแค่เพียงเอื้อมมือออ....
เรานี่กระโดดตัวลอยลุกขึ้นมาเลย
ลูกไผ่: อี๊....นี่ไง ไผ่ว่าละ ไผ่ได้กลิ่นมาจากไหน ดีนะไผ่ไม่นั่งทับไป
ใครจะไปถ่ายรูปตรงสะพานตอนกลางคืน ระวังขี้หมาด้วยนะแจ๊ะ เราเจองี้ไป 2 รอบ แต่ละกองนี่ฉิวเฉียดทั้งน๊านนน เดชะบุญที่ไม่นั่งทับ
ถ่ายไปซักพัก พี่ๆน้องๆก็ลงมากันแล้ว เราเลยว่าจะเดินกลับไปสมทบ พอเราเดินหันหลังไปเท่านั้นแหละ
แคล่ก...คลุก คลุก คลุก แก๊ง แก๊ง......!!!
เราตกใจรีบหันไปมอง
"อะไรอ่ะคะ!"
พี่ปุ่น: กล้องร่วง
กล้องกับขาตั้งพี่ปุ่นโดนลมพัดตกเนินหินลงไปทั้งเซ็ต!
พี่ปุ่น: โอย....
ข้อดีของพี่ปุ่นคือเป็นคนคุมสติดีมาก ไม่มีร้อง ไม่มีโวยวาย คือทั้งเซ็ทนั่นน่ะ ไม่รู้กี่หมื่น พี่ปุ่นก็ยังค่อยๆเดินลงไปเก็บ แล้วพยายามฉายไฟหายชิ้นส่วนน็อตตัวเล็กๆ
เลิก เดินกลับไปสำรวจความเสียหาย 555
โชคดีที่กล้องไปเป็นไร แต่เลนส์นี่ส่งซ่อมไปเรียบร้อยจ้า
พอกลับมานั่งคุยๆกับชาวแก๊งค์ซักพัก เราก็แยกย้ายไปอาบน้ำกัน อาบน้ำเสร็จพี่โด่งกับน้องผู้ชายอีก 2 คนเค้าบอกจะไม่นอน จะไปตั้งกล้องรอถ่ายช้าง ส่วนไผ่กับพี่ปุ่นและแฟนของน้องแยกย้ายเข้าเต๊นท์นอนจ้า 555
เนื่องจากนี่ไม่ใช่การนอนเต๊นท์ในฤดูหนาว เราเลยต้องเปิดหน้าต่างเต๊นท์ทั้ง 2 ด้านให้ลมเข้า ไม่งั้นอาจมีหายใจไม่ออกกันไปข้าง
นี่เป็นการนอนเต๊นท์ในรอบ 10 ปีของเราเลยนะ ไม่ได้นอนมานานมากแล้ว