ก่อนอื่น จขกท. ต้องขอสวัสดี ทุกท่านที่เข้ามาเยี่ยมชมรีวิวในครั้งนี้นะคะ ครั้งนี้ได้เตรียมการมาประมาณ 2 เดือนได้ เริ่มจากหาอ่านรีวิว ดูราคาตั๋วเครื่องบิน หาวันหยุดยาวจนได้วันสงกรานต์ปีนี้สดๆร้อนๆ 7-16 เมษา 2016
จขกท. หาตั๋วไปสุราบายาตอนนั้นราคาแพงพอใช้ได้ เลยได้เส้นทาง ดอนเมือง จาการ์ต้า สุราบายา 2700 บาทมา แล้วจขกทตั้งใจจะนั่งเรือ ferry ข้ามไปบาหลี ราคาแค่ 30 บาท แล้วก็ไปเที่ยวสิงค์โปต่ออีก 2 วันแล้วค่อยกลับไทยค่ะ เพราะราคาตั๋วจากบาหลีมากทม. แพงมาก ช่วงนั้น กระทู้นี้ไม่ขอรีวิวสิงค์โปร์นะคะเพราะมีรีวิวเยอะแล้ว
ตอนที่ 2
http://ppantip.com/topic/35063304
Day 1 โอเคได้เวลาบินกันแล้วค่ะ เราออกเดินทางโดยสายการบินแอร์เอเชียตอน 20.55 ไปถึงที่จาการ์ต้าตอน 00.25 รอต่อเครื่องประมาณ 5 ชม. เพื่อจะบินไปสุราบายากันตอน ตี 5.55
จขกท.ได้จองโรงแรมถูกๆเอาไว้เก็บกระเป๋า อาบน้ำแต่งตัว ก่อนที่ประมาณเที่ยงคืนจะไปเจอเพื่อนๆอีกกลุ่มนึงที่สนามบิน แล้วออกเดินทางไปโบรโม่กัน พอเก็บข้าวเก็บของกันเสร็จ เราก็ออกเดินทางไปที่พิพิธพัณฑ์ House of Sampoerna เพื่อที่จะนั่งรถบัสฟรีพาเที่ยวชมเมือง มีรอบ 9.00 ด้วยแต่ จขกท.ไปไม่ทันเลยได้รอบ 13.00 มาแทนนะคะ
Day 2
ระหว่างรอเวลา ก็ได้เวลาเดินหาของกินเรื่อยเปื่อย ตามตลาดข้างๆ
น่าตาอาหาร เหมือนแกงเผ็ดบ้านเราแต่ไม่เผ็ด จืดๆ ก็พอกินได้ค่ะ
ระหว่างทางมีร้านขายขนม
ลักษณะจะเป็นเหมือนถั่วกวน ใส่น้ำกะทิแล้วก็น้ำแข็ง อร่อยดีนะคะ
เราคุยราคากันไม่ค่อยเข้าใจ ต้องกดตัวเลขกันไปตามระเบียบ
ภายในพิพิธภัณฑ์จะมี cafe อยู่ราคาแพงประมาณนึง ถ้าไม่คิดอะไรมาก นั่งตากแอร์ไปก็โอค่ะ
บรรยากาศข้างในค่ะ
เอาล่ะ ได้เวลารถออก นี่คือรถบัสที่จะพาเราเที่ยวนะคะ
จะมีไกด์ประจำรถคอยบรรยายตลอดการเดินทาง
และทุกคนจะต้องแขวนป้ายไว้เพื่อที่เขาจะได้ทราบว่าเราเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวรถคันนี้ค่ะ
ผ่านที่ต่างๆในสุราบายา
ที่แรกที่เขาจอดให้เราลงไปถ่ายรูปคือ Tugu Pahlawan หรือ Heroes Monument ซึ้งเป็นอนุสาวรีย์วีรบุรุษของเมืองสุราบายา
ไปต่อกันอีกที่ค่ะ ที่นี่คือ Gedung PTPN XI
สุดท้ายรถบัสก็จะไปส่งเราที่เดิมที่ House of Sampoerna เรากะว่าจะซื้อข้าวเย็นใส่ห่อไปกินที่โรงแรมเลย ไม่ออกมาแล้ว เนื่องด้วยอากาศร้อนแล้วเราก็ต้องเดินทางไปโบรโม่ อิเจี้ยนต่อ แล้วจะไม่ได้นอน เลยกลับมานอนพักเอาแรงกัน เราแวะซื้อ Nasi Ayam กลับไปค่ะ คนละ 6500 รูเปีย หรือประมาณ 17 บาท ถูกมาก ที่อินโดนะคะ Nasi จะแปลว่าข้าว ส่วน Ayam แปลว่าไก่
โดยรวมๆแล้วเราว่าสุราบายา ไม่ค่อยมีอะไรดึงดูดนักท่องเที่ยวซักเท่าไร คนส่วนใหญ่คงจะมาลงแล้วต่อไปโบรโม
Day 3 โบรโม่
เราได้ทำงานนัดคนขับรถ ก็หาจากเพื่อนในพันทิปนี่แหละค่ะ ส่งอิเมล์หาไปหลายทีมาก บ้างราคาได้พอคอนเฟิร์มแล้วก็หาย วุ่นวายไปหมด สุดท้ายเราเลยได้ arif คนนี้ตอบเร็ว เราให้เขามารับเราที่โรงแรมที่สุราบายาแล้วค่อยตรงไปรับเดอะแก๊งค์ที่สนามบินต่อ นี่คืออิเมล์ที่ติดต่อกับ arif นะคะ arif.travel35@yahoo.com วันจริง arif ไม่ได้มา แต่ส่งเพื่อนเค้ามาแทน เราก็เลยถามเขา เค้าบอกว่า arif มีรถตู้หลายคัน เค้าก็ขับเองบ้างให้เพื่อนมาขับบ้าง ราคาที่เราได้คือ 1500000 รูเปีย หรือประมาณ 4000 บาท เป็นรถตู้ ของเราไปกัน 6 คนค้ะ
โอเค ตอนนี้เราตัดมาตอนที่มารับทุกคนที่สนามบินแล้วพร้อมออกเดินทางนะคะ เวลาประมาณ 00.30 เราให้คนขับแวะซื้อขนม น้ำระหว่างทางเพื่อเป็นเสบียงกันค่ะ
ระหว่างทางประมาณ 3 ชม. กว่าๆ ก็หลับเอาแรงกันตลอดทาง ที่แรกที่จะไปคือ จุดชมวิว Panajakan viewpoint มาถึงกันก็ประมาณตี 4 แล้วก็ต้องต่อรถจิ๊บเพื่อขึ้นไปดูจุดชมวิวกัน เราก็เดินๆๆๆ ขึ้นไปยังจุดชมวิว ระหว่างทางก็จะมีร้านขายของ ขายข้าวโพดย่างบ้าง
พอเราขึ้นไปข้างบน ทุกคนต่างก็มานั่งจองคิว เพื่อที่จะได้เห็นพระอาทิตย์ขึ้นในจุดที่สวยที่สุด
ไม่นาน พระอาทิตย์ก็โผล่พ้นขอบฟ้า เผยให้เราได้ชมความงามของภูเขาไฟโบรโม่ที่ยังปะทุ เป็นภาพที่งดงามมากที่สุดภาพนึงค่ะ
เราถ่ายรูปกันเยอะมาก ไม่นาน ประมาณ 7 โมงเช้าก็ต้องรีบลงมาเพื่อที่จะนั่งรถจิ๊บ (ต่อไปนี้เราจะใช้รถจิ๊บเดินทางกันในระหว่างที่อยู่โบรโม่นะคะ) ไปยังปล่องภูเขาไฟ ระหว่างทางลงก็จะมีของขายเหมือนดอกไม้สดเอามาทำเป็นรูปต่างๆขาย
จากนั้น รถจิ๊บ พาเรามาจุดจอดรถจิ๊บ ตรงนี้เรามี 2 ทางเลือกที่จะเดินไปปากปล่องภูเขาไฟนะคะ 1.ขี่ม้า 2.เดินเอง
ตอนแรกเรากะว่าจะเดิน คนจูงม้าก็เดินตามเรามาเช่นกัน เดินไปเดินมาต่อราคากันไป ต่อราคากันมาได้ 40000 รูเปียหรือประมาณ 108 บาท เที่ยวเดียว เราเลยตกลงค่ะ
รถจิ๊บจะจอดตรงนี้ค่ะ
เดินๆๆกันไป ภูเขาด้านหลังสวยมาก อยากเก็บภาพๆนี้ไว้
สุดท้ายหนีไม่พ้น ได้เจ้าตัวนี้มาค่ะ
คนจูงม้าเขาโอเคมากค่ะ บอก give me your camera แล้วก็ถ่ายให้เราแบบทุกมุมจริงๆ
ม้าไม่สามารถขึ้นไปจนสุดได้นะคะ จะหยุดที่ตีนบันได
จะมีบันไดเพื่อที่จะขึ้นไปบนปากปล่องนะคะ จะมีจุดให้พักระหว่างทางเป็นพักๆ นี่คือมุมที่มองย้อนกลับมา
ในที่สุด เราก็มาถึงจนได้ภูเขาไฟโบรโม่ ลมหายใจของเทพเจ้า
ดูดดื่ม ซึมซับกับบรรยากาศรอบๆสักพัก เรามาแวะร้านขายน้ำระหว่างทาง จขกท. ซื้อวิตามินซี ทานค่ะ ทานแล้วชื่นใจมีแรงไปต่อ
จุดต่อไปคือ ทุ่งหญ้า Savanna
และนี่คือรถจิ๊บของเรา
ช่วงที่ไปเหมือนฝนจะตกนะคะ เมฆลอยมาต่ำมาก
แวะถ่ายรูปกันสักพัก ไปต่อกันเลยกับจุดต่อไปค่ะ Whispering Sand โดยส่วนตัวแล้ว จขกท.รู้สึกชอบที่ตรงนี้มาก มันเป็นจุดที่ไม่มีอะไร มองไปไกลสุดลุกหูลูกตา มันดูเคว้งคว้าง เหมือนหลุดไปอยู่อีกโลกนึง ชมภาพค่ะ
เสร็จแล้วเราก็นั่งรถยาวไปอิเจี้ยนกันต่อค่ะ คืนนี้เรานอนที่ Arabica Homestay อยู่ไกลจากอิเจี้ยนประมาณ 1 ชม. ราคา1500000 รูเปียที่บอกไปรวมโรงแรม 1 คืนด้วยนะคะ
Day 4 คาวาอิเจี้ยน
นอนหลับเอาแรงกันได้ไม่นาน ตี1 ก็ต้องออกเดินทางกันอีกแล้ว จากรร.ไปอิเจี้ยนประมาณ 1 ชม.ค่ะ ลงจากรถตู้ปุ๊บ เดินปั๊บ หนักเอาการ การเดินทางขึ้น จขกท.เป็นคนที่ไม่ค่อยออกกำลังกาย เพราะฉะนั้นจะเดินช้ามากและเหนื่อยง่ายมากเช่นกัน ราคาทัวร์ที่บอกไปรวมค่าไกด์ด้วยนะคะ ทางเดินขึ้นอิเจี๊ยน ไกด์บอกประมาณ 3 กิโล ใช้เวลาเดินประมาณ 3 ชม.ครึ่ง แต่ทางชันมาก สลับกับทางเรียบ เราต้องหยุดพักเป็นระยะๆ ไกด์เห็นเราเหนื่อย กลัวเดินไม่ไหวบอกว่ายูจะเดินกลับไหมหรือไปต่อ แต่ใจสู้ค่ะเพราะอยากขึ้นไปเชยชมความงามของคาวาอิเจี้ยนซักครั้งในชีวิต ขาสั่นมาก ลองดูนะคะ
ระหว่างทางมืดมาก อาศัยไฟฉายไปตลอดทาง
พอขึ้นมากถึง คนก็มานั่งรอพระอาทิตย์ขึ้นกันอีกเช่นเคย หมอก ควันเต็มไปหมด ไกด์แจกหน้ากากมาให้ใส่เพราะมันแสบจมูก แสบตามาก เราเอาแว่นตากันแดดไปด้วยไม่ค่อยแสบตาเท่าไร ครั้งนี้เราไปไม่ทันดู Blue fire นะคะ เพราะเสียเวลากับเราที่กว่าจะเดินขึ้นมาถึงข้างบน เราได้ลงไปดูทะเลสาบใกล้ๆค่ะ
คนงานทำเหมืองข้างล่าง
นี่คือแผ่นกัมมะถันค่ะ
บ้างก็แกะสลักเป็นลายต่างๆ แต่ห้ามซื้อกลับมานะคะ เขาห้ามนำออกนอกประเทศเพราะถือเป็นทรัพยากรของประเทศค่ะ
ถึงเวลาตองกลับลงไปแล้วค่ะ ทางลงค่อยยังชั่ว ไม่เหนื่อยมากเท่าไรแต่ก็ยังช้าเหมือนเดิม แวะกินมาม่าแก้หิว เป็นมาม่าที่อร่อยที่ีสุดแล้วเพราะเสียพลังงานไปเยอะมาก
ตอนนี้พระอาทิตย์ขึ้นแล้ว มองเห็นทางเดินที่เดินขึ้นมาเมื่อคืน ไกลมากจริงๆค่ะ
เด๋วมาต่อนะคะ
[CR] แบกเป้เที่ยวสุราบายา ภูเขาไฟโบรโม่ คาวาอิเจี้ยน บาหลี 2016
จขกท. หาตั๋วไปสุราบายาตอนนั้นราคาแพงพอใช้ได้ เลยได้เส้นทาง ดอนเมือง จาการ์ต้า สุราบายา 2700 บาทมา แล้วจขกทตั้งใจจะนั่งเรือ ferry ข้ามไปบาหลี ราคาแค่ 30 บาท แล้วก็ไปเที่ยวสิงค์โปต่ออีก 2 วันแล้วค่อยกลับไทยค่ะ เพราะราคาตั๋วจากบาหลีมากทม. แพงมาก ช่วงนั้น กระทู้นี้ไม่ขอรีวิวสิงค์โปร์นะคะเพราะมีรีวิวเยอะแล้ว
ตอนที่ 2 http://ppantip.com/topic/35063304
Day 1 โอเคได้เวลาบินกันแล้วค่ะ เราออกเดินทางโดยสายการบินแอร์เอเชียตอน 20.55 ไปถึงที่จาการ์ต้าตอน 00.25 รอต่อเครื่องประมาณ 5 ชม. เพื่อจะบินไปสุราบายากันตอน ตี 5.55
จขกท.ได้จองโรงแรมถูกๆเอาไว้เก็บกระเป๋า อาบน้ำแต่งตัว ก่อนที่ประมาณเที่ยงคืนจะไปเจอเพื่อนๆอีกกลุ่มนึงที่สนามบิน แล้วออกเดินทางไปโบรโม่กัน พอเก็บข้าวเก็บของกันเสร็จ เราก็ออกเดินทางไปที่พิพิธพัณฑ์ House of Sampoerna เพื่อที่จะนั่งรถบัสฟรีพาเที่ยวชมเมือง มีรอบ 9.00 ด้วยแต่ จขกท.ไปไม่ทันเลยได้รอบ 13.00 มาแทนนะคะ
Day 2
ระหว่างรอเวลา ก็ได้เวลาเดินหาของกินเรื่อยเปื่อย ตามตลาดข้างๆ
น่าตาอาหาร เหมือนแกงเผ็ดบ้านเราแต่ไม่เผ็ด จืดๆ ก็พอกินได้ค่ะ
ระหว่างทางมีร้านขายขนม
ลักษณะจะเป็นเหมือนถั่วกวน ใส่น้ำกะทิแล้วก็น้ำแข็ง อร่อยดีนะคะ
เราคุยราคากันไม่ค่อยเข้าใจ ต้องกดตัวเลขกันไปตามระเบียบ
ภายในพิพิธภัณฑ์จะมี cafe อยู่ราคาแพงประมาณนึง ถ้าไม่คิดอะไรมาก นั่งตากแอร์ไปก็โอค่ะ
บรรยากาศข้างในค่ะ
เอาล่ะ ได้เวลารถออก นี่คือรถบัสที่จะพาเราเที่ยวนะคะ
จะมีไกด์ประจำรถคอยบรรยายตลอดการเดินทาง
และทุกคนจะต้องแขวนป้ายไว้เพื่อที่เขาจะได้ทราบว่าเราเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวรถคันนี้ค่ะ
ผ่านที่ต่างๆในสุราบายา
ที่แรกที่เขาจอดให้เราลงไปถ่ายรูปคือ Tugu Pahlawan หรือ Heroes Monument ซึ้งเป็นอนุสาวรีย์วีรบุรุษของเมืองสุราบายา
ไปต่อกันอีกที่ค่ะ ที่นี่คือ Gedung PTPN XI
สุดท้ายรถบัสก็จะไปส่งเราที่เดิมที่ House of Sampoerna เรากะว่าจะซื้อข้าวเย็นใส่ห่อไปกินที่โรงแรมเลย ไม่ออกมาแล้ว เนื่องด้วยอากาศร้อนแล้วเราก็ต้องเดินทางไปโบรโม่ อิเจี้ยนต่อ แล้วจะไม่ได้นอน เลยกลับมานอนพักเอาแรงกัน เราแวะซื้อ Nasi Ayam กลับไปค่ะ คนละ 6500 รูเปีย หรือประมาณ 17 บาท ถูกมาก ที่อินโดนะคะ Nasi จะแปลว่าข้าว ส่วน Ayam แปลว่าไก่
โดยรวมๆแล้วเราว่าสุราบายา ไม่ค่อยมีอะไรดึงดูดนักท่องเที่ยวซักเท่าไร คนส่วนใหญ่คงจะมาลงแล้วต่อไปโบรโม
Day 3 โบรโม่
เราได้ทำงานนัดคนขับรถ ก็หาจากเพื่อนในพันทิปนี่แหละค่ะ ส่งอิเมล์หาไปหลายทีมาก บ้างราคาได้พอคอนเฟิร์มแล้วก็หาย วุ่นวายไปหมด สุดท้ายเราเลยได้ arif คนนี้ตอบเร็ว เราให้เขามารับเราที่โรงแรมที่สุราบายาแล้วค่อยตรงไปรับเดอะแก๊งค์ที่สนามบินต่อ นี่คืออิเมล์ที่ติดต่อกับ arif นะคะ arif.travel35@yahoo.com วันจริง arif ไม่ได้มา แต่ส่งเพื่อนเค้ามาแทน เราก็เลยถามเขา เค้าบอกว่า arif มีรถตู้หลายคัน เค้าก็ขับเองบ้างให้เพื่อนมาขับบ้าง ราคาที่เราได้คือ 1500000 รูเปีย หรือประมาณ 4000 บาท เป็นรถตู้ ของเราไปกัน 6 คนค้ะ
โอเค ตอนนี้เราตัดมาตอนที่มารับทุกคนที่สนามบินแล้วพร้อมออกเดินทางนะคะ เวลาประมาณ 00.30 เราให้คนขับแวะซื้อขนม น้ำระหว่างทางเพื่อเป็นเสบียงกันค่ะ
ระหว่างทางประมาณ 3 ชม. กว่าๆ ก็หลับเอาแรงกันตลอดทาง ที่แรกที่จะไปคือ จุดชมวิว Panajakan viewpoint มาถึงกันก็ประมาณตี 4 แล้วก็ต้องต่อรถจิ๊บเพื่อขึ้นไปดูจุดชมวิวกัน เราก็เดินๆๆๆ ขึ้นไปยังจุดชมวิว ระหว่างทางก็จะมีร้านขายของ ขายข้าวโพดย่างบ้าง
พอเราขึ้นไปข้างบน ทุกคนต่างก็มานั่งจองคิว เพื่อที่จะได้เห็นพระอาทิตย์ขึ้นในจุดที่สวยที่สุด
ไม่นาน พระอาทิตย์ก็โผล่พ้นขอบฟ้า เผยให้เราได้ชมความงามของภูเขาไฟโบรโม่ที่ยังปะทุ เป็นภาพที่งดงามมากที่สุดภาพนึงค่ะ
เราถ่ายรูปกันเยอะมาก ไม่นาน ประมาณ 7 โมงเช้าก็ต้องรีบลงมาเพื่อที่จะนั่งรถจิ๊บ (ต่อไปนี้เราจะใช้รถจิ๊บเดินทางกันในระหว่างที่อยู่โบรโม่นะคะ) ไปยังปล่องภูเขาไฟ ระหว่างทางลงก็จะมีของขายเหมือนดอกไม้สดเอามาทำเป็นรูปต่างๆขาย
จากนั้น รถจิ๊บ พาเรามาจุดจอดรถจิ๊บ ตรงนี้เรามี 2 ทางเลือกที่จะเดินไปปากปล่องภูเขาไฟนะคะ 1.ขี่ม้า 2.เดินเอง
ตอนแรกเรากะว่าจะเดิน คนจูงม้าก็เดินตามเรามาเช่นกัน เดินไปเดินมาต่อราคากันไป ต่อราคากันมาได้ 40000 รูเปียหรือประมาณ 108 บาท เที่ยวเดียว เราเลยตกลงค่ะ
รถจิ๊บจะจอดตรงนี้ค่ะ
เดินๆๆกันไป ภูเขาด้านหลังสวยมาก อยากเก็บภาพๆนี้ไว้
สุดท้ายหนีไม่พ้น ได้เจ้าตัวนี้มาค่ะ
คนจูงม้าเขาโอเคมากค่ะ บอก give me your camera แล้วก็ถ่ายให้เราแบบทุกมุมจริงๆ
ม้าไม่สามารถขึ้นไปจนสุดได้นะคะ จะหยุดที่ตีนบันได
จะมีบันไดเพื่อที่จะขึ้นไปบนปากปล่องนะคะ จะมีจุดให้พักระหว่างทางเป็นพักๆ นี่คือมุมที่มองย้อนกลับมา
ในที่สุด เราก็มาถึงจนได้ภูเขาไฟโบรโม่ ลมหายใจของเทพเจ้า
ดูดดื่ม ซึมซับกับบรรยากาศรอบๆสักพัก เรามาแวะร้านขายน้ำระหว่างทาง จขกท. ซื้อวิตามินซี ทานค่ะ ทานแล้วชื่นใจมีแรงไปต่อ
จุดต่อไปคือ ทุ่งหญ้า Savanna
และนี่คือรถจิ๊บของเรา
ช่วงที่ไปเหมือนฝนจะตกนะคะ เมฆลอยมาต่ำมาก
แวะถ่ายรูปกันสักพัก ไปต่อกันเลยกับจุดต่อไปค่ะ Whispering Sand โดยส่วนตัวแล้ว จขกท.รู้สึกชอบที่ตรงนี้มาก มันเป็นจุดที่ไม่มีอะไร มองไปไกลสุดลุกหูลูกตา มันดูเคว้งคว้าง เหมือนหลุดไปอยู่อีกโลกนึง ชมภาพค่ะ
เสร็จแล้วเราก็นั่งรถยาวไปอิเจี้ยนกันต่อค่ะ คืนนี้เรานอนที่ Arabica Homestay อยู่ไกลจากอิเจี้ยนประมาณ 1 ชม. ราคา1500000 รูเปียที่บอกไปรวมโรงแรม 1 คืนด้วยนะคะ
Day 4 คาวาอิเจี้ยน
นอนหลับเอาแรงกันได้ไม่นาน ตี1 ก็ต้องออกเดินทางกันอีกแล้ว จากรร.ไปอิเจี้ยนประมาณ 1 ชม.ค่ะ ลงจากรถตู้ปุ๊บ เดินปั๊บ หนักเอาการ การเดินทางขึ้น จขกท.เป็นคนที่ไม่ค่อยออกกำลังกาย เพราะฉะนั้นจะเดินช้ามากและเหนื่อยง่ายมากเช่นกัน ราคาทัวร์ที่บอกไปรวมค่าไกด์ด้วยนะคะ ทางเดินขึ้นอิเจี๊ยน ไกด์บอกประมาณ 3 กิโล ใช้เวลาเดินประมาณ 3 ชม.ครึ่ง แต่ทางชันมาก สลับกับทางเรียบ เราต้องหยุดพักเป็นระยะๆ ไกด์เห็นเราเหนื่อย กลัวเดินไม่ไหวบอกว่ายูจะเดินกลับไหมหรือไปต่อ แต่ใจสู้ค่ะเพราะอยากขึ้นไปเชยชมความงามของคาวาอิเจี้ยนซักครั้งในชีวิต ขาสั่นมาก ลองดูนะคะ
ระหว่างทางมืดมาก อาศัยไฟฉายไปตลอดทาง
พอขึ้นมากถึง คนก็มานั่งรอพระอาทิตย์ขึ้นกันอีกเช่นเคย หมอก ควันเต็มไปหมด ไกด์แจกหน้ากากมาให้ใส่เพราะมันแสบจมูก แสบตามาก เราเอาแว่นตากันแดดไปด้วยไม่ค่อยแสบตาเท่าไร ครั้งนี้เราไปไม่ทันดู Blue fire นะคะ เพราะเสียเวลากับเราที่กว่าจะเดินขึ้นมาถึงข้างบน เราได้ลงไปดูทะเลสาบใกล้ๆค่ะ
คนงานทำเหมืองข้างล่าง
นี่คือแผ่นกัมมะถันค่ะ
บ้างก็แกะสลักเป็นลายต่างๆ แต่ห้ามซื้อกลับมานะคะ เขาห้ามนำออกนอกประเทศเพราะถือเป็นทรัพยากรของประเทศค่ะ
ถึงเวลาตองกลับลงไปแล้วค่ะ ทางลงค่อยยังชั่ว ไม่เหนื่อยมากเท่าไรแต่ก็ยังช้าเหมือนเดิม แวะกินมาม่าแก้หิว เป็นมาม่าที่อร่อยที่ีสุดแล้วเพราะเสียพลังงานไปเยอะมาก
ตอนนี้พระอาทิตย์ขึ้นแล้ว มองเห็นทางเดินที่เดินขึ้นมาเมื่อคืน ไกลมากจริงๆค่ะ
เด๋วมาต่อนะคะ