วันนี้ได้อ่านข่าวด่วนออนไลน์ เรื่องนมเม็ดจิตรลดาขาดตลาด
จึงนึกถังเรื่องเก่าที่เคยเขียนไว้นานแล้ว ขอนำมาเสนอใหม่ครับ
เรื่องธรรมดาของคนธรรมดา (๑๓)
เรื่องของ(นม)หนู
เพทาย
ในที่ทำงานของผม ซึ่งมีลูกน้องหญิงตั้งมากมายหลายคนนั้น สุพิดา นับว่าเป็นเสมียนที่มีความขยัน เอาใจใส่การงานเป็นที่สุด แต่งตัวก็เรียบร้อย มีมนุษยสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงานดีมาก
อยู่มาวันหนึ่งเผอิญผมออกจากที่ทำงาน จะหารถแท็กซี่ไปประชุมที่กระทรวง เพราะรถหลวงไม่ว่าง และเวลาก็สายเกือบสี่โมงเช้าตามเวลานัดประชุมแล้ว เกิดสวนทางกับ สุพิดาอย่างกระชั้นชิด เธอรีบเปลี่ยนกระเช้าถักที่โปร่งและรกรุงรังไปด้วยหมูเห็ดเป็ดไก่และผักหญ้าประดามี ที่จับจ่ายมาจากตลาด ไปไว้ทางมือซ้าย แล้วยกมือไหว้ทำความเคารพ อย่างว่องไวและสวยงาม
“ สวัสดี ทำไมเพิ่งมาเอาป่านนี้ล่ะ…หนู “
ผมทักทายอย่างอารมณ์ดี
“ หวัดดีฮ่ะ…ฟามจิงหนูมาตั้งนานแล้วละฮ่ะ หัวหน้า นี่หนู
ออกไปจ่ายตลาดมาน่ะฮ่ะ “
“ อ้าว…ทำไมไม่ไปตอนเย็นล่ะ จะได้กลับบ้านไปเลย “
“ แหม…หัวหน้าเก๊าะ ตอนเย็นฝ่าจะเลิกงานตลาดก็วายหมดแล้ว จะหาซื้ออะไลได้ล่ะฮะ มีแต่ของจะเน่าทั้งนั้น “
ผมพยักหน้าหงึกหงักอย่างเห็นอกเห็นใจลูกน้องคนโปรด แล้วก็ผ่านเลยไป
เผอิญอีกเหมือนกันที่วันนั้น ต้องประชุมทั้งรอบเช้ารอบบ่าย กว่าจะเลิกเวลาก็ล่วงไปเกือบบ่ายสามโมง จึงแวะกลับมาที่สำนักงาน เผื่อจะได้เซ็นหนังสือที่ค้างในแฟ้มเสียหน่อย พอลงจากรถประจำทาง ก็เจอสุพิดาลูกน้องคนสวย กำลังยืนรอรถอยู่ที่ป้ายพอดี
“แฮ่ะ..แฮ่ะ..หวัดดีฮ่ะ หัวหน้ากับมาอีกทำไมล่ะฮะ เย็นป่านนี้แล้ว “
“ เย็นอะไรกัน เพิ่งสามโมงกว่าเท่านั้น วันนี้ยังไม่ได้ทำงานเลย มัวแต่ประชุม แล้วหนูทำไมรีบกลับนักล่ะ “
ผมถามพร้อมกับมองไปที่ถุงรุงรังในมือ
“ ก้อ…เอ้อ…ก้อ…หัวหน้าฮะ แหมหนูจ่ายกับข้าวตั้งก๊ะเช้า ขืนกับเย็นเดี๋ยวของสดมันก็จะเน่าหมดน่ะซีฮะ…ลถมาแล้ว หนูไปละฮ่ะ “
ว่าแล้วเธอก็ก้าวขึ้นรถประจำทางไป ปล่อยให้ผมอ้าปากค้างอยู่คนเดียว
ที่ทำงานของแผนกผมนั้น เป็นห้องโล่ง ๆ ยาวร่วม ๑๐ เมตร มีเสมียนพนักงานชายหญิงหลายคน แต่มีหัวหน้างานอยู่พียง ๓ คนเท่านั้น เราจึงเอาตู้มากั้นแทนฝาห้อง แบ่งส่วนให้เขาทำงานกันอย่างสบายใจ โดยไม่มีนายมาขวางลูกตา เราขอที่แคบ ๆ พอตั้งโต๊ะเก้าอี้ ๓ ชุดเท่านั้น บังเอิญแผนกเราโชคดี ได้รับบริจาคตู้เย็นตู้เบ้อเริ่ม จากผู้มีจิตศรัทธาแต่ไม่ประสงค์ออกนาม ๑ ตู้ ก็เลยเอามาเรียงต่อจากตู้หนังสือที่กั้นห้องไว้ หันหน้าออกไปทางที่มีคนมาก ผมก็เจ้ากรรมดันไปนั่งโต๊ะที่หันหลังติดกับตู้เย็นเสียด้วย มันก็เลยมีกรรมต้องได้ยินเสียงอะไรที่มันพิลึกพิลั่น ชวนให้รำคาญใจอยู่เรื่อย
อย่างเช่นเมื่อ ๒ - ๓ วันก่อน เวลาพักเที่ยงผมสั่งบะหมี่แห้งชามน้ำชาม มาจัดการที่โต๊ะทำงานเรียบร้อยแล้ว ก็เหยียดเท้าพักหนังตา กำลังเพลินใกล้จะเคลิ้ม ก็มีเสียงกระซิบกระซาบดังผ่านโสตประสาทที่กำลังหรี่ พอได้ยิน
“ นี่นมเธอเหลอ “
เสียงเหมือนเจ้า พัน ลูกน้องชายคนหนึ่งของผม
“ ฮื่อนมเลาเองแหละ เย็นดีมั้ย “
เสียงนี้เป็นผู้หญิง หูผมชักจะผึ่งขึ้น แต่ยังไม่ลืมตา
“ ฮื่อ แข็งบึ๋งเลย ให้เลานะ “
“ เอาซี ดูดเลย “
เอท่าจะหลับไม่ลงเสียแล้ว เสียงดูดดังจ๊วบ ๆ สองครั้ง พลันอีกเสียงหนึ่งก็แทรกเข้ามา
“ นี่ตาพัน ของเจ๊ก็ดีนะ ลองดูมั้ย “
“ อย่ามาขัดจังหวะน่ะเจ๊ กำลังหล่อยนมของดาเขาอยู่ “
“ เซ่อ ของฉันดีกว่านะ ไม่เชื่อดูนี่ซี่ “
“ ฮ้า…นมเหลอนั่นน่ะ “
“ ใช่แล้ว “
เห็นท่าจะไม่ได้งีบแน่วันนี้
“ เอาเฮอะ อมเล่นก็ได้ง่ายดี ทีละเม็ดนะ “
“ ฮื่อ…ฮื่อ…ดีแฮะ ขอบคุณนะเจ๊ “
ผมอดรนทนไม่ได้ ต้องลุกจากเก้าอี้เดินอ้อมไปทางหน้าตู้เย็น เจอจำเลยทั้งสามคนเข้าพอดี
“ เฮ้…พัน อะไรกันวะ อั๊วจะงีบซักหน่อย ส่งเสียงกวนประสาทจริง แกนี่ “
เจ้าพันยิ้มแห้ง หนูสุพิดายิ้มเจื่อน แม่สุดสี ยิ้มแหยไปตาม ๆ กัน
“ ผม…อ้า…ผม…คือ ดาเค้ายกนมหนองโพให้ผมน่ะคับ มันแช่เย็นจนแข็ง เขาเลยขี้เกียจกิน พอดีเจ๊สีเขาก็เอานมของจิตรลดาที่ทำเป็นเม็ดมาให้อีก ผมเห็นมันแปกดี ก็เลยลองเปี่ยนดู หัวหน้าลองมั่ง มั้ยฮะ “
ผมสบัดหน้าพรืด
“ เฮ้ยไม่เอา ขี้เกียจอม…เอ๊ยไม่เอา จะนอนซะหน่อย “
“ เชิญคับ แฮ่ะ…แฮ่ะ …ขอโทษคับ “
เรื่องทำนองนี้ ในที่ทำงานของผม มีอยู่บ่อยครั้ง เมื่อเวลาผ่านไปจนผมลืมเรื่องนั้นแล้ว คราวนี้ก็ถึงตาของ เวทนา ลูกน้องสาวค่อนข้างสวยอีกคนหนึ่งของผม ซึ่งเพิ่งจะเข้ามาทำงานได้ไม่นาน ก็กระมิดกระเมี้ยนเข้ามานั่งร้องไห้ผะอืดอยู่หน้าโต๊ะทำงานของผม ด้วยอาการที่น่าสงสารชวนให้อยากจะปลอบโยนเสียเป็นที่ยิ่งนัก แต่ด้วยความเจียมสังขาร จึงต้องนั่งรออยู่อย่างกระวนกระวายใจ จนกระทั่งเช็ดน้ำตาและสั่งขี้มูกฟืดฟาดเรียบร้อยแล้ว เพียงแต่ยังสะอื้นอยู่ฮัก ๆ เรื่องราวที่เป็นสาเหตุจึงได้หลุดออกมาจากปากของเธอว่า
“ หัวหน้าขา…อีตาพัน เขาแก้งหนูฮ่ะ หัวหน้าฮะ “
เธอหมายถึงสิบเอกพัน ตัวแสบของผมนั่นเอง
“ ทำไมล่ะ ไอ้พันมันทำอะไรหนู บอกหัวหน้าเถอะ จะจัดการให้เอง “
“ เขา…เขาแอบดูดนมหนูฮ่ะ “
“ จิ…จริงหรือหนู “
“ จิงซีฮะ หนูจะมาโกหกหัวหน้าได้ยังไง เรื่องน่าเกียดยังงี้ “
“ มันทำ…เอ้อ…เมื่อไหร่ ที่ไหนบอกมา จะได้ขังเสียให้เข็ด “
“ ที่ตู้เย็นน่ะซีฮะ “
“ ตู้เย็น…แถวตู้เย็นน่ะเรอะ “
“ ในตู้เย็นฮ่ะ “
ลูกตาของผมคงจะมีเครื่องหมายคำถามอยู่หลายอัน เธอจึงขยายความว่า
“ หนูเอานมช็อคกาแล็ตก่องแช่ไว้ในตู้เย็นตั้งก๊ะเช้า ตอนกางวันเขายังถามเลยว่านมใค หนูก็บอกว่านมหนู พอตอนบ่ายหนูเปิดตู้เย็นจะเอามากิน เหลือแต่ก่องป่าว แถมยังมีหลอดดูดคาอยู่อีก “
เธอสั่งขี้มูกเสียอีกพรืดหนึ่ง แล้วจึงว่าต่อ
“ หนูถามป้าสีว่าใคมายุ่งกะนมของหนู อีตาหมู่พันลีบยื่นหน้ามา บอกว่าผมเอง แล้วยังทำหน้าทะเล้นบอกว่าจะซื้อใช้ให้…..หนูไม่ยอม…..หัวหน้าขา…. หนูไม่ย้อม….ฮือ….”
ผมถอนหายใจ เฮือกใหญ่ ค่อยโล่งอกไปหน่อย เรื่องไม่ร้ายแรงอย่างที่นึก แต่ ผมกุ้ม …เอ๊ย..กลุ้มอยู่อย่างเดียว คือเด็กพวกนี้พูดไม่มีลอเลือ….ขอโทษ…รอเรือ กันเลยคับ...เฮ้อ.
############
นิตยสารทหารปืนใหญ่
เมษายน ๒๕๔๗
เรื่องของนม(หนู) ๑๙ เม.ย.๕๙
จึงนึกถังเรื่องเก่าที่เคยเขียนไว้นานแล้ว ขอนำมาเสนอใหม่ครับ
เรื่องธรรมดาของคนธรรมดา (๑๓)
เรื่องของ(นม)หนู
เพทาย
ในที่ทำงานของผม ซึ่งมีลูกน้องหญิงตั้งมากมายหลายคนนั้น สุพิดา นับว่าเป็นเสมียนที่มีความขยัน เอาใจใส่การงานเป็นที่สุด แต่งตัวก็เรียบร้อย มีมนุษยสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงานดีมาก
อยู่มาวันหนึ่งเผอิญผมออกจากที่ทำงาน จะหารถแท็กซี่ไปประชุมที่กระทรวง เพราะรถหลวงไม่ว่าง และเวลาก็สายเกือบสี่โมงเช้าตามเวลานัดประชุมแล้ว เกิดสวนทางกับ สุพิดาอย่างกระชั้นชิด เธอรีบเปลี่ยนกระเช้าถักที่โปร่งและรกรุงรังไปด้วยหมูเห็ดเป็ดไก่และผักหญ้าประดามี ที่จับจ่ายมาจากตลาด ไปไว้ทางมือซ้าย แล้วยกมือไหว้ทำความเคารพ อย่างว่องไวและสวยงาม
“ สวัสดี ทำไมเพิ่งมาเอาป่านนี้ล่ะ…หนู “
ผมทักทายอย่างอารมณ์ดี
“ หวัดดีฮ่ะ…ฟามจิงหนูมาตั้งนานแล้วละฮ่ะ หัวหน้า นี่หนู
ออกไปจ่ายตลาดมาน่ะฮ่ะ “
“ อ้าว…ทำไมไม่ไปตอนเย็นล่ะ จะได้กลับบ้านไปเลย “
“ แหม…หัวหน้าเก๊าะ ตอนเย็นฝ่าจะเลิกงานตลาดก็วายหมดแล้ว จะหาซื้ออะไลได้ล่ะฮะ มีแต่ของจะเน่าทั้งนั้น “
ผมพยักหน้าหงึกหงักอย่างเห็นอกเห็นใจลูกน้องคนโปรด แล้วก็ผ่านเลยไป
เผอิญอีกเหมือนกันที่วันนั้น ต้องประชุมทั้งรอบเช้ารอบบ่าย กว่าจะเลิกเวลาก็ล่วงไปเกือบบ่ายสามโมง จึงแวะกลับมาที่สำนักงาน เผื่อจะได้เซ็นหนังสือที่ค้างในแฟ้มเสียหน่อย พอลงจากรถประจำทาง ก็เจอสุพิดาลูกน้องคนสวย กำลังยืนรอรถอยู่ที่ป้ายพอดี
“แฮ่ะ..แฮ่ะ..หวัดดีฮ่ะ หัวหน้ากับมาอีกทำไมล่ะฮะ เย็นป่านนี้แล้ว “
“ เย็นอะไรกัน เพิ่งสามโมงกว่าเท่านั้น วันนี้ยังไม่ได้ทำงานเลย มัวแต่ประชุม แล้วหนูทำไมรีบกลับนักล่ะ “
ผมถามพร้อมกับมองไปที่ถุงรุงรังในมือ
“ ก้อ…เอ้อ…ก้อ…หัวหน้าฮะ แหมหนูจ่ายกับข้าวตั้งก๊ะเช้า ขืนกับเย็นเดี๋ยวของสดมันก็จะเน่าหมดน่ะซีฮะ…ลถมาแล้ว หนูไปละฮ่ะ “
ว่าแล้วเธอก็ก้าวขึ้นรถประจำทางไป ปล่อยให้ผมอ้าปากค้างอยู่คนเดียว
ที่ทำงานของแผนกผมนั้น เป็นห้องโล่ง ๆ ยาวร่วม ๑๐ เมตร มีเสมียนพนักงานชายหญิงหลายคน แต่มีหัวหน้างานอยู่พียง ๓ คนเท่านั้น เราจึงเอาตู้มากั้นแทนฝาห้อง แบ่งส่วนให้เขาทำงานกันอย่างสบายใจ โดยไม่มีนายมาขวางลูกตา เราขอที่แคบ ๆ พอตั้งโต๊ะเก้าอี้ ๓ ชุดเท่านั้น บังเอิญแผนกเราโชคดี ได้รับบริจาคตู้เย็นตู้เบ้อเริ่ม จากผู้มีจิตศรัทธาแต่ไม่ประสงค์ออกนาม ๑ ตู้ ก็เลยเอามาเรียงต่อจากตู้หนังสือที่กั้นห้องไว้ หันหน้าออกไปทางที่มีคนมาก ผมก็เจ้ากรรมดันไปนั่งโต๊ะที่หันหลังติดกับตู้เย็นเสียด้วย มันก็เลยมีกรรมต้องได้ยินเสียงอะไรที่มันพิลึกพิลั่น ชวนให้รำคาญใจอยู่เรื่อย
อย่างเช่นเมื่อ ๒ - ๓ วันก่อน เวลาพักเที่ยงผมสั่งบะหมี่แห้งชามน้ำชาม มาจัดการที่โต๊ะทำงานเรียบร้อยแล้ว ก็เหยียดเท้าพักหนังตา กำลังเพลินใกล้จะเคลิ้ม ก็มีเสียงกระซิบกระซาบดังผ่านโสตประสาทที่กำลังหรี่ พอได้ยิน
“ นี่นมเธอเหลอ “
เสียงเหมือนเจ้า พัน ลูกน้องชายคนหนึ่งของผม
“ ฮื่อนมเลาเองแหละ เย็นดีมั้ย “
เสียงนี้เป็นผู้หญิง หูผมชักจะผึ่งขึ้น แต่ยังไม่ลืมตา
“ ฮื่อ แข็งบึ๋งเลย ให้เลานะ “
“ เอาซี ดูดเลย “
เอท่าจะหลับไม่ลงเสียแล้ว เสียงดูดดังจ๊วบ ๆ สองครั้ง พลันอีกเสียงหนึ่งก็แทรกเข้ามา
“ นี่ตาพัน ของเจ๊ก็ดีนะ ลองดูมั้ย “
“ อย่ามาขัดจังหวะน่ะเจ๊ กำลังหล่อยนมของดาเขาอยู่ “
“ เซ่อ ของฉันดีกว่านะ ไม่เชื่อดูนี่ซี่ “
“ ฮ้า…นมเหลอนั่นน่ะ “
“ ใช่แล้ว “
เห็นท่าจะไม่ได้งีบแน่วันนี้
“ เอาเฮอะ อมเล่นก็ได้ง่ายดี ทีละเม็ดนะ “
“ ฮื่อ…ฮื่อ…ดีแฮะ ขอบคุณนะเจ๊ “
ผมอดรนทนไม่ได้ ต้องลุกจากเก้าอี้เดินอ้อมไปทางหน้าตู้เย็น เจอจำเลยทั้งสามคนเข้าพอดี
“ เฮ้…พัน อะไรกันวะ อั๊วจะงีบซักหน่อย ส่งเสียงกวนประสาทจริง แกนี่ “
เจ้าพันยิ้มแห้ง หนูสุพิดายิ้มเจื่อน แม่สุดสี ยิ้มแหยไปตาม ๆ กัน
“ ผม…อ้า…ผม…คือ ดาเค้ายกนมหนองโพให้ผมน่ะคับ มันแช่เย็นจนแข็ง เขาเลยขี้เกียจกิน พอดีเจ๊สีเขาก็เอานมของจิตรลดาที่ทำเป็นเม็ดมาให้อีก ผมเห็นมันแปกดี ก็เลยลองเปี่ยนดู หัวหน้าลองมั่ง มั้ยฮะ “
ผมสบัดหน้าพรืด
“ เฮ้ยไม่เอา ขี้เกียจอม…เอ๊ยไม่เอา จะนอนซะหน่อย “
“ เชิญคับ แฮ่ะ…แฮ่ะ …ขอโทษคับ “
เรื่องทำนองนี้ ในที่ทำงานของผม มีอยู่บ่อยครั้ง เมื่อเวลาผ่านไปจนผมลืมเรื่องนั้นแล้ว คราวนี้ก็ถึงตาของ เวทนา ลูกน้องสาวค่อนข้างสวยอีกคนหนึ่งของผม ซึ่งเพิ่งจะเข้ามาทำงานได้ไม่นาน ก็กระมิดกระเมี้ยนเข้ามานั่งร้องไห้ผะอืดอยู่หน้าโต๊ะทำงานของผม ด้วยอาการที่น่าสงสารชวนให้อยากจะปลอบโยนเสียเป็นที่ยิ่งนัก แต่ด้วยความเจียมสังขาร จึงต้องนั่งรออยู่อย่างกระวนกระวายใจ จนกระทั่งเช็ดน้ำตาและสั่งขี้มูกฟืดฟาดเรียบร้อยแล้ว เพียงแต่ยังสะอื้นอยู่ฮัก ๆ เรื่องราวที่เป็นสาเหตุจึงได้หลุดออกมาจากปากของเธอว่า
“ หัวหน้าขา…อีตาพัน เขาแก้งหนูฮ่ะ หัวหน้าฮะ “
เธอหมายถึงสิบเอกพัน ตัวแสบของผมนั่นเอง
“ ทำไมล่ะ ไอ้พันมันทำอะไรหนู บอกหัวหน้าเถอะ จะจัดการให้เอง “
“ เขา…เขาแอบดูดนมหนูฮ่ะ “
“ จิ…จริงหรือหนู “
“ จิงซีฮะ หนูจะมาโกหกหัวหน้าได้ยังไง เรื่องน่าเกียดยังงี้ “
“ มันทำ…เอ้อ…เมื่อไหร่ ที่ไหนบอกมา จะได้ขังเสียให้เข็ด “
“ ที่ตู้เย็นน่ะซีฮะ “
“ ตู้เย็น…แถวตู้เย็นน่ะเรอะ “
“ ในตู้เย็นฮ่ะ “
ลูกตาของผมคงจะมีเครื่องหมายคำถามอยู่หลายอัน เธอจึงขยายความว่า
“ หนูเอานมช็อคกาแล็ตก่องแช่ไว้ในตู้เย็นตั้งก๊ะเช้า ตอนกางวันเขายังถามเลยว่านมใค หนูก็บอกว่านมหนู พอตอนบ่ายหนูเปิดตู้เย็นจะเอามากิน เหลือแต่ก่องป่าว แถมยังมีหลอดดูดคาอยู่อีก “
เธอสั่งขี้มูกเสียอีกพรืดหนึ่ง แล้วจึงว่าต่อ
“ หนูถามป้าสีว่าใคมายุ่งกะนมของหนู อีตาหมู่พันลีบยื่นหน้ามา บอกว่าผมเอง แล้วยังทำหน้าทะเล้นบอกว่าจะซื้อใช้ให้…..หนูไม่ยอม…..หัวหน้าขา…. หนูไม่ย้อม….ฮือ….”
ผมถอนหายใจ เฮือกใหญ่ ค่อยโล่งอกไปหน่อย เรื่องไม่ร้ายแรงอย่างที่นึก แต่ ผมกุ้ม …เอ๊ย..กลุ้มอยู่อย่างเดียว คือเด็กพวกนี้พูดไม่มีลอเลือ….ขอโทษ…รอเรือ กันเลยคับ...เฮ้อ.
############
นิตยสารทหารปืนใหญ่
เมษายน ๒๕๔๗