สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 29
::: เล่าต่อตอน 5 :::
ผมขับรถโรงพยาบาลหนีรถตำรวจออกมาด้วยความเร็วสูง
จนรถคันที่อยู่ในเลนเดียวกัน เห็นรถโรงพยาบาลเปิดไฟฉุกเฉิน มีรถฉลามตามมาติดๆ
ต่างพากันหลบเข้าไหล่ทางกันหมด
พยาบาลชะโงกหน้าออกมาที่เบาะด้านหน้า ถามว่าเกิดไรขึ้น
แล้วก็ตกใจที่เห็นผมขับรถอยู่ แล้วก็ถามว่าอ้าวแล้วพี่คนขับหละ
ทุกอย่างเงียบไม่มีใครตอบอะไร
ลูกน้า ดูร้อนรนกว่าผม กระสับกระส่ายไปมา ถามผมว่า เราทำถูกแล้วใช่ไหม
ผมก็บอกว่า พ่อเองก็แค่โกรธ แต่ไม่ถึงตายหรอก แต่แม่เองนี่ นี่เป็นโอกาสเดียวนะ
รถตำรวจเริ่มไล่ตามมาติดๆ ผมก็พยายามเร่งเครื่องหนี ขับไปได้สักพักใหญ่
ผมมองไปข้างหน้ามีรถติดไฟแดงจอดอยู่ มันใกล้จะเข้าในเมืองแล้ว เริ่มมีปริมาณรถมาก
ผมชะลอความเร็วลง รถตำรวจก็ยังตามมาติดๆ เปิดสัญญาณลั่น
ช่วงนั้นผมคิดว่าต้องโดนจับแน่ๆ คิดอะไรไม่ออก ว่าจะไปทางไหนดี
ถ้าติดไฟแดงแยกนี้ก็จบกัน
เสียงประกาศดังออกมาจากรถตำรวจ
ผมได้ยินแต่แว่วๆว่า รถพยาบาลหยุดด้วย จอดเดี๋ยวนี้
ผมยังขับต่อไป จนถึงบริเวณรถที่จอดติดไฟแดงอยู่ ปรากฏว่าพอไปถึงแยกไฟแดง
รถที่จอดรอไฟเขียวอยู่นั้น ต่างพากันขยับรถเปิดทางให้รถที่ผมขับอยู่ ผ่านออกไปได้
ผมค่อยๆขับรถผ่านแยกนั้นช้าๆ แม้แต่แยกฝั่งที่มีไฟเขียว มีรถจอดอยู่ เขากลับไม่ขับออกมาจากแยก
คงพากัน งง มั่งว่ามันอะไร
เหมือนทุกคนจอดดูรถโรงพยาบาลเคลื่อนผ่านแยกไฟแดงนั้นไป โดยมีรถตำรวจตามมาติดๆ
หลังจากผ่านแยกไฟแดงนั้นไปได้
ดูเหมือนว่ารถตำรวจจะเลิกตามเรา คงเป็นเขตรับผิดชอบอีกพื้นที่หนึ่งไปแล้ว
ลูกน้าโทรไปหาพ่อเขา โวยวายกับพ่อเขาว่า
พ่อแจ้งความจับเราทำไม เสียงพ่อก็ตะโกนด่าตอบกลับมาฟังไม่ได้ศัพท์ ว่าพูดอะไรกัน
เพราะต่างฝ่ายต่างโวยวายใส่กัน แต่ทุกอย่างก็เงียบลงตรงที่ ลูกน้าพูดว่า
แม่ยังไม่ตายแล้วนี่ใกล้จะถึงบ้านยายแล้วด้วย พ่อยังจะให้แม่กลับไปอยู่ไหม
เมื่อเหตุการณ์สงบลง ผมก็ขับรถต่อไปสักพักใหญ่ๆ
ผมขับรถไปถึงที่บ้านยายเกือบจะเย็นมากแล้ว
เจอรถตำรวจจอดอยู่ มีตำรวจยื่นรออยู่สี่ห้านาย
เห็นน้าคนอื่น เห็นญาติๆ ลูกเด็กเล็กแดงมายืนรออยู่หน้าบ้าน ราวกับว่านัดหมายกันมา
ผมเปิดประตูรถ พยายามจะเข้าไปในบ้าน
แต่มีตำรวจมาแสดงตัว ขอเชิญไปที่โรงพัก
ญาติๆ กับน้าๆ ลงมาขวางแล้วถามผมว่าเกิดอะไรขึ้น
ผมได้ยินเสียงลูกน้าคุยโทรศัพท์กับพ่อเขาว่า
พ่อหนูบอกให้ถอนแจ้งความไงเข้าใจไหม ตอนนี้เรามาถึงบ้านยายแล้ว
ผมถามน้าๆกับญาติๆว่ามีใครรู้จัก จุดที่ น้าวิลัยเสียชีวิตบ้าง ผมจะต้องพาน้าไปที่นั้น
ญาติผมถามว่าไปทำไม
ผมไม่รู้จะตอบยังไง จะพูดความจริงไปคนก็คงไม่เชื่อ
จะโกหกว่าน้าเขาอยากไปเองเป็นครั้งสุดท้าย
มันก็เป็นการโกหกคนที่มามุงดูมากมายไปด้วย
ผมอ้ำๆอึ้งๆอยู่ครู่หนึ่ง อยู่ๆ ลูกน้าก็พูดขึ้นว่า
แม่สั่งไว้ว่าก่อนจะตายอยากกลับไปที่ที่น้าวิลัยเสียชีวิต
ทุกคนหันไปมองลูกน้าเป็นตาเดียวกัน
แล้วญาติผมคนหนึ่งก็พูดขึ้นว่าเออ มันสองคนนี้เล่นกันมาด้วยกันตั้งแต่เด็ก
บทจะตายก็อยากตายในจุดเดียวกัน ก็ถือว่าสงเคราะห์มันหน่อยเถอะวะ
อี่นั่งคนนี้มันก็ป่วยมาครึ่งค่อนชีวิตของมันแล้ว มันจะไปสบายแล้ว
สิ้นเสียงคำพูดของญาติผมคนนั้น
ดูเหมือนว่าสีหน้าทุกคนเปลี่ยนไป ญาติๆทุกคนก็ต่างพากันอาสาจะพาไป
ผมหันไปบอกตำรวจว่า
ให้ผมพาคนไข้ไปจุดที่เขาต้องการก่อนนะครับ แล้วค่อยจับผม
ตำรวจนายหนึ่ง พูดว่า
ไปเถอะ คนบ้านเดียวกัน เดี๋ยวผมจะนำทางให้ โอ๊ยคนรู้จักกันทั้งนั้น
สักพัก รถตำรวจก็ขับนำทาง มีลูกเล็กเด็กแดงขึ้นไปนั่งอยู่เต็มหลังกะบะรถตำรวจ
มีญาติบางคนก็ขี่มอเตอร์ไซด์ตาม
น้าน้าสองคนกับลูกๆ ขึ้นมานั่งรถโรงพยาบาลไปด้วยกันกับผม
ผมได้ยินเสียงเขาทักทายกันกับน้าที่ป่วย ว่าจำคนนั้นได้ไหมคนนี้ได้ไหม
ผมรู้สึกอบอุ่น รู้สึกตื่นเต้นที่เห็น รถยนต์ เคลื่อนไปในหมู่บ้านเล็กๆ ราวกับขบวนแห่
พอไปถึงที่นั่น ตอนนั้นเกือบจะพลบค่ำแล้ว บรรยากาศเริ่มมีแสงน้อยลง
ผมกลัวว่าจะมืดค่ำก่อน เพราะจะทำให้การเดินทางลำบาก
ผมต้องจอดรถอยู่ข้างทาง มองไปข้างหน้าเป็นทุ่งนา
ไกลๆราวร้อยสองร้อยเมตร เห็นต้นไม้สูงๆต้นหนึ่ง
มีญาติ มีน้าผมชี้ว่าโน้นใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นโน้น ที่อี่ลัยมันตาย
คนหนึ่งพูดว่า ไม่มีถนนไปนะ จะพาผู้ป่วยไปยังไง
นี่ก็ใกล้จะมืดแล้ว ก็พอดีกว่าจะหามกันไปถึงก็คงจะมืดพอดี
พยาบาลลงมาจากรถบอกว่า เรามีเปลสนามคะ สามารถหามผู้ป่วยไปได้
ทุกคนก็รีบจัดแจงเตรียมตัวช่วยขนข้าวของกันทั้นที
น้าผมบางคนประกาศตรงนั้นเลยว่า ขออาสาสมัครชายฉกรรจ์ 4 คน
ไม่นานก็มีชายร่างใหญ่มายืนรอพร้อมจะช่วยหาม
พยาบาลจัดแจงเอาถังออกซิเจนขนาดเล็ก
เปลี่ยนจากหน้ากากครอบจมูก เป็นแบบ สายเล็กๆที่ไปจ่อตรงจมูกโดยตรง
ทุกคนช่วนกันย้ายน้าจากเตียงบนรถไปที่เปลสนาม ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วมาก
ไม่นาน ก็เห็นร่างชายสี่คนช่วยกันหามน้าผมไปพร้อมกับพยาบาลถือถังออกซิเจนเดินตามกันริ่วๆผ่านทุงนาไป
โดยมีขบวนทั้งญาติทั้งชาวบ้านแห่ตามก้นกันไปมุงดูราวกับว่ามีมหรสพ
ไม่นานก็ถึงใต้โคนต้นไม้นั้น แสงอาทิตย์เริ่มหดหาย ทุกอย่างค่อยๆสลัวสลัว
ผมเดินไปหาน้าที่นอนอยู่ในเปลสนาม
ผมปลุกน้า แล้วก็บอกว่า น้าเตรียมพบกับสิ่งที่หายไปนะ น้าพยักหน้ารับทราบ
ผมค่อยๆลุกออกมา ยื่นดูอยู่ห่างๆ มองไปรอบๆต้นไม้ ผมไม่เห็นควันสีฟ้านั้นเลย
รออยู่สักพักจึงบอกให้ทุกคนเรียกชื่อน้า เรียกชื่อน้าดังๆ
ตอนแรกไม่มีผู้ใหญ่คนไหนกล้าเรียก มีเสียงเด็กๆพากันเรียกชื่อน้าขึ้นมาก่อน
ถึงมีผู้ใหญ่บางคนเรียกตาม
แล้วชื่อน้าก็ดังกระหึ่มไปทั่วแถวนั้น
ไม่นาน ผมเห็นกลุ่มควันสีฟ้าค่อยๆลอยออกมาจากป่าใกล้ๆแถวนั้น
ค่อยๆลอยเข้ามาใกล้ๆต้นไม้
ผมบอกให้ทุกคนเงียบ ทำมือห้ามที่ปากเป็นสัญญาณให้เงียบ ทุกคนเงียบกันหมด
ควันสีฟ้ารวมตัวกันเป็นสีน้ำเงินเข้ม แล้วหยุดอยู่ใต้โคนต้นไม้
ผมค่อยๆเดินไปหาน้าที่นอนอยู่
กระซิบให้แกเรียกชื่อตัวเอง
น้าผมแกก็ค่อยๆเรียกชื่อตัวเอง แต่เสียงดังไม่พอ
แกพยายามอยู่สามสี่ครั้ง
จนครั้งสุดท้ายก็เรียกชื่อตัวเองออกมาเสียงดังจนผมก็ได้ยินเสียงนั้นด้วย
แล้วอยู่ๆกลุ่มควันสีน้ำเงินนั้นก็วิ่งเข้าไปในตัวน้าอย่างเร็ว
เหมือนเด็กน้อยที่ ผลัดหลงจากแม่ แล้วรีบถลาเข้ากอดผู้เป็นแม่ทันทีเมื่อเจอกัน
ผมมองไปเห็นน้าสะดุ้งเฮือกตอนที่กลุ่มควันวิ่งเข้าหาตัวน้า
ทุกอย่างเงียบลงอีกครั้ง ทุกคนลุ้นอย่างใจจดใจจ่อ
อยู่ๆ ผมก็เห็นกลุ่มควันสีขาวลอยออกมาจากตัวน้า
แล้วก็ค่อยๆเรียงตัวกันเป็นรูปเด็กผู้หญิงอยู่ตรงแถวๆปลายเท้าของน้า
ผมเผลอหลุดปากออกมาโดยไม่รู้ตัว “น้าวิลัย”
ลูกน้ามองหน้าผมด้วยความฉงน ว่าผมเห็นอะไร
แล้วกลุ่มควันสีขาวก็ค่อยๆโตขึ้นโตขึ้นจนเท่ากับร่างผู้ใหญ่
แล้วก็กลายเป็นเงาสีดำโปรงแสง ค่อยๆลอยหายเข้าไปในต้นไม้
หลังจากนั้น ผมเห็นน้าคนที่ป่วยเอามือมาจับที่แขนพยาบาล พยายามจะลุกนั่ง
จนพยาบาลเองต้องพยุงน้าให้ลุกขึ้นมานั่ง
น้าหันมาทางผมหันไปมองดูรอบๆตัว อยู่ๆสิ่งที่ทุกคนไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น
น้าผมลุกขึ้นยืน โดยมีพยาบาลพยุงตัวขึ้นช้าๆ
ทุกคนที่เห็นต่างโห่ร้องยินดี พากันปรบมือกันเสียงดังสนั่นโดยไม่รู้ตัว
วินาทีนั้นอยู่ๆผมก็รู้สึกตื้นตันขึ้นมาที่ลำคอ รู้สึกว่าสิ้นสุดการรอคอย
รู้สึกถึงการรอค่อยที่โดดเดี่ยวมานานนับสิบๆปีมันจบแล้ว
น้ำตาผมเอ่อขึ้นมาเต็มเบ้าตา
มองไปเห็นลูกน้ายืนน้ำตาเอ่อเต็มใบหน้าอยู่ข้างๆ
ผมมองไปเห็นญาติคนหนึ่งปกติแกจะเป็นคนที่เข้มแข็งคนหนึ่ง
วันนั้น น้ำตาแกไหลออกมาอาบแก้มทั้งสอง
พลอยทำให้น้ำตาที่คลอๆอยู่ที่ตาของผมทะลักออกมาเต็มใบหน้าไปด้วย
ผมใช้มือปาดน้ำตา เป็นน้ำตาแห่งความปิติ
เป็นน้ำตาแห่งชัยชนะ เราเหนื่อยกันมาหลายปี
ลูกน้าปกติเขาไม่เคยเห็นผมร้องไห้เลย
พอเห็นผมเอามือปาดน้ำตา แกก็เข้ามากอดผมอยู่ข้างๆ
บอกว่า เฮีย ขอบคุณนะที่ทำทุกๆอย่างให้กับแม่หนู
ผมอยากจะพูดอะไรออกไปแต่มันรู้สึกจุกอยู่ที่คอหอย จนพูดไม่ออก
ได้แต่สะอื้นไห้ออกมาแทน
พี่น้องของน้าต่างพากันเข้าไปพูดจากับน้าด้วยความยินดี
เหมือนคนที่จากกันมานานนับปีได้มาเจอกันอีก
หลังจากนั้นเราก็พาน้ากลับบ้าน ลูกน้าโทรไปหาพ่อเขา เล่าเรื่องวันนี้ให้พ่อเขาฟัง
ตำรวจที่ว่าจะมาจับผมก็กลายเป็นมาแสดงความยินดีด้วย และก็มาแจ้งว่ามีการถอนแจ้งความแล้ว
ส่วนคนขับรถโรงพยาบาล ตำรวจก็ขับรถมาส่งถึงที่บ้าน
หลังจากกินอาหารค่ำเสร็จ คนขับรถกับพยาบาลก็ขอตัวกลับ
พวกญาติๆ น้าๆทั้งหลาย ต่างมารวมตัวกันที่บ้านยาย เล่าเรื่องราวในอดีตกันสนุกสนาน
ผมเห็นใบหน้าของน้าคนที่ป่วยยิ้มมีความสุขมาก
แม้จะยังคงดูอิดโรยเพราะป่วยมานาน แต่ก็ยังมีเรี่ยวแรงมานั่งฟัง
จนประมาณสองทุ่มลูกน้าก็เลยพาแกไปพักผ่อน
สามทุ่มทุกคนก็แยกย้ายกันกลับบ้านใครบ้านมัน
ผมเข้านอนแล้วก็หลับไปด้วยความเพลีย
แต่พอกลางดึก อยู่ๆก็รู้สึกตัว เพราะหนาว
ผมลืมตาตื่นขึ้นมาในความมืด เห็นควันสีขาวลอยอยู่บนเพดาน
แล้วก็ค่อยๆลอยต่ำลงมา ลงมา
จนกระทั้งปกคลุมไปตามลำตัวผม
อยู่ๆก็มีกลุ่มควันลอยพุ่งออกมาจากตัวผม
ไปรวมกับกลุ่มควันก้อนแรกจนดูสีเข้มขึ้นเป็นควันหนา
แล้วก็ค่อยๆลอยสูงขึ้น สูงขึ้นจนติดเพดานสักพักก็จางสลายหายไป
กลุ่มควันสีขาวเหลานี้ พลอยทำให้ผมนึกถึงพ่อหมอขึ้นมา
ในวันที่วิญญาณผมไปที่บ้านพ่อหมอคนนี้
ผมก็เจอกลุ่มควันสีขาวลักษณะนี้เหมือนกัน
วันที่ผมประสบอุบัติเหตุถ้าผมไม่ได้ไปเข้าพิธีกรรมของพ่อหมอ
ไม่มีกลุ่มควันสีขาวเหล่านี้มาปกปักรักษาตัวผมไว้
ป่านนี้ผมคงกลายเป็นผีตัวตายตัวแทนเฝ้าสี่แยกไฟแดงแทนวิญญาณสองตนนั้นไปแล้ว
รุ่นขึ้น ผมไปปรึกษากับน้าคนหนึ่งว่า
อยากจะไปนิมนต์พระไปสวดทำบุญ แผ่บุญกุศลให้กับ น้าวิลัย ที่ต้นไม้ใหญ่นั้น
ผมเล่าให้น้าคนนี้ฟังว่า เมื่อวานเห็น วิญญาณน้าวิลัยหายเข้าไปในโคนต้นไม้ใหญ่
พอแกได้ฟัง แกก็เห็นด้วย
ผมก็เลยรีบไปจัดแจงเตรียมข้าวปลาอาหารต่างๆ ของถวาย
และไปนิมนต์พระไปทำบุญตามที่ตั้งใจไว้
ผมกลับมาทำงานตามปกติ
เรื่องหูแว่ว เห็นอะไรเพี้ยนๆ ไม่ปรากฏให้เห็นอีกเลย
นับตั้งแต่วันที่ ควันสีขาวนั้นออกจากร่างผม
ส่วนน้า ก็อยู่บ้านยายที่ต่างจังหวัด นานเป็นเดือนแล้ว
ดูอ้วนท้วนขึ้น แข็งแรงขึ้น เดินเหินคล่องแคล่วกว่าแต่ก่อน
“และนี้แหละ เป็นเรื่องอันอัศจรรย์ที่สุดในชีวิตของผม แล้วคุณหละ มีเรื่องอัศจรรย์อะไรในชีวิตบ้างไหม”
ผมขับรถโรงพยาบาลหนีรถตำรวจออกมาด้วยความเร็วสูง
จนรถคันที่อยู่ในเลนเดียวกัน เห็นรถโรงพยาบาลเปิดไฟฉุกเฉิน มีรถฉลามตามมาติดๆ
ต่างพากันหลบเข้าไหล่ทางกันหมด
พยาบาลชะโงกหน้าออกมาที่เบาะด้านหน้า ถามว่าเกิดไรขึ้น
แล้วก็ตกใจที่เห็นผมขับรถอยู่ แล้วก็ถามว่าอ้าวแล้วพี่คนขับหละ
ทุกอย่างเงียบไม่มีใครตอบอะไร
ลูกน้า ดูร้อนรนกว่าผม กระสับกระส่ายไปมา ถามผมว่า เราทำถูกแล้วใช่ไหม
ผมก็บอกว่า พ่อเองก็แค่โกรธ แต่ไม่ถึงตายหรอก แต่แม่เองนี่ นี่เป็นโอกาสเดียวนะ
รถตำรวจเริ่มไล่ตามมาติดๆ ผมก็พยายามเร่งเครื่องหนี ขับไปได้สักพักใหญ่
ผมมองไปข้างหน้ามีรถติดไฟแดงจอดอยู่ มันใกล้จะเข้าในเมืองแล้ว เริ่มมีปริมาณรถมาก
ผมชะลอความเร็วลง รถตำรวจก็ยังตามมาติดๆ เปิดสัญญาณลั่น
ช่วงนั้นผมคิดว่าต้องโดนจับแน่ๆ คิดอะไรไม่ออก ว่าจะไปทางไหนดี
ถ้าติดไฟแดงแยกนี้ก็จบกัน
เสียงประกาศดังออกมาจากรถตำรวจ
ผมได้ยินแต่แว่วๆว่า รถพยาบาลหยุดด้วย จอดเดี๋ยวนี้
ผมยังขับต่อไป จนถึงบริเวณรถที่จอดติดไฟแดงอยู่ ปรากฏว่าพอไปถึงแยกไฟแดง
รถที่จอดรอไฟเขียวอยู่นั้น ต่างพากันขยับรถเปิดทางให้รถที่ผมขับอยู่ ผ่านออกไปได้
ผมค่อยๆขับรถผ่านแยกนั้นช้าๆ แม้แต่แยกฝั่งที่มีไฟเขียว มีรถจอดอยู่ เขากลับไม่ขับออกมาจากแยก
คงพากัน งง มั่งว่ามันอะไร
เหมือนทุกคนจอดดูรถโรงพยาบาลเคลื่อนผ่านแยกไฟแดงนั้นไป โดยมีรถตำรวจตามมาติดๆ
หลังจากผ่านแยกไฟแดงนั้นไปได้
ดูเหมือนว่ารถตำรวจจะเลิกตามเรา คงเป็นเขตรับผิดชอบอีกพื้นที่หนึ่งไปแล้ว
ลูกน้าโทรไปหาพ่อเขา โวยวายกับพ่อเขาว่า
พ่อแจ้งความจับเราทำไม เสียงพ่อก็ตะโกนด่าตอบกลับมาฟังไม่ได้ศัพท์ ว่าพูดอะไรกัน
เพราะต่างฝ่ายต่างโวยวายใส่กัน แต่ทุกอย่างก็เงียบลงตรงที่ ลูกน้าพูดว่า
แม่ยังไม่ตายแล้วนี่ใกล้จะถึงบ้านยายแล้วด้วย พ่อยังจะให้แม่กลับไปอยู่ไหม
เมื่อเหตุการณ์สงบลง ผมก็ขับรถต่อไปสักพักใหญ่ๆ
ผมขับรถไปถึงที่บ้านยายเกือบจะเย็นมากแล้ว
เจอรถตำรวจจอดอยู่ มีตำรวจยื่นรออยู่สี่ห้านาย
เห็นน้าคนอื่น เห็นญาติๆ ลูกเด็กเล็กแดงมายืนรออยู่หน้าบ้าน ราวกับว่านัดหมายกันมา
ผมเปิดประตูรถ พยายามจะเข้าไปในบ้าน
แต่มีตำรวจมาแสดงตัว ขอเชิญไปที่โรงพัก
ญาติๆ กับน้าๆ ลงมาขวางแล้วถามผมว่าเกิดอะไรขึ้น
ผมได้ยินเสียงลูกน้าคุยโทรศัพท์กับพ่อเขาว่า
พ่อหนูบอกให้ถอนแจ้งความไงเข้าใจไหม ตอนนี้เรามาถึงบ้านยายแล้ว
ผมถามน้าๆกับญาติๆว่ามีใครรู้จัก จุดที่ น้าวิลัยเสียชีวิตบ้าง ผมจะต้องพาน้าไปที่นั้น
ญาติผมถามว่าไปทำไม
ผมไม่รู้จะตอบยังไง จะพูดความจริงไปคนก็คงไม่เชื่อ
จะโกหกว่าน้าเขาอยากไปเองเป็นครั้งสุดท้าย
มันก็เป็นการโกหกคนที่มามุงดูมากมายไปด้วย
ผมอ้ำๆอึ้งๆอยู่ครู่หนึ่ง อยู่ๆ ลูกน้าก็พูดขึ้นว่า
แม่สั่งไว้ว่าก่อนจะตายอยากกลับไปที่ที่น้าวิลัยเสียชีวิต
ทุกคนหันไปมองลูกน้าเป็นตาเดียวกัน
แล้วญาติผมคนหนึ่งก็พูดขึ้นว่าเออ มันสองคนนี้เล่นกันมาด้วยกันตั้งแต่เด็ก
บทจะตายก็อยากตายในจุดเดียวกัน ก็ถือว่าสงเคราะห์มันหน่อยเถอะวะ
อี่นั่งคนนี้มันก็ป่วยมาครึ่งค่อนชีวิตของมันแล้ว มันจะไปสบายแล้ว
สิ้นเสียงคำพูดของญาติผมคนนั้น
ดูเหมือนว่าสีหน้าทุกคนเปลี่ยนไป ญาติๆทุกคนก็ต่างพากันอาสาจะพาไป
ผมหันไปบอกตำรวจว่า
ให้ผมพาคนไข้ไปจุดที่เขาต้องการก่อนนะครับ แล้วค่อยจับผม
ตำรวจนายหนึ่ง พูดว่า
ไปเถอะ คนบ้านเดียวกัน เดี๋ยวผมจะนำทางให้ โอ๊ยคนรู้จักกันทั้งนั้น
สักพัก รถตำรวจก็ขับนำทาง มีลูกเล็กเด็กแดงขึ้นไปนั่งอยู่เต็มหลังกะบะรถตำรวจ
มีญาติบางคนก็ขี่มอเตอร์ไซด์ตาม
น้าน้าสองคนกับลูกๆ ขึ้นมานั่งรถโรงพยาบาลไปด้วยกันกับผม
ผมได้ยินเสียงเขาทักทายกันกับน้าที่ป่วย ว่าจำคนนั้นได้ไหมคนนี้ได้ไหม
ผมรู้สึกอบอุ่น รู้สึกตื่นเต้นที่เห็น รถยนต์ เคลื่อนไปในหมู่บ้านเล็กๆ ราวกับขบวนแห่
พอไปถึงที่นั่น ตอนนั้นเกือบจะพลบค่ำแล้ว บรรยากาศเริ่มมีแสงน้อยลง
ผมกลัวว่าจะมืดค่ำก่อน เพราะจะทำให้การเดินทางลำบาก
ผมต้องจอดรถอยู่ข้างทาง มองไปข้างหน้าเป็นทุ่งนา
ไกลๆราวร้อยสองร้อยเมตร เห็นต้นไม้สูงๆต้นหนึ่ง
มีญาติ มีน้าผมชี้ว่าโน้นใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นโน้น ที่อี่ลัยมันตาย
คนหนึ่งพูดว่า ไม่มีถนนไปนะ จะพาผู้ป่วยไปยังไง
นี่ก็ใกล้จะมืดแล้ว ก็พอดีกว่าจะหามกันไปถึงก็คงจะมืดพอดี
พยาบาลลงมาจากรถบอกว่า เรามีเปลสนามคะ สามารถหามผู้ป่วยไปได้
ทุกคนก็รีบจัดแจงเตรียมตัวช่วยขนข้าวของกันทั้นที
น้าผมบางคนประกาศตรงนั้นเลยว่า ขออาสาสมัครชายฉกรรจ์ 4 คน
ไม่นานก็มีชายร่างใหญ่มายืนรอพร้อมจะช่วยหาม
พยาบาลจัดแจงเอาถังออกซิเจนขนาดเล็ก
เปลี่ยนจากหน้ากากครอบจมูก เป็นแบบ สายเล็กๆที่ไปจ่อตรงจมูกโดยตรง
ทุกคนช่วนกันย้ายน้าจากเตียงบนรถไปที่เปลสนาม ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วมาก
ไม่นาน ก็เห็นร่างชายสี่คนช่วยกันหามน้าผมไปพร้อมกับพยาบาลถือถังออกซิเจนเดินตามกันริ่วๆผ่านทุงนาไป
โดยมีขบวนทั้งญาติทั้งชาวบ้านแห่ตามก้นกันไปมุงดูราวกับว่ามีมหรสพ
ไม่นานก็ถึงใต้โคนต้นไม้นั้น แสงอาทิตย์เริ่มหดหาย ทุกอย่างค่อยๆสลัวสลัว
ผมเดินไปหาน้าที่นอนอยู่ในเปลสนาม
ผมปลุกน้า แล้วก็บอกว่า น้าเตรียมพบกับสิ่งที่หายไปนะ น้าพยักหน้ารับทราบ
ผมค่อยๆลุกออกมา ยื่นดูอยู่ห่างๆ มองไปรอบๆต้นไม้ ผมไม่เห็นควันสีฟ้านั้นเลย
รออยู่สักพักจึงบอกให้ทุกคนเรียกชื่อน้า เรียกชื่อน้าดังๆ
ตอนแรกไม่มีผู้ใหญ่คนไหนกล้าเรียก มีเสียงเด็กๆพากันเรียกชื่อน้าขึ้นมาก่อน
ถึงมีผู้ใหญ่บางคนเรียกตาม
แล้วชื่อน้าก็ดังกระหึ่มไปทั่วแถวนั้น
ไม่นาน ผมเห็นกลุ่มควันสีฟ้าค่อยๆลอยออกมาจากป่าใกล้ๆแถวนั้น
ค่อยๆลอยเข้ามาใกล้ๆต้นไม้
ผมบอกให้ทุกคนเงียบ ทำมือห้ามที่ปากเป็นสัญญาณให้เงียบ ทุกคนเงียบกันหมด
ควันสีฟ้ารวมตัวกันเป็นสีน้ำเงินเข้ม แล้วหยุดอยู่ใต้โคนต้นไม้
ผมค่อยๆเดินไปหาน้าที่นอนอยู่
กระซิบให้แกเรียกชื่อตัวเอง
น้าผมแกก็ค่อยๆเรียกชื่อตัวเอง แต่เสียงดังไม่พอ
แกพยายามอยู่สามสี่ครั้ง
จนครั้งสุดท้ายก็เรียกชื่อตัวเองออกมาเสียงดังจนผมก็ได้ยินเสียงนั้นด้วย
แล้วอยู่ๆกลุ่มควันสีน้ำเงินนั้นก็วิ่งเข้าไปในตัวน้าอย่างเร็ว
เหมือนเด็กน้อยที่ ผลัดหลงจากแม่ แล้วรีบถลาเข้ากอดผู้เป็นแม่ทันทีเมื่อเจอกัน
ผมมองไปเห็นน้าสะดุ้งเฮือกตอนที่กลุ่มควันวิ่งเข้าหาตัวน้า
ทุกอย่างเงียบลงอีกครั้ง ทุกคนลุ้นอย่างใจจดใจจ่อ
อยู่ๆ ผมก็เห็นกลุ่มควันสีขาวลอยออกมาจากตัวน้า
แล้วก็ค่อยๆเรียงตัวกันเป็นรูปเด็กผู้หญิงอยู่ตรงแถวๆปลายเท้าของน้า
ผมเผลอหลุดปากออกมาโดยไม่รู้ตัว “น้าวิลัย”
ลูกน้ามองหน้าผมด้วยความฉงน ว่าผมเห็นอะไร
แล้วกลุ่มควันสีขาวก็ค่อยๆโตขึ้นโตขึ้นจนเท่ากับร่างผู้ใหญ่
แล้วก็กลายเป็นเงาสีดำโปรงแสง ค่อยๆลอยหายเข้าไปในต้นไม้
หลังจากนั้น ผมเห็นน้าคนที่ป่วยเอามือมาจับที่แขนพยาบาล พยายามจะลุกนั่ง
จนพยาบาลเองต้องพยุงน้าให้ลุกขึ้นมานั่ง
น้าหันมาทางผมหันไปมองดูรอบๆตัว อยู่ๆสิ่งที่ทุกคนไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น
น้าผมลุกขึ้นยืน โดยมีพยาบาลพยุงตัวขึ้นช้าๆ
ทุกคนที่เห็นต่างโห่ร้องยินดี พากันปรบมือกันเสียงดังสนั่นโดยไม่รู้ตัว
วินาทีนั้นอยู่ๆผมก็รู้สึกตื้นตันขึ้นมาที่ลำคอ รู้สึกว่าสิ้นสุดการรอคอย
รู้สึกถึงการรอค่อยที่โดดเดี่ยวมานานนับสิบๆปีมันจบแล้ว
น้ำตาผมเอ่อขึ้นมาเต็มเบ้าตา
มองไปเห็นลูกน้ายืนน้ำตาเอ่อเต็มใบหน้าอยู่ข้างๆ
ผมมองไปเห็นญาติคนหนึ่งปกติแกจะเป็นคนที่เข้มแข็งคนหนึ่ง
วันนั้น น้ำตาแกไหลออกมาอาบแก้มทั้งสอง
พลอยทำให้น้ำตาที่คลอๆอยู่ที่ตาของผมทะลักออกมาเต็มใบหน้าไปด้วย
ผมใช้มือปาดน้ำตา เป็นน้ำตาแห่งความปิติ
เป็นน้ำตาแห่งชัยชนะ เราเหนื่อยกันมาหลายปี
ลูกน้าปกติเขาไม่เคยเห็นผมร้องไห้เลย
พอเห็นผมเอามือปาดน้ำตา แกก็เข้ามากอดผมอยู่ข้างๆ
บอกว่า เฮีย ขอบคุณนะที่ทำทุกๆอย่างให้กับแม่หนู
ผมอยากจะพูดอะไรออกไปแต่มันรู้สึกจุกอยู่ที่คอหอย จนพูดไม่ออก
ได้แต่สะอื้นไห้ออกมาแทน
พี่น้องของน้าต่างพากันเข้าไปพูดจากับน้าด้วยความยินดี
เหมือนคนที่จากกันมานานนับปีได้มาเจอกันอีก
หลังจากนั้นเราก็พาน้ากลับบ้าน ลูกน้าโทรไปหาพ่อเขา เล่าเรื่องวันนี้ให้พ่อเขาฟัง
ตำรวจที่ว่าจะมาจับผมก็กลายเป็นมาแสดงความยินดีด้วย และก็มาแจ้งว่ามีการถอนแจ้งความแล้ว
ส่วนคนขับรถโรงพยาบาล ตำรวจก็ขับรถมาส่งถึงที่บ้าน
หลังจากกินอาหารค่ำเสร็จ คนขับรถกับพยาบาลก็ขอตัวกลับ
พวกญาติๆ น้าๆทั้งหลาย ต่างมารวมตัวกันที่บ้านยาย เล่าเรื่องราวในอดีตกันสนุกสนาน
ผมเห็นใบหน้าของน้าคนที่ป่วยยิ้มมีความสุขมาก
แม้จะยังคงดูอิดโรยเพราะป่วยมานาน แต่ก็ยังมีเรี่ยวแรงมานั่งฟัง
จนประมาณสองทุ่มลูกน้าก็เลยพาแกไปพักผ่อน
สามทุ่มทุกคนก็แยกย้ายกันกลับบ้านใครบ้านมัน
ผมเข้านอนแล้วก็หลับไปด้วยความเพลีย
แต่พอกลางดึก อยู่ๆก็รู้สึกตัว เพราะหนาว
ผมลืมตาตื่นขึ้นมาในความมืด เห็นควันสีขาวลอยอยู่บนเพดาน
แล้วก็ค่อยๆลอยต่ำลงมา ลงมา
จนกระทั้งปกคลุมไปตามลำตัวผม
อยู่ๆก็มีกลุ่มควันลอยพุ่งออกมาจากตัวผม
ไปรวมกับกลุ่มควันก้อนแรกจนดูสีเข้มขึ้นเป็นควันหนา
แล้วก็ค่อยๆลอยสูงขึ้น สูงขึ้นจนติดเพดานสักพักก็จางสลายหายไป
กลุ่มควันสีขาวเหลานี้ พลอยทำให้ผมนึกถึงพ่อหมอขึ้นมา
ในวันที่วิญญาณผมไปที่บ้านพ่อหมอคนนี้
ผมก็เจอกลุ่มควันสีขาวลักษณะนี้เหมือนกัน
วันที่ผมประสบอุบัติเหตุถ้าผมไม่ได้ไปเข้าพิธีกรรมของพ่อหมอ
ไม่มีกลุ่มควันสีขาวเหล่านี้มาปกปักรักษาตัวผมไว้
ป่านนี้ผมคงกลายเป็นผีตัวตายตัวแทนเฝ้าสี่แยกไฟแดงแทนวิญญาณสองตนนั้นไปแล้ว
รุ่นขึ้น ผมไปปรึกษากับน้าคนหนึ่งว่า
อยากจะไปนิมนต์พระไปสวดทำบุญ แผ่บุญกุศลให้กับ น้าวิลัย ที่ต้นไม้ใหญ่นั้น
ผมเล่าให้น้าคนนี้ฟังว่า เมื่อวานเห็น วิญญาณน้าวิลัยหายเข้าไปในโคนต้นไม้ใหญ่
พอแกได้ฟัง แกก็เห็นด้วย
ผมก็เลยรีบไปจัดแจงเตรียมข้าวปลาอาหารต่างๆ ของถวาย
และไปนิมนต์พระไปทำบุญตามที่ตั้งใจไว้
ผมกลับมาทำงานตามปกติ
เรื่องหูแว่ว เห็นอะไรเพี้ยนๆ ไม่ปรากฏให้เห็นอีกเลย
นับตั้งแต่วันที่ ควันสีขาวนั้นออกจากร่างผม
ส่วนน้า ก็อยู่บ้านยายที่ต่างจังหวัด นานเป็นเดือนแล้ว
ดูอ้วนท้วนขึ้น แข็งแรงขึ้น เดินเหินคล่องแคล่วกว่าแต่ก่อน
“และนี้แหละ เป็นเรื่องอันอัศจรรย์ที่สุดในชีวิตของผม แล้วคุณหละ มีเรื่องอัศจรรย์อะไรในชีวิตบ้างไหม”
แสดงความคิดเห็น
เรื่องไม่มีชื่อ
จนกระทั้ง หมอบอกหมด หนทางเยียวยา ก็ให้มาพักฝื้นอยู่บ้าน รักษากันตามอาการที่เกิด ในแต่ละวัน
ญาติๆ ลูกๆ ของน้า ชอบไปหาหมอดูบ้าง หมอเข้าทรงบ้าง หมอผีที่มีการรักษาแบบต่างๆบ้าง แต่ก็ไม่หาย
จนอาการน้าเริ่มหนักขึ้น บังเอิญผมมีคนรู้จักท่านหนึ่ง แนะนำให้ไปหาหมอพื้นบ้านคนหนึ่ง
เขารักษาคนที่มีอาการหนักปางตายหายมานักต่อนักแล้ว
และเขายืนยันว่า ญาติเขาก็หายด้วยวิธีนี้ แต่ หมอพื้นบ้านนั้นเขาอยู่ที่มาเลเซีย
ถ้าจะไปต้องนัดคิวล่วงหน้า และก็ใช่ว่าจะได้พบง่ายๆ
คนรู้จักคนนั้น เอาเบอร์โทรติดต่อไกด์คนที่จะพาไปหาได้ มาให้ผมลองโทรไปถามดู
ไม่รู้ว่าโชคหรือว่ายังไง ปรากฏว่า พ่อหมอดังกล่าวเขาว่างช่วงนี้พอดี ไม่ต้องรอคิวนาน
ผมก็เลยถามว่าต้องพาผู้ป่วยไปไหม
เขาบอกว่าไม่ต้อง ให้ญาติมาก็ได้
ผมก็เลยตัดสินใจไปมาเลเชียทันที
ผมเดินทางไปหาหมอพื้นบ้านที่มาเลเชีย
ทางที่เข้าไปในหมู่บ้าน ค่อนข่างกันดานมาก
ใจผมไม่สู้ดีนะ ไม่รู้ว่าจะต้องเจอกับอะไร
พอไปถึง บ้านพ่อหมอ
มันไม่มีอะไรบ่งบอกเลยว่า ที่นี่รับรักษาคน
ลักษณะเป็นบ้านไม้เล็กๆ เก่าๆ ข้างในมีข้าวของรุงรัง
ไม่ต่างจากสภาพบ้านคนจนๆในสลัมบ้านเรา
ผมนึกในใจว่าโดนหลอกมาหรือเปล่า เสียค่าเดินทาง เสียเวลาเปล่าแน่
ชายที่พามา แปลให้ฟังว่า
พ่อหมอบอกว่า ไม่ต้องห่วง น้าที่ป่วยอยู่จะหาย ถ้าทำพิธีในวันนี้เสร็จ
ผมก็ตกใจเล็กน้อยว่าเขารู้ได้ไงว่า น้าผมป่วย
เขาให้ผมไปนั่งอยู่ข้างหน้าพ่อหมอ
แล้วพ่อหมอก็ท่องคาถาอะไรไม่รู้ เสียงดังมาก สักพักใหญ่
เขาก็บอกให้ลุกขึ้น แล้วก็ให้เดินไปที่ที่นอน ตรงริมหน้าต่าง
ผมเดินไป มองเห็นว่าที่ที่จะนอนกลับไม่ใช่ที่นอน มันเป็นอ่างน้ำขนาดใหญ่
ผมก็ไม่คิดอะไร ก็ลงไปนอนในอ่างน้ำ
อยู่ๆ พ่อหมอกับลูกศิษย์ก็เทน้ำมนต์ลงมา ในอ่างจนเต็ม
ผมนึกในใจว่า ต้องใช้น้ำมนต์ท่วมตัวขนาดนั้นเลยหรือ
สักพัก ไกด์ก็มาแปลให้ฟังว่า ให้ผมกลั้นหายใจ แล้ว นอนลงไปในอ่างน้ำ ผมก็ทำตาม
พอหน้าเริ่มจมลงไปในน้ำอยู่ๆก็มีมือมากดหัวผมไว้ ผมคิดว่าคงเป็นมือที่มาสัมผัสเราเพื่อจะท่องคาถา
แต่ปรากฏว่าสักพักจนผมหายใจไม่ออกพยายามจะเอาหัวพ้นขึ้นมาเหนือน้ำ
มือนั้นกลับกดหัวผมแรงขึ้นเหมือนจะไม่ให้ผมลุกขึ้นมา ผมสบัดตัวแรงขึ้น พยายามดันตัวขึ้นจากน้ำ
แต่ก็มีมือเล็กมือน้อยมาดันผมให้นอน ผมดิ้นทุรนทุรายไปมา หายใจไม่ออกกลัวมาก
ตอนนั้นนคิดว่าคงตายแน่ๆ อาจจะโดนฆ่า
แล้วก็คงเอาไตไปขายเอาเครื่องในไปขายอย่างในข่าวที่เขาว่า
ผมดิ้นเฮือกสุดท้าย สุดแรงเกิด สู้แรงของสองคนยืนพรวดขึ้นมาได้
พ่อหมอกับเด็กบริวาน ตกใจมาก
ผมผลักทุกคนออก ไม่ให้เข้ามาใกล้ตัวผม พ่อหมอหันไปพูดกับไกด์
ไกด์ก็พูดกับผมว่า
ต้องทำให้ร่างกายเหมือนตาย หยุดหายใจ แล้วพ่อหมอจะพาไปพบกับผู้ปลดปล่อย
เพื่อขอให้เขาช่วยน้าของผม
หลังจากนั้นเขาจะทำให้ผมฝื้น
ไกด์บอกว่าเขาเคยเห็นพิธีนี้มาก่อน
แล้วสามารถฝื้นคืนมาได้จริงๆ และอาการโรคร้ายต่างๆก็หาย จริงๆ
ตอนนั้นผมตกใจมาก และก็พยายามจะทำอะไรสักอย่างเพื่อป้องกันตัว
แต่ไกด์พยายามให้ผมทำใจให้สงบ
ผมบอกว่าทำแบบนี้ผมไม่เสี่ยง แล้วก็บอกให้เขาพาผมกลับออกมาทันที
ตอนกลับ ระทึกมาก มีชายสองคนตามมา
ผมคิดว่าเขาคงกลัวผมจะแจ้งความ เลยตามมาฆ่าปิดปาก
แต่จริงๆ เขาแค่มาเฝ้าดูเฉยๆ ว่าผมจะไปหาตำรวจไหมหรือว่ากลับประเทศเลย
มาถึงบ้าน อาการญาติทรุดหนัก ผมมาบอกว่าทุกอย่างล้มเหลวไม่ได้อะไรกลับมา
คืนนั้นเอง กลางดึกผมตื่นมา มองไปปลายเท้า เห็นควันขาวๆ รวมตัวเป็นกลุ่มสูงเท่าตัวคน
มันลอยไป ลอยมา ในห้อง อย่างช้าๆ ผมรีบเปิดไฟเพื่อจะดูว่ามันคือควันอะไร
แต่พอมีแสงสว่าง ควันประหลาดนั้นก็หายไป
และพองีบหลับไปได้สักพักอยู่ๆก็รู้สึกตัวตื่นขึ้นมาอีก
เห็นควันสีขาวลอยอยู่บนลำตัวผม ปกคลุมทั้งร่าง
แล้วควันขาวๆนั้นก็พุงลงแทรกหายเข้าไปตามตัวผม
ตอนนั้นผมรู้สึก เจ็บจี๊ดที่สมองมากๆ เหมือนแสบๆเจ็บๆ แสบจี๊ดที่สมอง เป็นละรอกละรอก
ตัวผมเกร็งไปหมด
หลับตา ก็เห็นแต่แสงสีขาวว๊าบ ตอนที่เจ็บ
และมืดตอนที่หายเจ็บ
เป็นแบบนั้นอยู่ราวๆ สักครู่หนึ่ง
ผมก็เลยร้องตะโกนออกมา ว่า "อย่า !!!!!!!"
คนทั้งบ้านแตกตื่นมาดูผม เพราะผมร้องเสียงดังมาก
พอในห้องเปิดไฟมีแสงสว่างเกิดขึ้น
อาการของผมที่เจ็บจี๊ดที่สมอง ก็หายเป็นปลิดทิ้ง
ทุกคนถามว่าเป็นอะไร ผมก็บอกว่าฝันร้าย ไม่มีอะไร บอกให้ทุกคนแยกย้ายไปนอน
คืนนั้นผมนอนไม่หลับ เปิดไฟนอน
คิดถึงแต่เรื่องที่เกิดขึ้นกับตัวเราเมื่อสักครู่นี่ มันคืนอะไรกันแน่
เช้ารุ่งขึ้น ผมไปทำงาน มีคนมากระซิบที่หูผม 00
ผมตกใจมากเพราะมันเป็นเสียงคนที่อยู่ข้างๆหูชัดมาก
ผมตกใจจนรีบหันกลับไปมองว่าใครมากระซิบอย่างเร็ว
จนเพื่อนที่ทำงาน เห็นแล้วก็ยังตกใจตาม
เขาถามว่า เป็นไร
ผมเลยพูดตอบไปว่า เมื่อกี้มีใครพูดอะไรไหม ทุกคนก็ตอบว่าเปล่า
ผมก็นั่งทำงานต่อ สักพักมีคนมากระซิบข้างหูผมอีกว่า 09
ผมก็ตกใจอีก เพราะมันดังกว่าครั้งแรก ผมก็ตะโกนขึ้นมาว่า ใครแกล้งวะ
ทุกคนในที่ทำงาน งง กัน
ผมมองหน้าทุกคนแล้ว เดินออกจากห้อง
ออกไปร้านกาแฟแถวนั้น นั่งกินกาแฟ ทำสติอยู่พักใหญ่
ในใจก็คิดว่าหรือจะเป็นเพราะเราไม่ได้นอน เมื่อคืนนี้
เลยหลอน ประสาทกลับ
วันนั้น ช่วงเย็น หวยออก สองตัวบน 00 สองตัวล่าง 09
ผมแปลกใจมาก มันเป็นเลขที่ผมได้ยินจากเสียงกระซิบ
ผมโทรศัพท์ไปถามคนที่พาผมไปหาพ่อหมอที่มาเลย์ เขาไม่รับสาย
ผมอยากเล่าเรื่องนี้ให้เขาฟัง อยากปรึกษาเขาว่า
มีใครหลังจากไปหาพ่อหมอแล้ว มีอาการแบบผมไหม
คืนนั้น ผมนอนไม่หลับอีก จนกระทั้งใกล้จะสว่างก็ง่วงแล้วหลับไป
แล้วผมก็ฝันเห็นน้าผมคนที่ป่วย นอนอยู่บนเตียง ผมยืนอยู่ข้างๆเตียง
มองไปที่น้า ใบหน้าของน้าผมนอนหลับสนิทอยู่
แต่ด้านข้างศีรษะของน้า มีใบหน้าผู้หญิงฟันเหยิน จมูกหัก กรอกกลิ้งตาไปมา มองมาที่ผม
ผมตกใจมาก ใบหน้านั้นยิ้มให้ผม
ผมถามว่า เป็นใครทำไมหน้ามาติดอยู่บนหัวน้าผม
เขาหัวเราคิคิ แล้วพูดว่า กูสบาย.... กูสบาย.....
ผมพูดออกไปว่า ออกไปจากหัวน้าผมเดียวนี้
เขาบอกว่าไม่ไปยังไงก็ไม่ไป กูสบาย.... กูสบาย....
หลังจากที่ผมตกใจตื่น พยายามรวบรวมความฝันที่ฝันเมื่อคืน ว่ามันเรื่องอะไรกันแน่
แล้วเย็นวันนั้นผมก็ไปเยี่ยมอาการของน้า
น้าอาการไม่ค่อยดีพูดไม่ค่อยได้ เจ็บคอ
แล้วข้างๆแก้มซีกที่ผมฝันเห็นใบหน้าประหลาดโผลออกมาจากหัวน้า
มันเป็นร้อยเขียวช้ำ
ผมถามว่าทำไมถึงเป็นช้ำๆที่แก้ม
ลูกน้าตอบว่า เมื่อคืนอยู่ๆแม่ก็ตกจากเตียง หน้าไปกระแทกพื้น
ผมแปลกใจที่เห็นลอยแผลมันเกิดขึ้นตรงกับบริเวณที่ผมฝันเห็น
ผมคิดในใจอยู่ว่าจะให้เอาน้าลงมานอนกับพื้นดีกว่าไหม
แต่คิดอีกที มันก็ลำบาก กว่าจะลุกจะนั่ง
อยู่บนเตียงก็จะลุกนั่งสะดวกกว่า เลยไม่ได้พูดอะไร
กลับมาบ้าน คืนนั้น อยู่ๆไฟฟ้าระแวกบ้านดับ เลยไปหาเทียนมาจุด
ผมนั่งพักผ่อนอยู่แถวๆเทียนที่จุด
จนกระทั้งมันเหลือสั้นลง ผมกะว่าจะจุดเทียนอีกแท่ง
เลยเอาเทียนแท่งใหม่ไปต่อไฟที่เทียนแท่งเก่า
อยู่ๆเปลวเทียนมันก็วิ่งเข้ามาหาที่มือผม ราวกับว่า มีลมพัดมันเข้ามา
ผมตกใจ รีบปล่อยเทียนที่ถือในมือตกลงไปที่พื้น
ผมไม่เชื่อสายตาตัวเองเลยลองเอานิ้วมือค่อยๆเข้าไปใกล้เปลวเทียน
อยู่ๆ เปลวเทียนก็ลู่เข้ามาหาที่นิ้วผมทันที
ผมตกใจมาก นี่มันอะไรกัน ทำไมมีเรื่องแปลกๆเกิดขึ้นกับเราแบบนี้
อยู่ๆผมก็นึกอะไรขึ้นมาแบบทันด่วน
รีบวิ่งไปเอาเทียนมาจุด ล้อมรอบตัวเองไว้ เป็นวงกลม แล้วก็นั่งสมาธิ
ไม่ถึงห้านาที ผมรุ้สึกเหมือนมีลมพัดเข้ามาประทะที่หน้าผมอย่างแรง เหมือนโดนพัดลมเป่าใส่หน้า
ผมรีบลืมตาดู ปรากฏว่า ทุกอย่างเป็นปกติ ไม่มีลม
เปลวเทียนก็ปกติทุกอย่าง ผมสงสัยมากมันคืออะไรทำไมเรารู้สึกแบบนี้
ผมก็ลองนั่งสมาธิใหม่อีกครั้ง
คราวนี้ผมกลับเห็นภาพเหมือนในฝันเมื่อคืน มันชัดมาก
ทุกอย่างเกิดขึ้นขณะที่ผมมีสติทุกอย่าง
ไม่ใช่นอนหลับแล้วฝัน แต่ภาพที่เห็นมันเหมือนในฝันมาก
ผมเห็นน้านอนอยู่ที่เตียง แล้วก็มีหน้าผู้หญิงคนนั้นอยู่ตรงข้างแก้มของน้า
แล้วก็ยุบหายเข้าไปในศีรษะน้า
สักพักก็โผล่ขึ้นมาตรงใบหน้าของน้าเลย
ทำให้ใบหน้าน้าเปลี่ยนไป เป็นหญิงคนนั้น
แล้วก็สักพัก หน้าผู้หญิงคนนั้นก็ยุบหายไป กลับกลายมาเป็นหน้าน้าเหมือนเดิมอีก
ผมมองเหตุณ์การที่เกิดอย่าง งง ๆ ว่า มันคืออะไร .....
เดี่ยวมาเล่าต่อครับไปทำธุระก่อน
ขอบคุณทุกท่านเข้ามาติดตามครับ
ลิงค์รวมทั้งเรื่องครับ https://ppantip.com/topic/35051667/story