The All Write Project 4 : อันตรคดี(วรรณคดี side-story) : ปรมัตถ์กิฎาการ




ปรมัตถ์กิฎาการ

(รามเกียรติ์ Side-Story)


[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้


             ราชรถแห่งองค์ทิวาเทพยังคงเคลื่อนที่ผินผ่านน่านฟ้า สาดแสงแห่งอรุณกาลลงสู่พื้นพิภพตามหน้าที่ เผยให้เห็นภาพของเหล่าวานร และหน่อพันธุ์อสุรวงศ์นับหมื่น ยืนประจันหน้ากันอยู่บนสมรภูมิ ต่างฝ่ายต่างส่งเสียงกู่ร้องใส่กันดังกึกก้อง กอปรด้วยเสียงกลองรบอันหนักแน่น เป็นดั่งมนต์สะกดให้หัวใจของทุกผู้ในบริเวณ เต้นกระชั้นถี่รัวขึ้น พร้อมกับความฮึกเหิมที่เพิ่มทวีคูณ แต่ก็เป็นเวลาเพียงชั่วไม่กี่นาทีเท่านั้น ก่อนตัวแทนของทั้งสองฝ่ายจะก้าวออกมาข้างหน้า

             ‘พิเภก’ ผู้เป็นตัวแทนฝ่ายทัพพระรามได้ยื่นข้อเสนอจากองค์บดินทร์ แก่ ‘กุมภกรรณ’ ผู้เป็นพี่ชาย ให้ยอมถอนกำลังกลับเมืองแต่โดยดี

              หากแต่ด้วยสังวรณ์ในหน้าที่ และศักดิ์ของตน อันเป็นน้องชายแห่งทศกัณฐ์ ทำให้มิอาจยอมได้แต่โดยดี กุมภรรณจึงได้ยื่นข้อเสนอกลับบ้างว่า หากองค์นารายอวตารตอบปริศนาข้อหนึ่งได้จึงจะยอม ก่อนจะเอ่ยปากพูดบทบริภาษขึ้น “ชีโฉด หญิงโหด ช้างงารี ชายทรชน”

             ทว่าไม่มีผู้ใดตอบได้ แม้แต่องคตเจ้าปัญญาเองก็ตาม

             กุมภรรณจึงเฉลยคำตอบอันเป็นทัศนคติจากมุมมองของตนให้ประจักษ์แก่กำลังพลทั้งสองฝ่ายว่า ‘ชีโฉด’ หมายถึงพระราม ที่เพียงเพื่อสตรีนางเดียวถึงกับต้องยกทัพมาทำสงคราม สร้างความเดือดร้อน และความสูญเสียให้เกิดขึ้นแก่ทั้งสองฝ่าย ‘หญิงโหด’ หมายถึงนางสำมะนักขาที่เมื่อไม่ได้พระรามมาเป็นพระสวามีอย่างตั้งใจไว้ ก็ยุยงให้ทศกัณฐ์ยกทัพทำสงคราม ‘ช้างงารี’ หมายถึงองค์อสุราสิบกร ที่เกะกะระรานไปทั่ว รวมถึงหวังได้ภรรยาผู้อื่นมาเป็นของตน ส่วน ‘ชายทรชน’ คือพิเภก ผู้ทรยศเชื้อสายยักษาวงศ์ของตนเข้าร่วมด้วยทัพพระราม

            หากแต่ด้วยสันดานแห่งเหล่าผู้อิ่มเอมในเกียติของตนทั้งหลาย นัยของกุมภรรณจึงเป็นเหมือนกับลมที่พัดให้เปลวไฟลุกโหมรุนแรงขึ้น ทั้งสองฝ่ายต่างกรีทาทัพเข้าห้ำหั่นกันกลางสมรภูมิ เวลาของมหาสงครามอุบัติขึ้นอีกครั้ง...

            ในอีกมุมหนึ่ง อสูรนาม ‘ภาพิต’ ผู้เป็นเพียงทหารเลวฝ่ายยักษ์เองก็เกิดความคิดอย่างเดียวกับกุมภกรรณขึ้นตั้งแต่เพลาแรกแห่งสงคราม พร้อมกับที่ได้พบรักท่ามกลางสมรภูมิกับ ‘กันต์’ ผู้เป็นพลทหารวานรชาติฝ่ายกองทัพพระราม... โดยที่ความแตกต่างระหว่างเผ่าพันธุ์ และความเสมอเหมือนบุรุษเพศ ก็มิอาจจะกางพรมแดนปิดกั้นความรู้สึกรักใคร่อันมีต่อกันไว้ได้

            ภาพิต และกันต์จึงตัดสินใจแอบหนีออกจากค่ายเมื่อราตรีที่ผ่านมา... ก่อนใครสักคนจะเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำ พลาดท่าเสียทีสังเวยชีวิตให้สงคราม

            “ท่านพี่ภาพิต สงครามเริ่มขึ้นอีกแล้ว ข้าเป็นห่วงพ่อ และพี่ชายเสียเหลือเกิน” กันต์พูดพลางกราดสายตาไปตามแนวยาวของสมรภูมิทั้งที่หยดน้ำยังคงรื้นคลอกระบอกตา ปรารถนาให้พ่อ และพี่ชายผู้ถูกเกณฑ์ให้เข้าร่วมในสงครามนี้เช่นกันยังคงปลอดภัย

            เมื่อได้เห็นใบหน้าอันเศร้าสร้อยของผู้ที่ตนรัก ยักษ์รูปงามจึงดึงร่างของกันต์เข้าไว้ในอ้อมแขน บรรจงจุมพิตลงกลางกระหม่อมทีหนึ่งเป็นการปลอบขวัญ ก่อนจะพูดขึ้น “ข้าเองก็เป็นห่วงน้องชายผู้กำลังยืนหยัดประดาบอยู่สักแห่งท่ามกลางกลิ่นคาวความตายเช่นกัน หากแต่ดูท่าสงครามครั้งนี้จะยืดเยื้อ ทวีความรุนแรงขึ้นกว่าเก่า อีกทั้งเรายังมีฐานะของผู้หนีทหารเป็นชนักปักหลัง คงมิอาจลอบเข้าไปพาครอบครัวหนีมาได้โดยง่ายเช่นตอนเราออกมา”

           “แล้วเราจะทำเยี่ยงไรกันดี” พลกระบี่เอ่ยถาม ทั้งที่ยังคงไม่ละสายตาจากภาพซากศพของทั้งสองฝ่าย ซึ่งกระจัดกระจายอยู่บนผืนดินชุ่มโลหิต กอปรด้วยบทเพลงไร้ความน่าอภิรมย์ของคมอาวุธกระทบกัน และเสียงกรีดร้องอย่างโหยหวนของผู้เพลี่ยงพล้ำ ก่อนจะซบหน้าลงแนบอกอีกฝ่าย ไร้ซึ่งความซุกซน ร่าเริงตามสัญชาติลิงแฝงกับแววตา ในหัวเกิดภาพนิมิตแห่งความตายของผู้เป็นครอบครัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง

            หากแต่ภาพิตกลับทำได้เพียงเงียบ โอบกอดปลอบประโลมคนรักไว้  มองดูห่าฝนเพลิงอันเกิดจากศรพรหมมาศขององค์นารายณ์อวตาร พุ่งลงปลิดชีวิตพลพรรคยักษาวงศ์นับร้อยในคราเดียว พร้อมกับความรู้สึกหลายอย่างเกิดขึ้นผสมผสานกัน ทั้งความเศร้า เวทนา... ในความไร้ค่าของชีวิตที่ต้องจบสิ้นลงในมหาสงครามครั้งนี้ ความกลัว... กลัวหนึ่งในผู้ต้องสังเวยชีวิตให้ฤทธานุภาพของศรวิเศษนั้นจะเป็นน้องชายเพียงหนึ่งเดียวของตน และความโกรธแค้น... แค้นในตัวพระราม รวมถึงตัวอสุรกษัตริย์ที่ลากผู้คนจำนวนมากเข้ามาข้องเกี่ยวในเรื่องไร้สาระส่วนตัว รวมถึงโกรธแค้นตัวเองซึ่งไร้กำลังเกินกว่าจะช่วยเหลือครอบครัวของตน และกันต์ให้หนีออกมาได้พร้อมกัน

            ฉับพลันนั้น ความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นดุจแสงอันสว่างวาบท่ามกลางความมืดมิด ภาพิตจึงไม่รอช้า รีบบอกความนั้นให้คนรักทราบทันที “น้องรัก ข้ามีวิธีแล้ว เห็นทีเราจักต้องแบกความด้อยปัญญาของเราเข้ากราบเท้าขอความช่วยเหลือกับ ‘ฤๅษีพิทยุตม์’ เสียแล้ว”

            “ใครกันรึท่านพี่”

            “ท่านเป็นฤๅษีผู้บำเพ็ญตบะอย่างสันโดษอยู่ลึกเข้าไปในป่าใกล้ ๆ นี่ ชื่อเสียงของท่านโดดเด่นมากในเรื่องของปัญญา และมนต์ตราคาถาอาคม หากแต่ท่านไม่ยอมให้ใครพบเจอตัวได้โดยง่าย ไม่ว่าจะเป็นอสูร มนุษย์ หรือเทวาองค์ใดก็ตาม ด้วยเชื่อว่า ทั้งหมดล้วนแล้วแต่แปดเปื้อนด้วยจิตใจอันไม่บริสุทธิ์ แต่... ข้าเชื่อว่า หากเราปรารถนาช่วยผู้อื่นด้วยความจริงใจแล้วไซร้ จะสามารถหาตัวเจอได้โดยง่าย” ภาพิตส่งยิ้มให้อีกฝ่ายทันทีที่พูดจบ ดวงตาเปี่ยมไปด้วยความหวัง เช่นเดียวกันกับกันต์

            “ถ้างั้นเรารีบออกเดินทางกันเถิดท่านพี่”

            การเดินทางเพื่อร้องขอความช่วยเหลือของหนึ่งกระบี่ หนึ่งอสูรจึงเริ่มต้นขึ้น หากแต่ไม่ได้เป็นเรื่องง่ายเช่นคำพูด ทั้งสองต้องผจญกับเส้นทางอันยากลำบากในป่าดงรกชัฏ ล้อมกรอบด้วยอันธกาลแห่งเงาร่มพฤกษาชาติมากมาย ซึ่งเบียดเสียดกันแน่นขนัด อีกทั้งยังชุกชุมด้วยสัตว์มีพิษมากมายถึงสามวันเต็ม แต่ก็ยังมิอาจหาอาศรมของฤๅษีเจอ

            แม้จะเหน็ดเหนื่อย แต่ทั้งคู่ก็ไม่ย่อท้อ ในใจเปี่ยมด้วยความปรารถนาจะช่วยเหลือครอบครัวของตนให้พ้นจากชะตากรรมของสงครามที่ถูกยัดเยียดให้

******* อ่านต่อด้านล่างครับ **********
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่