เพื่อนๆ คิดว่า หากไม่ใช่ธรรม ก็ไม่ใช่ภาษิต ข้อกล่าวนี้เพื่อนสมาชิกทุกท่านเห็นว่า จริงหรือไม่จริง ?

*มมร. ๒๗/๑๓๓.*  (ภาษาไทย)

           [๑๒๖]    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย  ในข้อนั้นจะมีอะไรเป็นข้อแปลกกัน   จะมีอะไรเป็นข้อประสงค์ที่ยิ่งกว่ากัน     จะมีอะไรเป็นเหตุทำให้ต่างกันระหว่างพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า     กับภิกษุผู้หลุดพ้นได้ด้วยปัญญา.

           ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า     ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ     ธรรมของข้าพระองค์ทั้งหลายมีพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นรากฐาน      เป็นแบบฉบับ  เป็นที่อิงอาศัย    ขอประทานพระวโรกาส    ขออรรถแห่งภาษิตนี้จงแจ่มแจ้งกะพระผู้มีพระภาคเจ้าทีเดียวเถิด     ภิกษุทั้งหลายได้สดับต่อพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วจักทรงจำไว้.

           พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า     ถ้าอย่างนั้น    เธอทั้งหลายจงฟัง  จงใส่ใจให้ดี   เราจักกล่าว   ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว  พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสว่า     ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย     พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า   ยังทางที่ยังไม่เกิดให้เกิด  ยังประชุมชนให้รู้จักมรรคที่ใครๆไม่รู้จัก    บอกทางที่ยังไม่มีใครบอก    เป็นผู้รู้จักทาง  ประกาศทางให้ปรากฏ   ฉลาดในทาง   ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย    ก็สาวกทั้งหลาย   ในบัดนี้  เป็นผู้ที่ดำเนินไปตามทาง   เป็นผู้ตามมาในภายหลัง  อันนี้แลเป็นข้อแปลกกัน   อันนี้เป็นข้อประสงค์ยิ่งกว่ากัน   อันนี้เป็นเหตุทำให้ต่างกัน    ระหว่างพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า     กับภิกษุผู้หลุดพ้นได้ด้วยปัญญา.

บทธรรม. ในพุทธสูตร.

           [๑๒๖]  ตตฺร  [1*]  ภิกฺขเว  โก  วิเสโส  โก  อธิปฺปายโส  กึ  นานากรณํ    ตถาคตสฺส    อรหโต    สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส   ปญฺญาวิมุตฺเตน

           ภิกฺขุนาติ  ฯ  ภควํมูลกา  โน  ภนฺเต  ธมฺมา  ภควํเนตฺติกา ภควํปฏิสรณา  สาธุ      วต      ภนฺเต     ภควนฺตญฺเญว     ปฏิภาตุ     เอตสฺส  ภาสิตสฺส   อตฺโถ   ภควโต   สุตฺวา   ภิกฺขู   ธาเรสฺสนฺตีติ  ฯ  เตนหิ
1* โป. ม. ยุ. เอตฺถนฺตเร โขสทฺโท ทิสฺสติ ฯ

           ภิกฺขเว   สุณาถ   สาธุกํ   มนสิกโรถ   ภาสิสฺสามีติ  ฯ  เอวํ  ภนฺเตติ  โข   เต   ภิกฺขู  ภควโต  ปจฺจสฺโสสํ  ฯ  

           ภควา  เอตทโวจ  ตถาคโต  ภิกฺขเว    อรหํ   สมฺมาสมฺพุทฺโธ   อนุปฺปนฺนสฺส   มคฺคสฺส   อุปฺปาเทตา  อสญฺชาตสฺส   มคฺคสฺส   สญฺชาเนตา   อนกฺขาตสฺส   มคฺคสฺส   อกฺขาตา  มคฺคญฺญู  มคฺควิทู  มคฺคโกวิโท  [1*] ฯ  มคฺคานุคา  จ  ภิกฺขเว  เอตรหิ  สาวกา   วิหรนฺติ   ปจฺฉา  สมนฺนาคตา  ฯ  อยํ  โข  ภิกฺขเว  วิเสโส  อยํ   อธิปฺปายโส  อิทํ  นานากรณํ  ตถาคตสฺส  อรหโต  สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส  ปญฺญาวิมุตฺเตน ภิกฺขุนาติ ฯ
1* โป. มคฺคามคฺคโกวิโท ฯ

พระบาลีธรรม. พุทธสูตร.

                                     “ คาถาเหล่านี้ ไม่ใช่ภาษิตของพระสาวก ไม่ใช่ภาษิตของฤๅษี ไม่ใช่ภาษิตของกวี แต่เป็นภาษิตของพระสัพพัญญู จะควรค่าเท่าไรหนอ(จากพระไตรปิฎก) ”

จากนี้เป็นเรื่องภาษิต ในข้อนี้จะแปลกกัน และทุ่มเถียงว่า พระอภิธรรมก็เป็นพุทธภาษิตไปเสียด้วย กระทั่งที่พระสาวกกระทำเป็นสาธยาย  แนวนึกคิดเท่านั้นที่ไม่ยกความเลิศล้ำเข้าด้วยกันระหว่างพุทธสาวกและพระพุทธชินเจ้า  ข้อนี้เลยเกินสงสัยไปซะคราวหนึ่ง  เพราะในกระบวนพระอภิธรรม ย่อมเป็นแต่อลังการในหนแห่งเฉพาะทางแห่งภาษาเท่านั้นต่อไป  หากจะพูดกล่าวสืบต่อกันให้ได้กำหนด

                                     *บท ก็ดี อนุบท ก็ดี อนุอักขระ ก็ดี อนุพยัญชนะ ก็ดี ทั้งหมด
                                     นั้น ชื่อว่าธรรมโดยบท.
                                     ที่ชื่อว่า ธรรม ได้แก่ บาลีที่เป็นพุทธภาษิต สาวกภาษิต อิสิภาษิต
                                     เทวตาภาษิต ซึ่งประกอบด้วยอรรถ ประกอบด้วยธรรม.
                                     บทว่า ให้กล่าว คือ ให้กล่าวโดยบท (*มมร. ๔/๑๗๕/๓-๗)

ความนี้จึงเป็นเรื่องของ ภาษิต  ‘ เอตสฺส  ภาสิตสฺส   อตฺโถ ’ จากข้ออ้างที่ตอบตาม บาลีย่อหน้าที่ ๒ นั้น  หากสรุปไม่ได้  ก็จะเกินเข้าใจความ แล้วก็คงจะได้อีกกระทง(ความ)หนึ่ง  ซึ่งคงจะต้องวิกลไปไม่สิ้นสุด  แล้วก็คงไม่อาจจากไปจากหนังสือได้   ความแปลกกันระหว่างสัพพัญญู และพระขีนาสพคงแปลกกัน  และไม่ทั่วไป  แต่ภาษิตนั้น เห็นว่า ควรจะเป็นทั่วไป  แต่คงแปลกความกันที่อรรถะ เท่านั้น ว่าเป็นธรรมหรือไม่  ส่วนพยัญชนะนั้นก็ตกไปเป็นเรื่องของนิรุตติ  ซึ่งต้องกล่าวเป็นคดี  และต้องแปลความให้ได้    ทีนี้จึงขอให้เพื่อนๆล่วงเลยไป เอออวยในชื่อของ ธรรม  ดังนั้น

ชื่อ ว่า ธรรม คือ ? (ศาสดา)  ,ที่ชื่อว่า ธรรม คือ ? (ได้แก่ บาลี) ,บาลีนั้น คือ ? (พุทธภาษิต สาวกภาษิต อิสิ(ฤๅษี)ภาษิต เทวตาภาษิต ซึ่งประกอบด้วยอรรถ ประกอบด้วยธรรม)

ตอบข้อนี้เป็นเพิ่มเติมที่สุด ว่า ที่สุดระยะแห่งการกล่าวธรรมแต่ละชนิด  มักเป็นการเตือนกันในหมู่นักบวชอยู่ด้วยแล้ว  ว่าการกล่าว(บท)ธรรม ร่วมกันกับอนุปสัมบัน เป็นโทษ ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุก ๆ บท  หากพิจารณาพระวินัยให้เป็นอนันตนัยซ้ำด้วยกับที่จะกล่าว  ในทำนองนี้  พึงลองพิจารณาดูเถิดว่า  ไฉนใครจึงจะกล่าวเป็นอย่างเดียวกันได้  ในบริษัทหมู่หนึ่ง กับบริษัทอีกหมู่หนึ่ง   ดูทีคงเป็นแต่ บทธรรม ซึ่งกล่าวเป็นอธรรมเท่านั้น จึงไม่นับเข้าด้วยกับภาษิต
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่