ทะเลเจดีย์คือจุดหมายสำคัญในทริปนี้ ส่วนที่อื่นๆ ได้ไปแบบงงๆ
ทริปนี้เกิดขึ้นเนื่องจากความอยากล้วนๆ ไม่ว่าจะเป็นอยากรู้ อยากลอง อยากเห็น ความแตกต่างระหว่างเมืองที่ได้ชื่อว่าเมืองแห่งความทันสมัยอย่างโตเกียวที่ไม่รู้ว่าจะเป็น 50 ปีข้างหน้าของบ้านเรา กับเมืองที่เหมือนย้อนอดีตไทยแลนด์ไป 20-30 ปีที่แล้ว(รึป่าวไม่แน่ใจ เกิดไม่ทัน อิอิ) และที่สำคํญเห็นรายการ 2 รายการ ที่นำเสนอการท่องเที่ยวพุกามสิ่งที่ดึงดูดคือเจดีย์ 4000 องค์ บางรูปไม่ค่อยชัดเท่าที่ควรเพราะถ่ายจากมือถือ เสียดายเหมือนกันแต่ค่อยกลับมาเก็บตกครั้งหน้า
**อย่างแรกที่เตรียมคือเตรียมใจ บอกกับตัวเองเสมอว่าอย่าเอาบรรทัดฐานเราเปรียบกับเขา วิถี ความเป็นอยู่ แต่ละอย่างล้วนแตกต่างกันในทุกๆ ประเทศและต้องยอมรับว่าจะต้องเผชิญหน้าชัวร์ๆ เดินทางช่วงร้อน+ฝน แต่โชคดีที่ตอนเที่ยวไม่ตก บรรยากาศเหมือนจะแล้งแต่เขียวชอุ่มดี
**เตรียมแผนที่การเดินทางหาข้อมูลใน pantip และ google แบบคร่าวๆ
**เตรียมจองตั๋วเครื่องบิน ไม่ยุ่งยากเลยเพราะมาพร้อมโปรเริศของน้องหางแดง ได้ที่ 1590 THB ต่อคน ไปกลับมัณฑะเลย์
**เตรียมจองที่พักได้ราคาดีๆ จาก Agoda พักที่ Crown Prince Bagan และ 79 Living Mandalay ผ่าน Booking.com
**เตรียมยื่นวีซ่าออนไลน์ เนื่องจากไม่มีเวลาที่จะไปยื่นที่สถานทูต (ช่วงที่ไปยังไม่ฟรีวีซ่า) ถ่ายรูปโดยโทรศัพท์เราเองยืนชิดผนังห้องสีขาว และใช้แอปนิดหน่อยให้เป็นขนาด 2 นิ้ว ผ่านเร็วมาก แอบตกใจเนื่องจากมีข้อมูลแจ้งว่าต้องใข้เวลาในการพิจารณา 2-5วัน สรุป 5นาทีค่ะ ผ่านเร็วมากและตัดเงินผ่านบัตรเดบิตได้(หลังจากที่กลับจากทริปนี้ได้อาทิตย์นึงเมียนมาร์ประกาศยกเว้นวีซ่า14 วันสำหรับนักท่องเที่ยวชาวไทยเฉพาะทางอากาศยาน)
**เตรียมเป้ก่อนเดินทาง เสื้อผ้าให้เน้นชุดที่ใส่สบายๆ ระบายความร้อนได้ดี กางเกงควรเป็นขายาวสุภาพค่ะ รองเท้าแตะนี่ดีที่สุดเพราะแต่ละที่ต้องถอดรองเท้าและถุงเท้าตั้งแต่ประตูทางเข้าเลยทีเดียว ขาดไม่ได้คือทิชชู่เปียกสำคัญมากๆๆๆ
**เตรียมตังค์ ไม่ต้องมากเพราะไม่เน้นช้อปอยู่แล้ว อีกอย่างไม่ชำนาญการใช้สินค้าจากที่นั่นเท่าไหร่ แลกจากสนามบินดอนเมืองวันเดินทางเลยจ้า ตอนนั้นได้เรท 1 USD =34.62 THB พกไป 100 USD หายห่วง
วันแรกของการเดินทางมีข่าวว่าท่าอากาศยานดอนเมืองจะมีการตรวจเข้มมากยิ่งขึ้นทางสายการบินแนะนำให้ผู้โดยสารมาถึงสนามบินก่อนจากปกติ 2 ชม. เป็น3.30ชม. ซึ่งไม่ได้ผลกับเรา 2 คนอยู่แล้วค่ะอิอิ ไฟลท์ 10.50 เราถึงสนามบินกัน9.30 แลกตังค์ หาของกิน บลาๆๆ ทันแบบสบาย นั่งรอเครื่องออกอีกเป็นชั่วโมงๆ เพราะดีเลย์
ผ่านไปเกือบ 2ชม. เราก็ถึงที่สนามบินนานาชาติมัณฑะเลย์ เงียบมาก นึกว่ามายามวิกาล มีเฉพาะกลุ่มที่เห็นอยู่นี้เท่านั้นจริงๆ เวลาที่นั่นช้ากว่าเรา ครึ่งชม. อย่าลืมปรับเวลา อันดับแรกเมื่อไปถึงก็แค่ยื่นเอกสารไม่มีการสัมภาษณ์ ผ่านเลยค่ะ ไม่ยุ่งยาก มองหาห้องน้ำอยู่แว้บๆ พอเข้าไปถึงยืนล้างจานกันเมามันมาก เช็คแต่ละห้องดูตกใจว่าทำไมนั่งแล้วไม่กดน้ำกัน ที่ไหนได้น้ำเหลืองค่ะ ใครที่คิดจะล้างหน้า บ้วนปากนี่ห้ามเด็ดขาดเลย
จากนั้นไปแลกตังค์กันได้เลย เคาท์เตอร์ไม่เยอะมาก ราคาก็ต่างนิดหน่อย ได้เรทที่ 1 USD = 1,260 MMK พกเงินเป็นแสนเที่ยวอีกละ อิอิ
แผนแรกคือ นั่งรถ shuttle airasia เข้าเมืองเพื่อไปที่ bus station ให้ทัน รอบ บ่าย 2 หรือ บ่าย3 จากมัณฑะเลย์ไปพุกาม มองหาจุดขึ้น shuttle bus air asia เพื่อเข้าเมืองอยู่ทางขวามือสุดทางออกของอาคารผู้โดยสาร ไม่มีป้ายบอก คนที่บอกคือเพื่อนคนญี่ปุ่นที่ร่วมเดินทาง flight เดียวกันจากกรุงเทพ
สรุป shuttle ไปจอดที่เดียวที่ ซอย 79 ใกล้กับพระราชวังมัณฑะเลย์ นั่งรถชั่วโมงกว่าๆ กว่าจะถึง พอจะไปต่อที่ bus station นึกว่าจะอยู่ใกล้ ที่ไหนได้ bus station เลยมาแล้ว เรียกได้ว่าเกือบจะครึ่งทางระหว่างสนามบินกับจุดจอดเลยทีเดียวและระหว่างทาง(บอกให้จอด Bus station ไม่ยอมจอด ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะเราไม่ซื้อทัวร์เขารึป่าว?) พนักงานก็โน้มน้าวเราสุดฤทธิ์ให้เหมารถแท็กซี่เขาไปเที่ยวพุกาม ในราคา 185 USD 3 วันไม่ต้องจ่ายอะไรเพิ่มแล้ว ดูดีแต่เราปฏิเสธไปค่ะ มาอีกรอบบอก 1 way 125 USD เราก็ยังยืนยันคำเดิมว่าเปลี่ยนแผนไม่ได้ (ทั้งตัว2 คนมีแค่ 200 USD อิอิ) และยังอุตส่าห์ลดให้เหลือ 100 USD แต่ก็ No ค่ะ
พอถึงจุดจอด shuttle airasia ก็ต้องหา Taxi เพื่อไปซื้อตั๋วรถทัวร์ไปพุกาม ระหว่างนั้นได้แวะซื้อซิมโทรศัพท์เพื่อจะใช้เล่นเน็ต ราคาอยู่ที่ 1,500 kyat เติมตังค์อีก 3,000 kyat(คือตอนที่ถามคนขายก็งงๆว่าจะซื้อแบบ tourist sim unlimited 1 week อะไรทำนองนี้แต่น่าจะไม่มีหรือไม่ค่อยรู้เรื่องกัน) ความเร็วของ 3G เล่นเอาน้ำตาซึม หมุนตลอดทางกันเลยทีเดียว เราเลยเลือกที่จะไปใช้ wifi โรงแรมเลยทีเดียว มีแค่เพื่อนที่ซื้อคนเดียวค่ะ จากนั้นก็ตกลงราคาแท็กซี่เพื่อไป bus station
คนขับรถชื่อ Win Win อัธยาศัยดี เมื่อไปถึงมีรถอีกที 3 ทุ่มครึ่ง ระหว่างรอกว่า 6 ชม.ก็คงต้องเที่ยวรอบมัณฑะเลย์ ตามที่เดาไว้ เป้าหมายหลักเราไม่ได้อยู่ที่มัณฑะเลย์แต่ยังไงก็แล้วแต่คิดว่าอย่างน้อยมาถึงถิ่นก็ตรวจตรานิดนึง หลังจากตกลงราคา สถานที่หลักๆ ที่ต้องการจะไปแล้วกลับมาส่งขึ้นรถไปพุกาม เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยในการเที่ยววัดที่พม่าคือ ควรสวมรองเท้าแตะเพราะทุกวัดต้องถอดทั้งถุงเท้าและรองเท้าตั้งแต่ทางเข้าวัดเลย ไม่เหมือนบ้านเรา ที่ถอดเฉพาะเวลาเข้าตัวอาคาร เราเริ่มกันที่ไป Mahamuni Buddha Temple กันก่อน ซึ่งจุดพีคของที่นี่คือพิธีล้างพระพักตร์ของพระมหามัยมุนีตอนเช้าตรู่ แต่ตอนที่เราไปถึงจะไม่ได้เก็บช่วง highlight ก็ได้บรรยากาศเงียบสงบอีกแบบ
**ผู้หญิงห้ามเข้าเกินเขตที่กำหนดค่ะ
หลังจากกราบไว้พระเสร็จก็ทำการสำรวจรอบๆวัด
และกลับมายังจุดนัดพบกับ Win Win และกะจะไปต่อที่ถัดไปแต่พอเหลือบมองนาฬิกาบ่าย 3 หิวมากเลยต้องขอให้ Win Win พาไปแวะร้านที่ทานได้ง่ายๆ สรุปได้ข้าวผัด พร้อมน้ำซุปมาคนละจาน ส่วนใหญ่ร้านทั่วไปที่นี่จะมีผักดองไว้กินเป็นเครื่องเคียง แต่รสชาติ เราไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ออกเปรี้ยวๆคาวๆนิด ใครที่แพ้ผงชูรสอย่าลืมแจ้งนะเพราะคนพม่าทำอาหารใส่ผงชูรสได้โหดมาก เห็นก้อนๆ ที่ขอบจานข้าวผัดตอนได้ครึ่งทางแอบสยอง ราคาก็สบายๆ ไม่ค่อยน่าห่วง แต่ต้องทำใจนะยิ่งคนที่ชอบวิจารณ์ วิเคราะห์อาหาร เครื่องดื่ม จะหาร้านที่ถูกปากยากมากถึงจะเป็นอาหารประเภท International Cuisine ก็ตาม จากนั้นไปกันต่อที่พระราชวังมัณฑะเลย์ ไม่ต้องกลัวว่าพนักงานจะเรียกหาแบงก์ USD เราสามารถใช้ Kyat และถูกกว่าด้วย แค่ 10,000 Kyat ซึ่งถ้าเป็น USD ต้อง 10 USD = 12,600 Kyat (ประหยัดไป 2 USD)
เมื่อได้ตั๋วก็ออกเดินทางต่อกันเลย พระราชวังมัณฑะเลย์ถูกสร้างใหม่โดยกองทัพทหารของเมียนมาร์ เนื่องจากของเก่าถูกระเบิดสมัยอาณานิคมอังกฤษ ความอ่อนช้อยของสถาปัตยกรรมไม่ต้องพูดถึง (ไม่มีเลย) ซึ่งเรารู้ข้อมูลนี้อยู่แล้วจึงไม่อยากมา แต่เหตุการณ์บังคับไร้ซึ่งที่ไป อิอิ นักท่องเที่ยวไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่ ก่อนเข้ามีเจ้าหน้าที่ขอตรวจตั๋วเพื่อแสตมป์บัตร
ตัวอาคารไม่มีมนต์ขลัง จะว่าไปเหมือนโรงถ่ายหนังมากกว่า มุมที่พอจะฝากชีวิตไว้ได้น่าจะเป็นวิวโดยรอบจากหอสังเกตการณ์ ใช้เวลาประมาณ 30- 45 นาทีก็สามารถไปได้รอบ จากนั้นก็ไปที่ พระตำหนักไม้ชเวนันดอว์
สามารถโชว์ตั๋วที่ซื้อจากพระราชวังมัณฑะเลย์เข้าได้เลย แต่เราไม่ได้โชว์นะเนื่องจากใกล้เวลาปิดเจ้าหน้าที่ปิดประตูเหมือนจะไม่ให้เข้า แต่เหลือบมองเหมือนกลัวตำรวจเห็นว่าจะปล่อยเราเข้าไป แต่เขาก็น่ารักนะไม่ได้ไล่ให้กลับ โบกมือเบาๆว่ารีบเข้าไปนะจะปิดแล้ว แต่เนื่องจากเราชอบของเก่าคลาสสิคแบบนี้จะแป้ปเดียวได้ไง มีอาคารเดียวนะแต่เหมือนจะใช้เวลาพอๆ กับพระราชวังมัณฑะเลย์ที่มีขนาดใหญ่กว่ามาก ลายแกะสลักไม้สวยตามแบบฉบับช่างฝีมือเก่าเขาโดยแท้ ดูเพลินตาดี อิ่มเอมกันเลยทีเดียว
[CR] *[CR] Review Bagan ทริป(หลบ)น้ำหมากกระจาย เที่ยวไปในพุกาม มัณฑะเลย์ 4วัน 3 คืน ด้วยงบ 8,200บาท รวมทุกอย่าง
ทริปนี้เกิดขึ้นเนื่องจากความอยากล้วนๆ ไม่ว่าจะเป็นอยากรู้ อยากลอง อยากเห็น ความแตกต่างระหว่างเมืองที่ได้ชื่อว่าเมืองแห่งความทันสมัยอย่างโตเกียวที่ไม่รู้ว่าจะเป็น 50 ปีข้างหน้าของบ้านเรา กับเมืองที่เหมือนย้อนอดีตไทยแลนด์ไป 20-30 ปีที่แล้ว(รึป่าวไม่แน่ใจ เกิดไม่ทัน อิอิ) และที่สำคํญเห็นรายการ 2 รายการ ที่นำเสนอการท่องเที่ยวพุกามสิ่งที่ดึงดูดคือเจดีย์ 4000 องค์ บางรูปไม่ค่อยชัดเท่าที่ควรเพราะถ่ายจากมือถือ เสียดายเหมือนกันแต่ค่อยกลับมาเก็บตกครั้งหน้า
**อย่างแรกที่เตรียมคือเตรียมใจ บอกกับตัวเองเสมอว่าอย่าเอาบรรทัดฐานเราเปรียบกับเขา วิถี ความเป็นอยู่ แต่ละอย่างล้วนแตกต่างกันในทุกๆ ประเทศและต้องยอมรับว่าจะต้องเผชิญหน้าชัวร์ๆ เดินทางช่วงร้อน+ฝน แต่โชคดีที่ตอนเที่ยวไม่ตก บรรยากาศเหมือนจะแล้งแต่เขียวชอุ่มดี
**เตรียมแผนที่การเดินทางหาข้อมูลใน pantip และ google แบบคร่าวๆ
**เตรียมจองตั๋วเครื่องบิน ไม่ยุ่งยากเลยเพราะมาพร้อมโปรเริศของน้องหางแดง ได้ที่ 1590 THB ต่อคน ไปกลับมัณฑะเลย์
**เตรียมจองที่พักได้ราคาดีๆ จาก Agoda พักที่ Crown Prince Bagan และ 79 Living Mandalay ผ่าน Booking.com
**เตรียมยื่นวีซ่าออนไลน์ เนื่องจากไม่มีเวลาที่จะไปยื่นที่สถานทูต (ช่วงที่ไปยังไม่ฟรีวีซ่า) ถ่ายรูปโดยโทรศัพท์เราเองยืนชิดผนังห้องสีขาว และใช้แอปนิดหน่อยให้เป็นขนาด 2 นิ้ว ผ่านเร็วมาก แอบตกใจเนื่องจากมีข้อมูลแจ้งว่าต้องใข้เวลาในการพิจารณา 2-5วัน สรุป 5นาทีค่ะ ผ่านเร็วมากและตัดเงินผ่านบัตรเดบิตได้(หลังจากที่กลับจากทริปนี้ได้อาทิตย์นึงเมียนมาร์ประกาศยกเว้นวีซ่า14 วันสำหรับนักท่องเที่ยวชาวไทยเฉพาะทางอากาศยาน)
**เตรียมเป้ก่อนเดินทาง เสื้อผ้าให้เน้นชุดที่ใส่สบายๆ ระบายความร้อนได้ดี กางเกงควรเป็นขายาวสุภาพค่ะ รองเท้าแตะนี่ดีที่สุดเพราะแต่ละที่ต้องถอดรองเท้าและถุงเท้าตั้งแต่ประตูทางเข้าเลยทีเดียว ขาดไม่ได้คือทิชชู่เปียกสำคัญมากๆๆๆ
**เตรียมตังค์ ไม่ต้องมากเพราะไม่เน้นช้อปอยู่แล้ว อีกอย่างไม่ชำนาญการใช้สินค้าจากที่นั่นเท่าไหร่ แลกจากสนามบินดอนเมืองวันเดินทางเลยจ้า ตอนนั้นได้เรท 1 USD =34.62 THB พกไป 100 USD หายห่วง
วันแรกของการเดินทางมีข่าวว่าท่าอากาศยานดอนเมืองจะมีการตรวจเข้มมากยิ่งขึ้นทางสายการบินแนะนำให้ผู้โดยสารมาถึงสนามบินก่อนจากปกติ 2 ชม. เป็น3.30ชม. ซึ่งไม่ได้ผลกับเรา 2 คนอยู่แล้วค่ะอิอิ ไฟลท์ 10.50 เราถึงสนามบินกัน9.30 แลกตังค์ หาของกิน บลาๆๆ ทันแบบสบาย นั่งรอเครื่องออกอีกเป็นชั่วโมงๆ เพราะดีเลย์
ผ่านไปเกือบ 2ชม. เราก็ถึงที่สนามบินนานาชาติมัณฑะเลย์ เงียบมาก นึกว่ามายามวิกาล มีเฉพาะกลุ่มที่เห็นอยู่นี้เท่านั้นจริงๆ เวลาที่นั่นช้ากว่าเรา ครึ่งชม. อย่าลืมปรับเวลา อันดับแรกเมื่อไปถึงก็แค่ยื่นเอกสารไม่มีการสัมภาษณ์ ผ่านเลยค่ะ ไม่ยุ่งยาก มองหาห้องน้ำอยู่แว้บๆ พอเข้าไปถึงยืนล้างจานกันเมามันมาก เช็คแต่ละห้องดูตกใจว่าทำไมนั่งแล้วไม่กดน้ำกัน ที่ไหนได้น้ำเหลืองค่ะ ใครที่คิดจะล้างหน้า บ้วนปากนี่ห้ามเด็ดขาดเลย
จากนั้นไปแลกตังค์กันได้เลย เคาท์เตอร์ไม่เยอะมาก ราคาก็ต่างนิดหน่อย ได้เรทที่ 1 USD = 1,260 MMK พกเงินเป็นแสนเที่ยวอีกละ อิอิ
แผนแรกคือ นั่งรถ shuttle airasia เข้าเมืองเพื่อไปที่ bus station ให้ทัน รอบ บ่าย 2 หรือ บ่าย3 จากมัณฑะเลย์ไปพุกาม มองหาจุดขึ้น shuttle bus air asia เพื่อเข้าเมืองอยู่ทางขวามือสุดทางออกของอาคารผู้โดยสาร ไม่มีป้ายบอก คนที่บอกคือเพื่อนคนญี่ปุ่นที่ร่วมเดินทาง flight เดียวกันจากกรุงเทพ
สรุป shuttle ไปจอดที่เดียวที่ ซอย 79 ใกล้กับพระราชวังมัณฑะเลย์ นั่งรถชั่วโมงกว่าๆ กว่าจะถึง พอจะไปต่อที่ bus station นึกว่าจะอยู่ใกล้ ที่ไหนได้ bus station เลยมาแล้ว เรียกได้ว่าเกือบจะครึ่งทางระหว่างสนามบินกับจุดจอดเลยทีเดียวและระหว่างทาง(บอกให้จอด Bus station ไม่ยอมจอด ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะเราไม่ซื้อทัวร์เขารึป่าว?) พนักงานก็โน้มน้าวเราสุดฤทธิ์ให้เหมารถแท็กซี่เขาไปเที่ยวพุกาม ในราคา 185 USD 3 วันไม่ต้องจ่ายอะไรเพิ่มแล้ว ดูดีแต่เราปฏิเสธไปค่ะ มาอีกรอบบอก 1 way 125 USD เราก็ยังยืนยันคำเดิมว่าเปลี่ยนแผนไม่ได้ (ทั้งตัว2 คนมีแค่ 200 USD อิอิ) และยังอุตส่าห์ลดให้เหลือ 100 USD แต่ก็ No ค่ะ
พอถึงจุดจอด shuttle airasia ก็ต้องหา Taxi เพื่อไปซื้อตั๋วรถทัวร์ไปพุกาม ระหว่างนั้นได้แวะซื้อซิมโทรศัพท์เพื่อจะใช้เล่นเน็ต ราคาอยู่ที่ 1,500 kyat เติมตังค์อีก 3,000 kyat(คือตอนที่ถามคนขายก็งงๆว่าจะซื้อแบบ tourist sim unlimited 1 week อะไรทำนองนี้แต่น่าจะไม่มีหรือไม่ค่อยรู้เรื่องกัน) ความเร็วของ 3G เล่นเอาน้ำตาซึม หมุนตลอดทางกันเลยทีเดียว เราเลยเลือกที่จะไปใช้ wifi โรงแรมเลยทีเดียว มีแค่เพื่อนที่ซื้อคนเดียวค่ะ จากนั้นก็ตกลงราคาแท็กซี่เพื่อไป bus station
คนขับรถชื่อ Win Win อัธยาศัยดี เมื่อไปถึงมีรถอีกที 3 ทุ่มครึ่ง ระหว่างรอกว่า 6 ชม.ก็คงต้องเที่ยวรอบมัณฑะเลย์ ตามที่เดาไว้ เป้าหมายหลักเราไม่ได้อยู่ที่มัณฑะเลย์แต่ยังไงก็แล้วแต่คิดว่าอย่างน้อยมาถึงถิ่นก็ตรวจตรานิดนึง หลังจากตกลงราคา สถานที่หลักๆ ที่ต้องการจะไปแล้วกลับมาส่งขึ้นรถไปพุกาม เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยในการเที่ยววัดที่พม่าคือ ควรสวมรองเท้าแตะเพราะทุกวัดต้องถอดทั้งถุงเท้าและรองเท้าตั้งแต่ทางเข้าวัดเลย ไม่เหมือนบ้านเรา ที่ถอดเฉพาะเวลาเข้าตัวอาคาร เราเริ่มกันที่ไป Mahamuni Buddha Temple กันก่อน ซึ่งจุดพีคของที่นี่คือพิธีล้างพระพักตร์ของพระมหามัยมุนีตอนเช้าตรู่ แต่ตอนที่เราไปถึงจะไม่ได้เก็บช่วง highlight ก็ได้บรรยากาศเงียบสงบอีกแบบ
**ผู้หญิงห้ามเข้าเกินเขตที่กำหนดค่ะ
หลังจากกราบไว้พระเสร็จก็ทำการสำรวจรอบๆวัด
และกลับมายังจุดนัดพบกับ Win Win และกะจะไปต่อที่ถัดไปแต่พอเหลือบมองนาฬิกาบ่าย 3 หิวมากเลยต้องขอให้ Win Win พาไปแวะร้านที่ทานได้ง่ายๆ สรุปได้ข้าวผัด พร้อมน้ำซุปมาคนละจาน ส่วนใหญ่ร้านทั่วไปที่นี่จะมีผักดองไว้กินเป็นเครื่องเคียง แต่รสชาติ เราไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ออกเปรี้ยวๆคาวๆนิด ใครที่แพ้ผงชูรสอย่าลืมแจ้งนะเพราะคนพม่าทำอาหารใส่ผงชูรสได้โหดมาก เห็นก้อนๆ ที่ขอบจานข้าวผัดตอนได้ครึ่งทางแอบสยอง ราคาก็สบายๆ ไม่ค่อยน่าห่วง แต่ต้องทำใจนะยิ่งคนที่ชอบวิจารณ์ วิเคราะห์อาหาร เครื่องดื่ม จะหาร้านที่ถูกปากยากมากถึงจะเป็นอาหารประเภท International Cuisine ก็ตาม จากนั้นไปกันต่อที่พระราชวังมัณฑะเลย์ ไม่ต้องกลัวว่าพนักงานจะเรียกหาแบงก์ USD เราสามารถใช้ Kyat และถูกกว่าด้วย แค่ 10,000 Kyat ซึ่งถ้าเป็น USD ต้อง 10 USD = 12,600 Kyat (ประหยัดไป 2 USD)
เมื่อได้ตั๋วก็ออกเดินทางต่อกันเลย พระราชวังมัณฑะเลย์ถูกสร้างใหม่โดยกองทัพทหารของเมียนมาร์ เนื่องจากของเก่าถูกระเบิดสมัยอาณานิคมอังกฤษ ความอ่อนช้อยของสถาปัตยกรรมไม่ต้องพูดถึง (ไม่มีเลย) ซึ่งเรารู้ข้อมูลนี้อยู่แล้วจึงไม่อยากมา แต่เหตุการณ์บังคับไร้ซึ่งที่ไป อิอิ นักท่องเที่ยวไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่ ก่อนเข้ามีเจ้าหน้าที่ขอตรวจตั๋วเพื่อแสตมป์บัตร
ตัวอาคารไม่มีมนต์ขลัง จะว่าไปเหมือนโรงถ่ายหนังมากกว่า มุมที่พอจะฝากชีวิตไว้ได้น่าจะเป็นวิวโดยรอบจากหอสังเกตการณ์ ใช้เวลาประมาณ 30- 45 นาทีก็สามารถไปได้รอบ จากนั้นก็ไปที่ พระตำหนักไม้ชเวนันดอว์
สามารถโชว์ตั๋วที่ซื้อจากพระราชวังมัณฑะเลย์เข้าได้เลย แต่เราไม่ได้โชว์นะเนื่องจากใกล้เวลาปิดเจ้าหน้าที่ปิดประตูเหมือนจะไม่ให้เข้า แต่เหลือบมองเหมือนกลัวตำรวจเห็นว่าจะปล่อยเราเข้าไป แต่เขาก็น่ารักนะไม่ได้ไล่ให้กลับ โบกมือเบาๆว่ารีบเข้าไปนะจะปิดแล้ว แต่เนื่องจากเราชอบของเก่าคลาสสิคแบบนี้จะแป้ปเดียวได้ไง มีอาคารเดียวนะแต่เหมือนจะใช้เวลาพอๆ กับพระราชวังมัณฑะเลย์ที่มีขนาดใหญ่กว่ามาก ลายแกะสลักไม้สวยตามแบบฉบับช่างฝีมือเก่าเขาโดยแท้ ดูเพลินตาดี อิ่มเอมกันเลยทีเดียว
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น