คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 106
ตอนนี้ผมกำลังเป็นแบบนี้เลยครับ ครอบครัวผมแต่ก่อนฐานะปานกลาง ตอนผมปฐมผมได้เรียนโรงเรียนดีๆ แต่มาถึงจุดเปลี่ยนในชีวิต คุณตาของผมเสีย ครอบครัวเหมือนขาดเสาหลัก ผมต้องย้ายออกจากบ้านที่ผมเคยอยู่ ผมต้องมาอยู่บ้านที่มีหลักคาเป็นหญ้า ไม่มีไฟฟ้า แต่ตอนนั้นยังเด็กไม่รู้อิโหน่อิเหน่ แม่ผมก็มีผัวใหม่ แม่มีลูกผัวใหม่2คน คนหนึ่งดันเป็นโรคหัวใจ ครอบครัวเราทำอาชีพเก็บขยะครับของเก่าที่ไม่ใช้นั้นแหละ ตอนนั้นรู้สึกมีความสุขกับการคุ้ยขยะมาก แต่พอผมโตผมเริ่มคิด ผมเริ่มรู้สึกรังเกียจ ครอบครัวของตัวเอง. ผมคิดถ้าตาผมไม่ตายผมคงได้เรียนโรงเรียนดีๆ ได้เรียนในสิ่งที่ตัวเองชอบได้อยู่บ้านหลังใหญ่ๆ โรงเรียนที่ผมเรียนในปัจจุบันเป็นสิ่งทึ่เลวร้ายที่สุด ผมเคยเกือบโดนครูขมขืนตอนม.4 ผมอุสสาห์นับถือมันเรียกมันว่า พ่อครู แต่สิ่งที่มันทำต่ำช้ามาก ผมหนีได้ทันครับแต่ทุกวันนี้ผมก็ยังต้องเจอมันยังตัองเรียนกับมัน ผมเลยกลายเป็นคนซึมเศร้า ร่างกายผอม บวกกับฐานะทางบ้านที่ต้องเก็บเงินส่วนหนึ่งไปรักษาน้อง แม่ผมมีติดตัวไปถึง50 วันนี้ก็ไม่ได้กินอะไรเท่าไหร่ มีต้มไก่อยู่ถ้วยหนึ่ง ต้องแบ่งกันกิน4คนพี่น้อง บ้านที่ผมนอนไม่สีพัดลมครับ คุณคงรู้น่ะว่าอากาศเมืองไทยเป็นไงวันนี้ผมกำลังร้องไห้อยู่เลยครับ ได้แต่อิจฉาเค้าไปวันๆ อยากมีโมเมนต์ที่ตัวเองถูกบังคับให้เรียนพิเศษ ถูกบังคับให้เรียนนั้นเรียนนี้ อิจฉาครับพูดตรงๆ จบม.6แม่จะให้ผมทำงานเซเว่นทั้งๆที่ผมอยากเป็นครู ผมเรียนเก่งในระดับนึงครับ เเต่เรียนเก่งไปก็เท่านั้น ผมก็คงไม่มีทางเลือก เกรดผมได้เท่าไหร่แม่ผมยังไม่สนใจเลยครับเพื่อนสน้ทก็ไม่มีสักคนครับ ใครที่สามารถเรียนในสิ่งที่ตัวเองชอบน่ะครับทำมันให้เต็มที่น่ะครับ ให้นึกถึงคนที่ไม่สามารถทำอะไรได้เลยอย่างผมน่ะ มีโอกาศทำมันให้เต็มที่น่ะ เราเป็นกำลังใจให้.............
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 32
ของเราพ่อแม่แยกทางกัน แม่แต่งงานใหม่มีพ่อเลี้ยงฐานะดีมาก เป็นเจ้าของกิจการ แม่เราก็ถือว่าเป็นคนควบคุมกิจการด้วยตัวเองด้วยภายนอกเราน่าจะมีชีวิตสบายขึ้น มีคนรับใช้ มีคนขับรถ แต่นั่นสำหรับลูกคนใหม่ของแม่กับพ่อเลี้ยง
เราได้เงีนไปกินโรงเรียนสมัย ม.ต้นและ ม.ปลายวันละ 30 บาท ซึ่ง 30 บาทนี้ ควบคุมรวมไปถึงค่าใช้จ่ายในการทำรายงานกลุ่มถ้ามี ค่ารถสำหรับเดินทาง เพราะเราต้องนั่งรถสองแถวไปเรียนเอง
กลับมาบ้านเราไม่มีสิทธิ์ไปกินร่วมโต๊ะกับที่บ้าน แต่มีโต๊ะแยกกินต่างหากคนเดียว คนใช้จะทำกับข้าวแยกไว้ให้ ถ้ามองโดยรวมก็สบาย่ะ มีห้องส่วนตัว ดีกว่าคนใช้นิดนึงตรงมีห้องน้ำในตัว ติดแอร์ รู้สึกขมขื่นใจทุกครั้ง เพื่อนได้ไปทัศนศึกษา แต่สำหรับเราอย่าหวังเลยว่าจะได้ไป แค่เงินรายวันก็แทบไม่พอเหลืออยุ่แล้ว เคยมีหนนึงมีทัศนศึกษาใกล้มาก ท้องฟ้าจำลองเอง ด้วยความที่เรายังเด็กอยากไป อดทนเก็บเงิน ยังจำได้แม่น เก็บคนละ 80 บาท เฮ้ๆได้ไปแล้ว มันเป็นความสนุกมาก ที่ได้มาทัศนศึกษากับเพื่อนซะที ถึงจะแค่ในกรุงเทพ แต่นะ ก็ดูน่าสมเพชไม่น้อย แค่เงินจะซื้อของกินตามเพื่อนยังไม่มีเลย เดินไปเรื่อยๆ ซื้อลุกชิ้นปิ้ง ไม้ละ 3 บาทเอาไงดี เอา ซื้อมา 3 ไม้ 9 บาท เหลือ 1 บาท กลับบ้าน วันนั้นยอมเดินกลับบ้าน นั่นเป็นครั้งเดียวในชีวิตมัทธยมที่ได้ไปทัศนศึกษากับเพื่อน
ยังจำวันเกิดของตัวเองได้เลยค่ะ ฉลองมันคนเดียวแหละ กับหนมเค็กถูกๆชิ้นละ 2 บาท กับโค๊กแช่เย็นจนเป็นวุ้นอีก 1 ขวด ตอนนั้นด้วยความเป็นเด็กมันรู้สึกว่า เป็นมื้อที่สุดยอดจริงๆ เป็นรางวัลชีวิตปีละครั้ง ชั้นกินเค็ก กินโค๊ก กินขนมที่อยากกิน ขำปนสมเพชตัวเองชมัดพอนึกย้อนกลับไป
จนจะจบ ม.6 ในใจเราคิดแต่ว่า ทำยังไงให้พ้นไปจากบ้านนี้ ฉันเกลียดที่นี่ ตอนนั้นเห็นช่องทางเรียนต่อที่ญีปุ่่นจากครูคนนึงที่สอนค่ะ(ดีเทลเอยะขอข้าม) แต่ทำยังไงจะได้ไปละ มันดูเกินเอื้อมมาก นึกถึงพ่อขึ้นมาได้ พ่อมีกิจการทำเซรามิคส่งนอกที่ลำปาง แต่งงานใหม่แล้ว ขึ้นไปหาพ่อถึงลำปางบอกหนูอยากเรียนญีปุ่นค่ะ อยากให้พ่อช่วยส่งเรื่องค่าเรียน ส่วนค่าใช้จ่ายอื่นบลูจะดิ้นรนหาเอาเอง แถมยังยื่นคำขาดไปว่า พ่อจะส่งบลูเรียน หรือจะให้บลูขายตัวยส่งตัวเองเรียนล่ะ สุดท้ายพ่อยอม เลยได่เรียนต่อที่ญีปุ่่นตามที่ต้องการ
งานพาทไทม์ทุกอย่างที่ที่เขาอณุญาตให้ทำได้ทำหมด นึกแล้วก็ขำที่ยังอุตสาห์เอาชีวิตรอดมาได้ ด้วยข้าวสวย กับผงโรยข้าวเป็นหลักในช่วงเงินไม่พอใช้ 5 ปีในการใช้ชีวิตญี่ปุ่่น มาถึงตอนนี้ได้ออกมาอยุ่ด้วยลำแข้งตัวเองอย่างภุมิใจ จนป่านนี้แม่เรายังไม่เคยรุ้เลยค่ะว่าลุกสาวตัวเองไปเรียนจบอะไรมา แล้วตอนนี้ทำมาหากินอะไร แต่เขาก็มีคตวามสุขดีค่ะ กับคตรอบครัวใหม่ของเขา เราเองก็ไปเยีร่ยมครอบครัวของทางพ่อมาบ้าง สนิทกับน้องสาวต่างแม่เป็นอย่างดี พวกเขาเสียสละเพื่อการเรียนของเรามามาก
สุดท้ายแล้วไม่ว่าเราจะได้รับความรัก หรือไม่ได้รับความรักจากใคร สิ่งที่เราควรจะทำ และต้องทำคือการรักตัวเองนั่นแหละสำคัญที่สุด เพราะคนที่แม้แต่ตัวเองยังไม่รัก ก็จะรักคนอื่นไม่เป็นเช่นกัน
เราได้เงีนไปกินโรงเรียนสมัย ม.ต้นและ ม.ปลายวันละ 30 บาท ซึ่ง 30 บาทนี้ ควบคุมรวมไปถึงค่าใช้จ่ายในการทำรายงานกลุ่มถ้ามี ค่ารถสำหรับเดินทาง เพราะเราต้องนั่งรถสองแถวไปเรียนเอง
กลับมาบ้านเราไม่มีสิทธิ์ไปกินร่วมโต๊ะกับที่บ้าน แต่มีโต๊ะแยกกินต่างหากคนเดียว คนใช้จะทำกับข้าวแยกไว้ให้ ถ้ามองโดยรวมก็สบาย่ะ มีห้องส่วนตัว ดีกว่าคนใช้นิดนึงตรงมีห้องน้ำในตัว ติดแอร์ รู้สึกขมขื่นใจทุกครั้ง เพื่อนได้ไปทัศนศึกษา แต่สำหรับเราอย่าหวังเลยว่าจะได้ไป แค่เงินรายวันก็แทบไม่พอเหลืออยุ่แล้ว เคยมีหนนึงมีทัศนศึกษาใกล้มาก ท้องฟ้าจำลองเอง ด้วยความที่เรายังเด็กอยากไป อดทนเก็บเงิน ยังจำได้แม่น เก็บคนละ 80 บาท เฮ้ๆได้ไปแล้ว มันเป็นความสนุกมาก ที่ได้มาทัศนศึกษากับเพื่อนซะที ถึงจะแค่ในกรุงเทพ แต่นะ ก็ดูน่าสมเพชไม่น้อย แค่เงินจะซื้อของกินตามเพื่อนยังไม่มีเลย เดินไปเรื่อยๆ ซื้อลุกชิ้นปิ้ง ไม้ละ 3 บาทเอาไงดี เอา ซื้อมา 3 ไม้ 9 บาท เหลือ 1 บาท กลับบ้าน วันนั้นยอมเดินกลับบ้าน นั่นเป็นครั้งเดียวในชีวิตมัทธยมที่ได้ไปทัศนศึกษากับเพื่อน
ยังจำวันเกิดของตัวเองได้เลยค่ะ ฉลองมันคนเดียวแหละ กับหนมเค็กถูกๆชิ้นละ 2 บาท กับโค๊กแช่เย็นจนเป็นวุ้นอีก 1 ขวด ตอนนั้นด้วยความเป็นเด็กมันรู้สึกว่า เป็นมื้อที่สุดยอดจริงๆ เป็นรางวัลชีวิตปีละครั้ง ชั้นกินเค็ก กินโค๊ก กินขนมที่อยากกิน ขำปนสมเพชตัวเองชมัดพอนึกย้อนกลับไป
จนจะจบ ม.6 ในใจเราคิดแต่ว่า ทำยังไงให้พ้นไปจากบ้านนี้ ฉันเกลียดที่นี่ ตอนนั้นเห็นช่องทางเรียนต่อที่ญีปุ่่นจากครูคนนึงที่สอนค่ะ(ดีเทลเอยะขอข้าม) แต่ทำยังไงจะได้ไปละ มันดูเกินเอื้อมมาก นึกถึงพ่อขึ้นมาได้ พ่อมีกิจการทำเซรามิคส่งนอกที่ลำปาง แต่งงานใหม่แล้ว ขึ้นไปหาพ่อถึงลำปางบอกหนูอยากเรียนญีปุ่นค่ะ อยากให้พ่อช่วยส่งเรื่องค่าเรียน ส่วนค่าใช้จ่ายอื่นบลูจะดิ้นรนหาเอาเอง แถมยังยื่นคำขาดไปว่า พ่อจะส่งบลูเรียน หรือจะให้บลูขายตัวยส่งตัวเองเรียนล่ะ สุดท้ายพ่อยอม เลยได่เรียนต่อที่ญีปุ่่นตามที่ต้องการ
งานพาทไทม์ทุกอย่างที่ที่เขาอณุญาตให้ทำได้ทำหมด นึกแล้วก็ขำที่ยังอุตสาห์เอาชีวิตรอดมาได้ ด้วยข้าวสวย กับผงโรยข้าวเป็นหลักในช่วงเงินไม่พอใช้ 5 ปีในการใช้ชีวิตญี่ปุ่่น มาถึงตอนนี้ได้ออกมาอยุ่ด้วยลำแข้งตัวเองอย่างภุมิใจ จนป่านนี้แม่เรายังไม่เคยรุ้เลยค่ะว่าลุกสาวตัวเองไปเรียนจบอะไรมา แล้วตอนนี้ทำมาหากินอะไร แต่เขาก็มีคตวามสุขดีค่ะ กับคตรอบครัวใหม่ของเขา เราเองก็ไปเยีร่ยมครอบครัวของทางพ่อมาบ้าง สนิทกับน้องสาวต่างแม่เป็นอย่างดี พวกเขาเสียสละเพื่อการเรียนของเรามามาก
สุดท้ายแล้วไม่ว่าเราจะได้รับความรัก หรือไม่ได้รับความรักจากใคร สิ่งที่เราควรจะทำ และต้องทำคือการรักตัวเองนั่นแหละสำคัญที่สุด เพราะคนที่แม้แต่ตัวเองยังไม่รัก ก็จะรักคนอื่นไม่เป็นเช่นกัน
ความคิดเห็นที่ 71
....ของผมเป็นตอนผม... น่าจะประมาณ ป.5 นะหากผมจำไม่ผิด ก็ประมาณเกิบๆ 20 ปีที่แล้ว
....คือ ครอบครัวผมครบสมบูรณ์ดี ถึงด้านพ่อจะมีปัญหาบ้างแต่แม่ก็พยายามประคองครอบครัวไว้ไม่ให้ถึงกับบ้านแตก แม้ว่าจะเคยโดยเอาไปทิ้งคืนญาติกันบ้างก็ตามที
....ตอนนั้นผมก็เป็นเด็กซนธรรมดาทั่วๆ ไป ที่มีแม่ดูแลอย่างดีก็เลยไม่ได้ใส่ใจจะรับรู้ถึงความรุนแรงในปัญหาครอบครัว การดำเนินชีวิตก็สุขสบายดี ผมติดเกมค่อนข้างหนัก ขโมยเงินแม่บ่อยๆ และมักจะกลับบ้านดึกๆ หรือหนีออกจากบ้านไปนอนบ้านเพื่อนเพื่อไม่ให้ถูกตีเมื่อก่อคดี
....มีอยู่วันหนึ่งผมถูบ้านให้แม่แล้วโดนแม่ดุว่าถูไม่สะอาด ผมไม่ได้โกรธอะไรแม่ แต่เพราะความ....โง่ หรือจะเรียกว่าไร้เดียสาก็ได้มัง ผนวกกับการมีประสบการณ์หนีออกจากบ้านเป็นประจำ ก็เลยดันมีความคิดว่า
"คนที่แตกต่างจากเราเขาเป็นยังไง"
....ก็เลยหนีออกจากบ้านยาวในช่วงนั่น ไปด้วยเสื้อผ้าชุดเดียวกับจักรยานคู่ใจ 1 คัน อยู่กับคนหลายๆ ฐานะ
....ตั้งแต่ลูกคนตบแต่งภายใน(น่าจะนะตอนนั้นเข้าใจว่าแบบนั้น) บ้านรวยมากๆ ได้กินโกโก้ครั่นซึ่งสมัยนั้นหรู่มากเลยเป็นข้าวเช้าทุกวัน ก็อยู่เป็นเพื่อนลูกเขา(เบ้) กับช่วยทำงานบ้านเล็กน้อยประมาณ 1 อาทิตย์ แล้วก็ย้ายที่ไปอยู่กับลูกร้านช่างอลูมิเนียม ฐานปานกลาง อันนี้อยู่ได้แค่ 2 วันนะถ้าจำไม่ผิดเพราะครอบครัวเขาค่อนข้างเข้มงวด แล้วสุดท้ายก็ไปอยู่ที่กับลูกคนปลูกกล้วยไข่แถวๆ คูเมืองกำแพงเก่า อันนี้อยู่ยาวเกิบๆ เดือนเลย ถึงครอบครัวเขาจะจน แต่ชีวิตก็สุขสงบดี
....การตื่นชาวมาดูการ์ตูนช่อง 7 เรื่องประวัติบุคคลสำคัญของโลก ก่อนจะไปช่วยงานตอนเช้า ระหว่างรอแม่เพื่อนทำข้าวเช้า เป็นประสบการณ์ที่ละมุนละไมดี กลิ่งยามเช้าของวิถีชีวิตชาวบ้านผมคิดว่าพอจะจำความรู้ ณ ช่วงเวลานั้นได้ ก็น่าชวนให้คิดถึงอยู่เช่นกัน ,และที่นี่ผมได้รู้จักมดตะนอย กับแมลงสาบปีกลายๆ ครั้งแรกในชีวิตจากที่นี่
....ถึงจะอยู่ในช่วงหนีออกจากบ้านแต่ผมก็คลุกคลีกับร้านเกมบ่อยๆ ผมมักเข้ามานั่งดูคนเล่นเกมในร้าน บางทีก็ได้เพื่อนที่เป็นเด็กๆ ด้วยกัน เพื่อขอไปนอนบ้านด้วยอยู่บ้าง
....จนวันหนึ่ง เจอกับลุงคนหนึ่งที่เป็นคนในบ้านของเพื่อนผมคนหนึ่งที่ผมเคยไปนอนด้วย เขามาบังเอิญเจอผมที่ร้านเกมหรืออะไรผมก็ไม่ทราบ แต่เขาชวนผมให้ขึ้นรถไปด้วย บอกว่าจะพาไปหาเพื่อนผม ผมก็ไม่คิดอะไรตามก็ขึ้นรถไป
....ส่วนตัวผมเป็นพวกจำเส้นทางไม่ค่อยเก่ง แต่ก็พอทราบว่ามันเป็นเส้นทางที่ไม่คุ้นตา และใช้เวลาเดินทางนานมากๆ แต่ลุงคนนั้นเขาก็บอกว่าเพื่อนผมไปหาญาติ ญาติเขาเปิดร้านเกม ก็เลยจะพาไปส่งที่นั่น
....เดินทางมาได้พักใหญ่ๆ ลุงเขาแวะที่ตลาด ตอนนั้นผมชักเริ่มจะใจไม่ดี ผมนึกถึงข่าวแก้งลักเด็กขึ้นมาเลย พอลุงแกลงไปซื้อของที่ตลาด ผมก็ลงจากรถแล้ววิ่งหนีลุงแกมาเลยโดยที่ไม่รู้ว่าที่นี่มันที่ไหน
....ก็พยายามหนีไปเรื่อยๆ โดยที่ไม่รู้ทิศทาง แต่แถวนั้นเป็นเขตเมือง ก็ซอกแซกตามตรอกซอยไปเรื่อยๆ อยู่นาน จนเริ่มจะแน่ใจว่าไม่น่าจะถูกตามเจอแน่ๆ ก็เริ่มจะสำรวจว่าตัวเองอยู่ที่ไหน
....ตามตรงว่า.... ปัจจุบันผมยังไม่รู้เลยว่าในช่วงนั้นผมโดนพาไปที่ไหนและจังหวัดอะไร ผมจำได้ว่าตอนนั้นผมพยายามเดินหาสวนสาธารณะเพราะบ้านผมอยู่ใกล้มันและผมชอบไปเล่นที่นั่นบ่อยๆ พอได้เจอกับสวนสาธารณะ เจอบ่อทราย เจอบ้านไม้ของเล่น ผมก็เริ่มจะจับจองที่
....อารมเหมือนปาร์ตี้โดเรมอนตะลุยดินแดนมหัศจรรย์ บ้านไม้ของเล่นชั้น 2 คือที่ๆ ผมจะนอน ตัวโยกนี้ผมจะฝึกใช้งานมัน บลาๆ
....ความไร้เดียงสาของผมในวัยเด็กเริ่มลดลงตามท้องฟ้าที่ค่อยๆ มืดแสง เริ่มความหิวข้าว เริ่มกระหายน้ำ แต่กระหายน้ำก็ไม่เท่าไร มันพอมีก๊อกน้ำประปาที่พอจะก้มลงไปดื่มได้ ขึ้นรถกับเขามาจักรยานคู่ใจก็ไม่อยู่แล้ว จอดทิ้งไว้ที่ร้านเกม
....วันแรกคงจะได้แต่กินน้ำไปก่อน ตอนนั้นในหัวไม่เคยคิดถึงวันพรุ่งนี้ด้วยซ้ำ แค่คิดว่า ไม่เป็นไรตามสไตลคนชีวิตไม่เคยลำบาก
....แล้วพอถึงช่วงกลางคืน สภาพของแดนมหัศจรรย์เปลี่ยนไป มีคนน่ากลัวมากมายเข้ามาในสวน ปราสาทที่ผมจับจองโดนตีแตกในไม่ถึงคืน ผมต้องเดินเร่รอนออกจากสวน ถึงจะเป็นเขตเมืองที่พอจะมีแสงไฟ แต่มันเป็นที่ๆ ผมไม่รู้จัก ไม่รู้จะไปที่ไหน
....ความหวาดกลัว และความหวั่นวิตกเริ่มเข้ามา ก็ได้แต่เดินไปเรื่อยๆ ไม่รู้เวลาเท่าไร เดินผ่านป้อมตำรวจ ก็โดนตำรวจเดินเข้ามาหา ตอนนั้นผมตกใจมาก รีบวิ่งหนีตำรวจสุดตัวเลย ทั้งๆ ที่หากตอนนั้นผมเข้าไปหาตำรวจชีวิตผมอาจจะจบลงได้สวยกว่านี้
....จนเริ่มเหนื่อยก็นอนพักที่ศาลาริมทางในส่วนที่ไม่ไกลจากสวนสาธารณะนั่นมากนัก(เพราะไม่รู้จะไปไหน)
....ยังไม่ทันจะหลับดี เจอมีคนมานอนข้างๆ เป็นคนแต่งตัวโทรมๆ น่าจะเป็นคนขอทานแถวๆ นั้น มานอนแล้วหันมายิ้มให้ ตามตรงว่าตกใจโครตๆ อยู่ทำไมละครับ วิ่งดิ
....เปลี่ยนที่ไปเรื่อยๆ จะไปตอนใต้สพานก็มีคนไปนอนแล้ว ตอนนั้นผมไม่มีที่จะไป โลกมันกว้างนะ แต่....ทุกที่ถูกจับจองหมดแล้ว เริ่มหิวข้าว หิวน้ำด้วย ผมมองหมาจรจัดคุยขยะ กับกินน้ำขัง ผมทำแบบนั้นอย่างมันไม่ได้ คืนแรกก็จบลงด้วยการเดินๆ พักๆ เดินๆ พักๆ ไปเรื่อย
....ผมรอดผ่านช่วงเวลานั่นมาได้บอกเลยว่าเพราะ.... "ลักขโมยครับ" โดยเฉพาะของวัดไม่ว่าจะขโมยเงินผ้าป่าที่เสียบๆ ถังไว้ หรือเปิดกล่องเปิดตู้บริจาคเอาเศษเงินเศษแบงค์มาดำรงชีพ
....ประสบการณ์นี้ทำให้ผมรู้จักอีกด้านหนึ่งของชีวิต เพราะพวกเราทุกคนต่างใช้ชีวิตสุขสบาย มีบ้านให้กลับ มีที่นอนอุ่นๆ มีน้ำในตู้เย็น มีเงินในกระเป๋าที่จะบรรดาลสิ่งต่างๆ ให้กับเราได้ หิวก็แวะตลาดก่อนกลับบ้าน
....แต่... ถ้าคนที่ไม่มีสิ่งนี้ละ..... ฝนตกตัวเปียก ไม่มีหลังคาคุ้มหัวให้หลบฝน จะไปยืมหลังคาบ้านคนอื่น ก็จะโดนเขาไล่ตะเพิดเอา ผ้าแห้งๆ ที่จะเช็ดตัวก็ไม่มี ชุดจะเปลี่ยนก็ไม่มี ไม่รู้จะหาสิ่งเหล่านั้นจากไหน....
....เพราะสังคมที่มนุษย์อยู่มันมีแสงสว่างจากความสิวิลัยสาดส่องมาตลอดเวลา แต่ถ้าคนที่ไม่มีสิ่งนี้...มันคือโลกของ "เดรัจฉาน" ไม่มีสิ่งใดให้พึ่งพิงนอกจากตนเอง ทำทุกอย่างเพื่อให้อยู่รอด
....คุณเห็นขอทานบางคนที่ตลาด คุณเคยสงสัยไหมว่าเขาดำรงชีพยังไง ผมได้ลิ้มรสชาติของมันมาแล้วในช่วงชีวิตนั้น มันส่งผลต่อสภาพจิตใจของผมมาก อารมช่วงเวลานั้นมันพุ่งพล่านสุดๆ จากความหิวโหย หวาดกลัว อ่อนล้า กลายเป็นความรู้สึกที่ต้องพึ่งพาตนเอง พออยู่กับมันไปนานๆ เข้าก็เริ่มด้านฉา แล้วก็เริ่มกลายเป็น "ความเกลียดชัง" เกลียดรอยยิ้มของคนอื่นที่ผมไม่มี เกลียดโอกาสของพวกเขา เกลียดทุกๆ อย่าง
....ผมเลยไม่ลังเลที่จะขโมย แต่ชีวิตมันก็ไม่ได้ง่าย เพราะเด็กคนเดียว ไม่มีญาติ ไม่มีคนรู้จัก เมื่อผมเจอปัญหา ผมเจอข่มเหง เสียงร้องขอความช่วยเหลือของผมไม่มีคนได้ยิน โดยเฉพาะยามค่ำคืนที่มนุษย์ปกติจะอยู่ท่ามกลางแสงจากหลอดไฟและบ้านที่อบอุ่น
....เงินที่ขโมยมาโดนแย้งไป โดนทำร้าย โดนข่มขู่ ไม่มีใครในโลกใบนี้อีกแล้วที่จะมาช่วยผมได้ เลิกสวดมนต์ เลิกภาวนา เลิกอ้อนวอน ทุกอย่างต้องพึ่งพาตัวเอง อ่อนแอก็ตาย ยอมแพ้ก็ตาย
....ผมรอดกลับมาได้ก็เพราะโชคดีเจอคนที่ดีแบบที่เจ้าของกระทู้เจอ ผมไปขโมยเงินตู้บริจาคที่วัดตอนกลางคืนแล้วโดนพระจับได้ ท่านหาข้าวให้ผม แล้วถามว่าบ้านผมอยู่ไหน ท่านบอกจะส่งผมกลับบ้าน
....ก็แปลกดี ตอนนั้นสัญชาตญาณสัตว์ป่าผมเต็มขั้นเลย เพราะโดนทำร้ายมาบ่อยๆ แต่อารมตอนนั้นกลับอ่อนล้าเต็มที่ เชื่องยอมฟังพระรูปนี้แต่โดยดี
....แล้วท่านก็ส่งผมขึ้นรถกลับบ้าน โดยที่ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าท่านชื่ออะไร และวัดนั่นอยู่ที่ไหน
....ก็รอดกลับมาได้ รวมเวลาที่ไปอยู่ในโลกหลังแสงนีออนนั่นก็น่าจะ... 3 อาทิตย์ได้นะ ประสบการณ์นี้ทำให้ทัศนคติและสภาพจิตใจของผมอาจจะไม่ปกติเท่าไร แต่ก็เติบโตเป็นผู้ใหญ่ขึ้น ได้เรียนจบรับปริญญา และปัจจุบันก็ทำงานเป็นมนุษย์เงินเดือนอยู่จนถึงทุกวันนี้
....ช่วงแรกผมยึดติดกับความมืดมน(ที่ทำตัวเอง) ของผมมาก แต่พอเวลาผ่านไปผมได้เติบโตขึ้น ผมก็พบว่าช่วงเวลาที่แสนทุกทรมานของผมที่ดำเนินไป ช่วงเวลาของคนอื่นอย่างเช่นแม่ของผมก็ดำเนินไปด้วยเช่นกัน
....บางที่เราอาจจะยึดติดกับความทุกตรมของตัวเราคนเดียว จนไม่ทันมองความรู้สึกและความเป็นไปของผู้อื่น
....ถึงความเห็นแก่ตัวมันจะติดกลายเป็นกมลสันดารของผมแล้ว แต่ผมน่าจะเลือกปฏิบัติได้ ดังนั้นแล้วไม่ว่าเราจะมีความมืดมนในชีวิตแบบใด แต่เราก็ไม่จำเป็นที่จะต้องมืดมิด
....เรามีสิ่งที่เราเป็น และเราก็มีสิ่งที่เราอยากจะเป็น เรายอมรับในสิ่งที่เราเป็นเสียก่อน ถึงมันจะบิดเบี้ยวผิดเพี้ยนไปบ้าง แล้วเราก็ค่อยๆ เติบโตไปหาสิ่งที่เราอยากที่จะเป็น
....ผมคิดแบบนั้นนะ
....แชร์ประสบการณ์กันครับ ,และขอเป็นกำลังใจให้เจ้าของกระทู้ด้วย
....คือ ครอบครัวผมครบสมบูรณ์ดี ถึงด้านพ่อจะมีปัญหาบ้างแต่แม่ก็พยายามประคองครอบครัวไว้ไม่ให้ถึงกับบ้านแตก แม้ว่าจะเคยโดยเอาไปทิ้งคืนญาติกันบ้างก็ตามที
....ตอนนั้นผมก็เป็นเด็กซนธรรมดาทั่วๆ ไป ที่มีแม่ดูแลอย่างดีก็เลยไม่ได้ใส่ใจจะรับรู้ถึงความรุนแรงในปัญหาครอบครัว การดำเนินชีวิตก็สุขสบายดี ผมติดเกมค่อนข้างหนัก ขโมยเงินแม่บ่อยๆ และมักจะกลับบ้านดึกๆ หรือหนีออกจากบ้านไปนอนบ้านเพื่อนเพื่อไม่ให้ถูกตีเมื่อก่อคดี
....มีอยู่วันหนึ่งผมถูบ้านให้แม่แล้วโดนแม่ดุว่าถูไม่สะอาด ผมไม่ได้โกรธอะไรแม่ แต่เพราะความ....โง่ หรือจะเรียกว่าไร้เดียสาก็ได้มัง ผนวกกับการมีประสบการณ์หนีออกจากบ้านเป็นประจำ ก็เลยดันมีความคิดว่า
"คนที่แตกต่างจากเราเขาเป็นยังไง"
....ก็เลยหนีออกจากบ้านยาวในช่วงนั่น ไปด้วยเสื้อผ้าชุดเดียวกับจักรยานคู่ใจ 1 คัน อยู่กับคนหลายๆ ฐานะ
....ตั้งแต่ลูกคนตบแต่งภายใน(น่าจะนะตอนนั้นเข้าใจว่าแบบนั้น) บ้านรวยมากๆ ได้กินโกโก้ครั่นซึ่งสมัยนั้นหรู่มากเลยเป็นข้าวเช้าทุกวัน ก็อยู่เป็นเพื่อนลูกเขา(เบ้) กับช่วยทำงานบ้านเล็กน้อยประมาณ 1 อาทิตย์ แล้วก็ย้ายที่ไปอยู่กับลูกร้านช่างอลูมิเนียม ฐานปานกลาง อันนี้อยู่ได้แค่ 2 วันนะถ้าจำไม่ผิดเพราะครอบครัวเขาค่อนข้างเข้มงวด แล้วสุดท้ายก็ไปอยู่ที่กับลูกคนปลูกกล้วยไข่แถวๆ คูเมืองกำแพงเก่า อันนี้อยู่ยาวเกิบๆ เดือนเลย ถึงครอบครัวเขาจะจน แต่ชีวิตก็สุขสงบดี
....การตื่นชาวมาดูการ์ตูนช่อง 7 เรื่องประวัติบุคคลสำคัญของโลก ก่อนจะไปช่วยงานตอนเช้า ระหว่างรอแม่เพื่อนทำข้าวเช้า เป็นประสบการณ์ที่ละมุนละไมดี กลิ่งยามเช้าของวิถีชีวิตชาวบ้านผมคิดว่าพอจะจำความรู้ ณ ช่วงเวลานั้นได้ ก็น่าชวนให้คิดถึงอยู่เช่นกัน ,และที่นี่ผมได้รู้จักมดตะนอย กับแมลงสาบปีกลายๆ ครั้งแรกในชีวิตจากที่นี่
....ถึงจะอยู่ในช่วงหนีออกจากบ้านแต่ผมก็คลุกคลีกับร้านเกมบ่อยๆ ผมมักเข้ามานั่งดูคนเล่นเกมในร้าน บางทีก็ได้เพื่อนที่เป็นเด็กๆ ด้วยกัน เพื่อขอไปนอนบ้านด้วยอยู่บ้าง
....จนวันหนึ่ง เจอกับลุงคนหนึ่งที่เป็นคนในบ้านของเพื่อนผมคนหนึ่งที่ผมเคยไปนอนด้วย เขามาบังเอิญเจอผมที่ร้านเกมหรืออะไรผมก็ไม่ทราบ แต่เขาชวนผมให้ขึ้นรถไปด้วย บอกว่าจะพาไปหาเพื่อนผม ผมก็ไม่คิดอะไรตามก็ขึ้นรถไป
....ส่วนตัวผมเป็นพวกจำเส้นทางไม่ค่อยเก่ง แต่ก็พอทราบว่ามันเป็นเส้นทางที่ไม่คุ้นตา และใช้เวลาเดินทางนานมากๆ แต่ลุงคนนั้นเขาก็บอกว่าเพื่อนผมไปหาญาติ ญาติเขาเปิดร้านเกม ก็เลยจะพาไปส่งที่นั่น
....เดินทางมาได้พักใหญ่ๆ ลุงเขาแวะที่ตลาด ตอนนั้นผมชักเริ่มจะใจไม่ดี ผมนึกถึงข่าวแก้งลักเด็กขึ้นมาเลย พอลุงแกลงไปซื้อของที่ตลาด ผมก็ลงจากรถแล้ววิ่งหนีลุงแกมาเลยโดยที่ไม่รู้ว่าที่นี่มันที่ไหน
....ก็พยายามหนีไปเรื่อยๆ โดยที่ไม่รู้ทิศทาง แต่แถวนั้นเป็นเขตเมือง ก็ซอกแซกตามตรอกซอยไปเรื่อยๆ อยู่นาน จนเริ่มจะแน่ใจว่าไม่น่าจะถูกตามเจอแน่ๆ ก็เริ่มจะสำรวจว่าตัวเองอยู่ที่ไหน
....ตามตรงว่า.... ปัจจุบันผมยังไม่รู้เลยว่าในช่วงนั้นผมโดนพาไปที่ไหนและจังหวัดอะไร ผมจำได้ว่าตอนนั้นผมพยายามเดินหาสวนสาธารณะเพราะบ้านผมอยู่ใกล้มันและผมชอบไปเล่นที่นั่นบ่อยๆ พอได้เจอกับสวนสาธารณะ เจอบ่อทราย เจอบ้านไม้ของเล่น ผมก็เริ่มจะจับจองที่
....อารมเหมือนปาร์ตี้โดเรมอนตะลุยดินแดนมหัศจรรย์ บ้านไม้ของเล่นชั้น 2 คือที่ๆ ผมจะนอน ตัวโยกนี้ผมจะฝึกใช้งานมัน บลาๆ
....ความไร้เดียงสาของผมในวัยเด็กเริ่มลดลงตามท้องฟ้าที่ค่อยๆ มืดแสง เริ่มความหิวข้าว เริ่มกระหายน้ำ แต่กระหายน้ำก็ไม่เท่าไร มันพอมีก๊อกน้ำประปาที่พอจะก้มลงไปดื่มได้ ขึ้นรถกับเขามาจักรยานคู่ใจก็ไม่อยู่แล้ว จอดทิ้งไว้ที่ร้านเกม
....วันแรกคงจะได้แต่กินน้ำไปก่อน ตอนนั้นในหัวไม่เคยคิดถึงวันพรุ่งนี้ด้วยซ้ำ แค่คิดว่า ไม่เป็นไรตามสไตลคนชีวิตไม่เคยลำบาก
....แล้วพอถึงช่วงกลางคืน สภาพของแดนมหัศจรรย์เปลี่ยนไป มีคนน่ากลัวมากมายเข้ามาในสวน ปราสาทที่ผมจับจองโดนตีแตกในไม่ถึงคืน ผมต้องเดินเร่รอนออกจากสวน ถึงจะเป็นเขตเมืองที่พอจะมีแสงไฟ แต่มันเป็นที่ๆ ผมไม่รู้จัก ไม่รู้จะไปที่ไหน
....ความหวาดกลัว และความหวั่นวิตกเริ่มเข้ามา ก็ได้แต่เดินไปเรื่อยๆ ไม่รู้เวลาเท่าไร เดินผ่านป้อมตำรวจ ก็โดนตำรวจเดินเข้ามาหา ตอนนั้นผมตกใจมาก รีบวิ่งหนีตำรวจสุดตัวเลย ทั้งๆ ที่หากตอนนั้นผมเข้าไปหาตำรวจชีวิตผมอาจจะจบลงได้สวยกว่านี้
....จนเริ่มเหนื่อยก็นอนพักที่ศาลาริมทางในส่วนที่ไม่ไกลจากสวนสาธารณะนั่นมากนัก(เพราะไม่รู้จะไปไหน)
....ยังไม่ทันจะหลับดี เจอมีคนมานอนข้างๆ เป็นคนแต่งตัวโทรมๆ น่าจะเป็นคนขอทานแถวๆ นั้น มานอนแล้วหันมายิ้มให้ ตามตรงว่าตกใจโครตๆ อยู่ทำไมละครับ วิ่งดิ
....เปลี่ยนที่ไปเรื่อยๆ จะไปตอนใต้สพานก็มีคนไปนอนแล้ว ตอนนั้นผมไม่มีที่จะไป โลกมันกว้างนะ แต่....ทุกที่ถูกจับจองหมดแล้ว เริ่มหิวข้าว หิวน้ำด้วย ผมมองหมาจรจัดคุยขยะ กับกินน้ำขัง ผมทำแบบนั้นอย่างมันไม่ได้ คืนแรกก็จบลงด้วยการเดินๆ พักๆ เดินๆ พักๆ ไปเรื่อย
....ผมรอดผ่านช่วงเวลานั่นมาได้บอกเลยว่าเพราะ.... "ลักขโมยครับ" โดยเฉพาะของวัดไม่ว่าจะขโมยเงินผ้าป่าที่เสียบๆ ถังไว้ หรือเปิดกล่องเปิดตู้บริจาคเอาเศษเงินเศษแบงค์มาดำรงชีพ
....ประสบการณ์นี้ทำให้ผมรู้จักอีกด้านหนึ่งของชีวิต เพราะพวกเราทุกคนต่างใช้ชีวิตสุขสบาย มีบ้านให้กลับ มีที่นอนอุ่นๆ มีน้ำในตู้เย็น มีเงินในกระเป๋าที่จะบรรดาลสิ่งต่างๆ ให้กับเราได้ หิวก็แวะตลาดก่อนกลับบ้าน
....แต่... ถ้าคนที่ไม่มีสิ่งนี้ละ..... ฝนตกตัวเปียก ไม่มีหลังคาคุ้มหัวให้หลบฝน จะไปยืมหลังคาบ้านคนอื่น ก็จะโดนเขาไล่ตะเพิดเอา ผ้าแห้งๆ ที่จะเช็ดตัวก็ไม่มี ชุดจะเปลี่ยนก็ไม่มี ไม่รู้จะหาสิ่งเหล่านั้นจากไหน....
....เพราะสังคมที่มนุษย์อยู่มันมีแสงสว่างจากความสิวิลัยสาดส่องมาตลอดเวลา แต่ถ้าคนที่ไม่มีสิ่งนี้...มันคือโลกของ "เดรัจฉาน" ไม่มีสิ่งใดให้พึ่งพิงนอกจากตนเอง ทำทุกอย่างเพื่อให้อยู่รอด
....คุณเห็นขอทานบางคนที่ตลาด คุณเคยสงสัยไหมว่าเขาดำรงชีพยังไง ผมได้ลิ้มรสชาติของมันมาแล้วในช่วงชีวิตนั้น มันส่งผลต่อสภาพจิตใจของผมมาก อารมช่วงเวลานั้นมันพุ่งพล่านสุดๆ จากความหิวโหย หวาดกลัว อ่อนล้า กลายเป็นความรู้สึกที่ต้องพึ่งพาตนเอง พออยู่กับมันไปนานๆ เข้าก็เริ่มด้านฉา แล้วก็เริ่มกลายเป็น "ความเกลียดชัง" เกลียดรอยยิ้มของคนอื่นที่ผมไม่มี เกลียดโอกาสของพวกเขา เกลียดทุกๆ อย่าง
....ผมเลยไม่ลังเลที่จะขโมย แต่ชีวิตมันก็ไม่ได้ง่าย เพราะเด็กคนเดียว ไม่มีญาติ ไม่มีคนรู้จัก เมื่อผมเจอปัญหา ผมเจอข่มเหง เสียงร้องขอความช่วยเหลือของผมไม่มีคนได้ยิน โดยเฉพาะยามค่ำคืนที่มนุษย์ปกติจะอยู่ท่ามกลางแสงจากหลอดไฟและบ้านที่อบอุ่น
....เงินที่ขโมยมาโดนแย้งไป โดนทำร้าย โดนข่มขู่ ไม่มีใครในโลกใบนี้อีกแล้วที่จะมาช่วยผมได้ เลิกสวดมนต์ เลิกภาวนา เลิกอ้อนวอน ทุกอย่างต้องพึ่งพาตัวเอง อ่อนแอก็ตาย ยอมแพ้ก็ตาย
....ผมรอดกลับมาได้ก็เพราะโชคดีเจอคนที่ดีแบบที่เจ้าของกระทู้เจอ ผมไปขโมยเงินตู้บริจาคที่วัดตอนกลางคืนแล้วโดนพระจับได้ ท่านหาข้าวให้ผม แล้วถามว่าบ้านผมอยู่ไหน ท่านบอกจะส่งผมกลับบ้าน
....ก็แปลกดี ตอนนั้นสัญชาตญาณสัตว์ป่าผมเต็มขั้นเลย เพราะโดนทำร้ายมาบ่อยๆ แต่อารมตอนนั้นกลับอ่อนล้าเต็มที่ เชื่องยอมฟังพระรูปนี้แต่โดยดี
....แล้วท่านก็ส่งผมขึ้นรถกลับบ้าน โดยที่ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าท่านชื่ออะไร และวัดนั่นอยู่ที่ไหน
....ก็รอดกลับมาได้ รวมเวลาที่ไปอยู่ในโลกหลังแสงนีออนนั่นก็น่าจะ... 3 อาทิตย์ได้นะ ประสบการณ์นี้ทำให้ทัศนคติและสภาพจิตใจของผมอาจจะไม่ปกติเท่าไร แต่ก็เติบโตเป็นผู้ใหญ่ขึ้น ได้เรียนจบรับปริญญา และปัจจุบันก็ทำงานเป็นมนุษย์เงินเดือนอยู่จนถึงทุกวันนี้
....ช่วงแรกผมยึดติดกับความมืดมน(ที่ทำตัวเอง) ของผมมาก แต่พอเวลาผ่านไปผมได้เติบโตขึ้น ผมก็พบว่าช่วงเวลาที่แสนทุกทรมานของผมที่ดำเนินไป ช่วงเวลาของคนอื่นอย่างเช่นแม่ของผมก็ดำเนินไปด้วยเช่นกัน
....บางที่เราอาจจะยึดติดกับความทุกตรมของตัวเราคนเดียว จนไม่ทันมองความรู้สึกและความเป็นไปของผู้อื่น
....ถึงความเห็นแก่ตัวมันจะติดกลายเป็นกมลสันดารของผมแล้ว แต่ผมน่าจะเลือกปฏิบัติได้ ดังนั้นแล้วไม่ว่าเราจะมีความมืดมนในชีวิตแบบใด แต่เราก็ไม่จำเป็นที่จะต้องมืดมิด
....เรามีสิ่งที่เราเป็น และเราก็มีสิ่งที่เราอยากจะเป็น เรายอมรับในสิ่งที่เราเป็นเสียก่อน ถึงมันจะบิดเบี้ยวผิดเพี้ยนไปบ้าง แล้วเราก็ค่อยๆ เติบโตไปหาสิ่งที่เราอยากที่จะเป็น
....ผมคิดแบบนั้นนะ
....แชร์ประสบการณ์กันครับ ,และขอเป็นกำลังใจให้เจ้าของกระทู้ด้วย
ความคิดเห็นที่ 66
ของผมมีเรื่องนิดหน่อย ...
คือพ่อพาแม่ไปอยู่เชียงใหม่ แล้วพ่อก้อไปเลิกกับแม่ที่นั่น (เรื่องเลิกกันค่อนข้างซับซ้อนครับ) แม่ต้องขายก๋วยเตี๋ยวเพื่อเลี้ยงตัวเองเพราะเงินเก็บหมด
ตัวผมก้อไม่มีเงิน ซึ่งเป็นจุดต่ำสุดในชีวิตครั้งที่ 3
มีอยู่วันนึงผมนั่งรถไปหาแม่ที่เชียงใหม่ แม่บอกไม่มีเงินเลย ก๋วยเตี๋ยวขายไม่ดี ผมมีอยู่ 1,000 บาท แบ่งกับแม่คนละ 500 บาท
นั่งรถกลับมา มีเงินเหลือ 300 บาทและต้นเดือนด้วย
ได้แต่ซื้อข้าวสารมาตุนไว้ พร้อมไก่ พริกแห้ง เมล็ดพันธุ์ผักมาปลูกเพื่อใช้ทำอาหาร โดยมีเงินเหลือแค่ 100 บาท
ซึ่งโชคดีท้ายซอยผมมีบึงเล็กๆ อยู่ เลยได้อาศัยผักบุ้งกินไปทั้งเดือน
แต่บางทีก็แย่งกับเต่าครับ ดึงๆ อยู่เจอเต่ากำลังกินเลยแบ่งกันไป
พอรอดมาได้ และพอมีเงินบ้าง ผมซื้อผักบุ้งวันละ 1 กำ ไปให้เต่ากินบ่อยๆ
คือพ่อพาแม่ไปอยู่เชียงใหม่ แล้วพ่อก้อไปเลิกกับแม่ที่นั่น (เรื่องเลิกกันค่อนข้างซับซ้อนครับ) แม่ต้องขายก๋วยเตี๋ยวเพื่อเลี้ยงตัวเองเพราะเงินเก็บหมด
ตัวผมก้อไม่มีเงิน ซึ่งเป็นจุดต่ำสุดในชีวิตครั้งที่ 3
มีอยู่วันนึงผมนั่งรถไปหาแม่ที่เชียงใหม่ แม่บอกไม่มีเงินเลย ก๋วยเตี๋ยวขายไม่ดี ผมมีอยู่ 1,000 บาท แบ่งกับแม่คนละ 500 บาท
นั่งรถกลับมา มีเงินเหลือ 300 บาทและต้นเดือนด้วย
ได้แต่ซื้อข้าวสารมาตุนไว้ พร้อมไก่ พริกแห้ง เมล็ดพันธุ์ผักมาปลูกเพื่อใช้ทำอาหาร โดยมีเงินเหลือแค่ 100 บาท
ซึ่งโชคดีท้ายซอยผมมีบึงเล็กๆ อยู่ เลยได้อาศัยผักบุ้งกินไปทั้งเดือน
แต่บางทีก็แย่งกับเต่าครับ ดึงๆ อยู่เจอเต่ากำลังกินเลยแบ่งกันไป
พอรอดมาได้ และพอมีเงินบ้าง ผมซื้อผักบุ้งวันละ 1 กำ ไปให้เต่ากินบ่อยๆ
แสดงความคิดเห็น
ใครเคยไม่มีเงินติดตัวซักบาท .... แล้วรอดจากช่วงนั้นมาได้ยังไงบ้างคะ
เกริ่นก่อนว่า เราเป็นสาวประเภทสองค่ะ พูดง่ายๆก็กระเทยนั่นล่ะค่ะ
ที่บ้านเราพ่อไม่ยอมรับ กลับบ้านมาแต่ละครั้งเห็นเราเหมือนกระสอบทราย ยิ่งตอนเมานี่อย่าให้พูดค่ะ เราทั้งอ่วมทั้งน่วม แล้วบ้านเราลูกคนเดียว ครอบครัวเดี่ยว ก็อยู่กันสามคนพ่อแม่ลูก เวลาพ่อเตะพ่อตบ ก็มีแต่แม่ที่เข้ามาห้ามค่ะ ช่วงนั้นเหมือนนรกสำหรับเด็กคนหนึ่ง พ่อเราไม่ชอบกะเทย คือ พูดง่ายๆเกลียดเลยค่ะ เหมือนเราเป็นตัวอัปมงคล เวลาเราอยู่กับพ่อสองคนเราต้องนวดฝ่าเท้า นวดตัวให้พ่อ พ่อก็จะชอบพูดย้ำๆกับเราว่าออกบ้านไปเหอะ เค้าเหนื่อยที่จะเห็นเรา ไล่ให้ไปตามทางที่ชอบ เป็นอย่างนี้ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน ก็พูดแบบนี้ย้ำๆทุกวันค่ะ พวกเงินค่าเรียน ค่าใช้จ่ายต่างๆ แม่เราก็ออกให้อยู่ฝ่ายเดียว บางทีแม่เราก็ทะเลาะกับพ่อเรื่องเรา ... สุดท้ายจนถึงตอนสอบเข้ามหาลัยได้ เราเลยตัดสินใจมาเรียน มาตายเอาดาบหน้าที่กรุงเทพค่ะ นั่นเลยเป็นจุดเริ่มต้นแบบยากลำบากที่สุดสำหรับเรา
เรามีเงินติดตัวมาหมื่นบาท แม่เราให้มาบอกว่าแม่ก็มีแค่นี้ ตั้งตัวให้ได้นะลูก เราจำได้ดีเลย เราเข้าไปกราบเท้าแม่ ร้องไห้ เราบอกทำไมชีวิตเราหาความสุขไม่ได้เลย ชาติหน้าถ้าเลือกเกิดได้จะขอมาเกิดเป็นลูกแม่อีก
เราเข้ากรุงมาพร้อมเพื่อนสนิทมากๆคนนึง เค้าเป็นเกย์ที่นิสัยดีมากสุดๆคนหนึ่ง เป็นเพื่อนแท้คนเดียวของชีวิตเรา แต่คนเราทุกคนย่อมมีด้านมืดของตัวเองค่ะ สุดท้ายหลังเราเรียนมหาวิทยาลัยจบหนึ่งปี เพื่อนเราคนนี้ก็เป็นโรค สุดท้ายก็ฆ่าตัวตายไป .... เหตุการณ์นี้ทำให้เราเป็นโรคซึมเศร้า เรารับไม่ได้ที่เพื่อนสนิทคนเดียวต้องมาจากไป แต่เรื่องก็ยังไม่จบค่ะ เพื่อนจากไปแล้วแต่เราค้ำประกันเงินกู้ให้เค้าค่ะ เรารับหนี้เต็มๆ
ช่วงนั้นทุกอย่างเข้ามารุนแรงยังกับพายุ เราเป็นโรคซึมเศร้าด้วย ต้องไปพบจิตแพทย์ โดนเจ้าหนี้ตามทวง เงินค่าห้องก็เอามาหมุนจ่ายไม่ทัน ที่ร้านก็ขายของไม่ดี แล้วช่วงไม่มีเงินนี่ของจะพังค่ะ บอกเลยว่าอุปกรณ์ทำมาหากินพังเรียบค่ะ พังยันโทรศัพท์กับหม้อหุงข้าว แล้วคนเป็นโรคซึมเศร้านี่จะไม่อยากทำอะไรเลยค่ะ กรณีเราพอเป็นแล้วอยากนอนอย่างเดียว เราไม่แน่ใจว่าเพราะฤทธิ์ยาด้วยหรือเปล่า แต่อยากนอนมาก มีความรู้สึกไม่อยากออกไปไหน ไม่อยากทำอะไร ขี้ลืม เมื่อยไปหมด หัวตื้อๆตันๆ คิดอะไรไม่ออก
แล้วที่ซวยถึงขีดสุด คือ กระเป๋าหายค่ะ ทำให้เราไม่เหลือเงินซักบาท ไม่มีแม้แต่ค่ารถเมล์ ไม่มีตังกดน้ำตู้ลิตรละบาทดื่ม ต้องอาศัยน้ำก๊อกประทังชีวิต เราอดข้าวอดน้ำสองวันเต็มๆ ความทรงจำในแง่ลบเริ่มผุดขึ้นมาเรื่อยๆ ทั้งเรื่องพ่อ เรื่องเพื่อนสนิท เรื่องเงิน เรื่องที่ตัวเองเป็นแบบนี้ เราโทรไปหาญาติผู้ใหญ่ แต่เค้าไม่ให้เรายืมเงิน แถมบอกว่าเราไม่รู้จักเก็บของให้ดีเอง บอกว่าเราเมาแล้วทำหายล่ะซิ คงหนีไม่พ้นเที่ยวกลางคืน ยิ่งเป็นแบบนี้ด้วยคงไม่พ้นเรื่องผู้ชาย แล้วบอกว่าพ่อแม่เราอยู่บ้านก็ลำบาก อกตัญญูไม่ดูแลผู้มีพระคุณ เราฟังแล้วเรายิ่งเจ็บค่ะ เราไม่คิดว่าคนที่เป็นญาติผู้ใหญ่จะมองเราแย่ขนาดนี้
ณ วินาทีนั้น เราไม่คิดอะไรแล้ว มันถึงจุดที่เราไม่มีความหวังจะอยู่ต่อไปอีก ก็เลยหยิบเอาสายโทรศัพท์มาผูกคอ รัดแน่นมากๆ แล้วเอาแขวนคล้องกับลูกบิดประตูห้อง คุกเข่าลง พอถึงๆจุดที่เหมือนเลือดไม่เดินแล้วสติกำลังจะเลือนลาง เริ่มไม่ได้ยินเสียงทีวีชัดๆแล้ว จู่ๆมีเสียงแม่เราตะโกนเรียกชื่อเราค่ะ ดังมาก ดังมาจากไหนไม่รู้ ดังจนเราตกใจว่าแม่มาหาหรอ เราเลยรีบถอดสายรัดคอออก แล้วเปิดประตูไปดูข้างนอกก็ไม่มีใคร เพราะตอนนั้นมันก็จะห้าทุ่มแล้ว พอมีสติ มีแรงขึ้นมาหน่อย เราเห็นตัวเองในกระจกห้องน้ำ คอเป็นรอยรัดแดงๆ สภาพตัวเองก็ดูไม่ได้เลย เราก็ร้องไห้ นอนร้องไห้บนเตียง ร้องแบบจนเหนื่อย จนหลับไป ตื่นมาอีกทีตีสี่แล้วค่ะ
พอตื่นมามันคิดอะไรไม่ออก รู้แต่ว่าหิว หิวมากๆ หิวจนสั่น เราวิ่งไปดื่มน้ำก๊อกเหมือนเดิม แต่มันไม่ไหวแล้ว เราเหมือนจะเป็นลม การอดข้าวอดน้ำแค่สองวัน ทำไมมันทรมานแบบนี้ ทำอะไรไม่ถูก ตอนนั้นเราหน้าด้านมาก เปิดประตูห้องลงไปเจอยามใต้หอพัก เราไม่อายแล้ว เราบอกพี่คะ หนูยืมเงินก่อนได้ไหม หนูหิวจริงๆไม่ได้กินอะไรมาสองวันแล้ว พี่เค้าบอกพกมาแค่ห้าสิบ ก็ให้เราหมดเลย แล้วเอาปาท่องโก๋กับน้ำเต้าหู้ให้เราอีก เราก็ร้องไห้บอกช่วยเราด้วย เราไม่มีตังติดตัวแล้ว พี่หาทางช่วยหนูหน่อยได้ไหม พี่เค้าก็บอกตัวเค้าคงช่วยไม่ได้แต่เจ้าของหอพักอาจจะช่วยได้ พอซักประมาณเจ็ดโมงกว่าๆ เจ้าของหอพักมา เค้าบอกจะรับซื้อทีวีห้องเราให้ในราคาสามพัน พอได้เงินมาเท่านั้นล่ะ เราร้องไห้ต่อหน้าพี่เค้า บอกเราไม่มีเงินจริงๆ เค้าก็บอกว่าเดือนนี้แปะค่าห้องก่อนก็ได้ มีก็ค่อยๆเอามาจ่าย แล้วแม่บ้านเค้าเห็นเราสภาพนี้ก็บอกเอาของมาขายๆให้เค้าหน่อย จะช่วยซื้อ หลังจากนั้นเราก็รักหอพักนี้มากๆ หอเก่าๆโทรมๆ ยามชอบหลับ แม่บ้านชอบรื้อถังขยะ เจ้าของหอชอบทำหน้ามุ่ย แต่เป็นหอพักที่ดีที่สุดในโลกของเรา จะเรียกว่าบ้านเลยก็ว่าได้แต่ติดที่ไม่ใช่ของของเราเอง
หลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้นมันเหมือนจุดต่ำสุดในชีวิตเราแล้ว ก็มีแต่เรื่องดีๆเข้ามาเรื่อยๆ บางทีเราซื้อหวยถูกบ้างเล็กน้อย เราก็แบ่งๆทั้งพี่ยาม ทั้งแม่บ้าน ทั้งเจ้าของหอ แต่เชื่อไหม พวกเค้าไม่เอาอะไรจากเราเลย เคยยื่นให้หรือซื้อของให้ แกจะด่าเรา บอกเก็บเงินไว้บ้าง ตัวคนเดียวยิ่งเป็นแบบนี้ด้วย ต้องมีเงินเก็บ สุดท้ายเราก็มีอาชีพประจำเป็นหลักเป็นแหล่ง มีเงินเก็บ
เหตุการณ์เราผ่านมาแปดปีแล้วนะ เป็นช่วงที่เราตกต่ำที่สุด เราพยายามช่วยเหลือคนรอบข้าง ถ้าเราเห็นใครลำบากเราชอบช่วย แล้วเราชอบตักบาตรหน้าปากซอยทุกเช้า ทำบุญให้เจ้ากรรมนายเวร พยายามแผ่เมตตา เราเกือบฆ่าตัวตายในหอพัก เราก็รู้สึกผิด เพราะ ถ้าเราตายจริง หอพักที่น่าอยู่นี้จะกลายเป็นความอัปมงคลทันที แต่ ณ วินาทีนั้นมันคิดอะไรไม่ได้แล้วจริงๆค่ะ
รอฟังของท่านอื่นบ้างนะคะ ขอบคุณมากค่ะ