[แบ่งปันประสบการณ์] เลือกซื้อบ้านอย่างไรให้ได้บ้านโดนใจ ตอน : การต่อราคา

กระทู้สนทนา
ต่อเนื่องจากกระทู้นี้
[แบ่งปันประสบการณ์] เลือกซื้อบ้านอย่างไรให้ได้บ้านโดนใจ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

เราคิดเอาเองว่า วันนึงๆคงมีคนมาชมบ้านเยอะ มาต่อราคาเยอะ ต่อเล่นๆแล้วไม่เอาก็คงมี
เซลล์อาจจะเอือม เนือย เหนื่อย  (อันนี้คิดเอง ส่วนตัวไม่ค่อยเจอนะคะ)
เซลล์อาจจะเก่ง พลังสกิลในการขายสูงกว่าประสบการณ์การซื้อบ้านของเราแน่ๆ 555

จากประสบการณ์ส่วนตัวนะคะ ขอแนะนำเทคนิคการต่อราคาดังนี้เผื่อเอาไปประยุกต์ใช้ค่ะ
1. ลองดูบ้านหลายๆที่ หลายๆทำเล หลายๆแบรนด์นะคะ

2. ชอบ/ไม่ชอบ เก็บไว้ในใจค่ะ อย่าไปบอกให้เซลล์รู้

3. เอาใบเสนอราคามาตั้งแต่รอบแรกที่ไปดู เอามันมาทุกหลังค่ะ ไม่ต้องเกรงใจ ไม่ซื้อก็ไม่ต้องเกรงใจค่ะ เอามาไว้ก่อน เพราะราคาเหล่านี้เอาเข้าจริงๆเซลล์ก็ตั้งไปเกือบจะเรียกได้ว่า “มั่วๆ” ค่ะ มันเหมือนงานศิลปะ มันเหมือนงานถ่ายพรีเว้ดดิ้งค่ะ เราต้องข่มใจอย่าแสดงอาการดี๊ด๊า เอาราคาเปิดมาก่อน (เคยทำท่าดี๊ด๊าอยากได้มาแล้วและรู้เลยว่าพลาดมาก เซลล์จะถือแต้มต่อทันที)

4. พยายามถ่ายภาพค่ะ ลองขอดูนะคะ ส่วนมากเซลล์จะไม่ให้ถ่าย แต่ถ้าเราทำท่าขึงขังจริงจังว่าเราไปดูมาแล้วหลายโครงการ แล้วเราเริ่มสับสนจำไม่ได้ ขอถ่ายนิดๆหน่อยๆไว้จะได้จำได้ว่าหลังไหนเป็นหลังไหน เซลล์มักจะยอมค่ะ (ข้อนี้ถือเอาความตั้งใจบริสุทธิ์เป็นที่ตั้งนะคะ อย่าเอาเทคนิคนี้ไปใช้แบบผิดๆนะคะ)

5. เซลล์มักจะถามว่าเราทำงานอะไร ดูบ้านขนาดไหน ดูบ้านที่ไหนมาบ้าง.... ทำการบ้านให้ดีๆนะคะ เพราะคำตอบเหล่านี้มีผลในช่วงต่อราคาค่ะ (ต่อให้ยังไม่ได้ดูที่ไหน ก็ดูในเนตเผื่อไปก่อนนะคะ จะได้พอมีไอเดียว่าจะตอบนางว่าเราไปดูมาแล้ว บอกนางไปค่ะว่า โอ้ยย ดูเยอะ ที่นั่นราคานั้น ที่นี่ราคานี้ จัดไปค่ะ ทำเหมือนคุยกันเองก็ได้ เปรียบเทียบที่นี่กับที่นั่น ชมบ้าง ติบ้าง สลับๆกันไป อย่าปล่อยให้เซลล์แสดงบทบาทอยู่คนเดียว เซลล์มักจะชอบบอกว่า มีหลายๆคนดูอยู่ มีหลายๆคนจะจอง หรือแม้กระทั่งบทว่ามีคนจองแล้ว แล้วอีกสักวันสองวันโทรมาบอกเราว่าคนนั้นยื่นธนาคารไม่ผ่าน เทคนิคเหล่านี้เค้าทำเพื่อให้เรารีบคว้าค่ะ อย่าหลงกลนะคะ เราต้องเล่นบทเรากลับไปด้วยค่ะ)

6. กลับมาบ้าน ปรึกษากันเองกับคนที่จะซื้อค่ะว่าชอบหลังไหน แล้วต่อราคาเลยค่ะ ใช่แล้วค่ะ ต่อไปเลย ซื้อไม่ซื้อต่อไปก่อน .... ต่อแล้ว ดูท่าที เซลล์จะโอดโอยว่าไม่ได้หรอกค่าราคานี้ ฯลฯ ไม่ต้องไปสนใจการแสดงค่ะ ต่อไปให้ต่ำๆก่อน เดี๋ยวเราค่อยๆขึ้นให้  (เราเคยดูแบบตั้งใจมาก คือดูให้แน่นอนว่าเราอยากได้จริงๆ ไปดูเป็นสิบรอบเลยนะ ดูทุกวัน ดูครั้งละนานๆ เซลล์เลยรู้ว่าเราอยากได้ เก็งราคาซะโหดเลยค่ะ >< บอกเลยว่าพลาดมากท่านี้)


วิธีคำนวณการต่อนะคะ ส่วนตัวเราใช้อย่างนี้ (อันนี้ส่วนตัวล้วนๆนะคะ ลองพิจารณาดูค่ะ)
1. ราคาประเมินที่ดินของกรมที่ดิน * จำนวน ตรว ของที่ดินของบ้านเรา

2. พื้นที่ใช้สอย กี่ ตรม. * 15,000 (สำหรับบ้านระดับกลางๆ เช่น นันทวัน/ พฤกภิรมย์/ นาราสิริ) ถ้าเค้าก่อสร้างแน่นหน่อย เช่น มีหินอ่อนตกแต่งเยอะ มีวัสดุดีๆ มีแชนเดอร์เลียอลังการ ปรับเป็น 20,000 ดูค่ะ (ราคาก่อสร้างกรมที่ดินประเมิน 8,500 เองค่ะ ดังนั้นไม่ต้องกลัวว่าจะโหดมั้ย เราเผื่อวัสดุที่ดีกว่ามาตรฐานไว้ให้เยอะแล้วค่ะ)

3. ค่าตกแต่งต่างๆ ในกรณีที่มีเฟอร์นิเจอร์และบิ้วแล้ว ราคาราวๆ 7-10 ล้าน สำหรับบ้าน 300-400 ตรม. ค่ะ ลองประมาณดูนะคะ (ตีว่าบิ้วผนัง ตรม ละ 15,000/ ตู้ราวๆ 30,000-50,000 // อ้างอิงราคาคร่าวๆจากช่างบิ้วอินหลายๆเจ้าค่ะ)

4. เอา 1+2+3 จะได้ราคาทุนของโครงการ คร่าวๆค่ะ

5. บวกกำไรให้เขาหน่อย สัก 10-15%

6. ได้ราคามหาโหดแล้วค่ะ ต่อไปเลยค่ะ แล้วหลบดีๆนะคะ 55555




ในความเป็นจริงเท่าที่เราทราบ ราคาหนักๆจะมาจากที่ดินค่ะ สมมุติกรมที่ดินประเมินไว้ที่ดิน 1 แสนบาท
ราคาขายจริงๆของโครงการ จะบวกไปเกือบเท่าตัว กลายเป็น 2 แสนค่ะ
โครงการจะบวกมากบวกน้อยอย่างที่บอกไว้ข้างต้นคือ ดูว่าเขาพัฒนาที่ดินอะไรให้เราบ้าง อัตราส่วนถนน/สวน/ส่วนกลาง ต่อ ที่ดินที่เขาสามารถเอาไปขายได้หน่ะ มันเท่าไหร่ ถึงเท่าตัวมั้ยยยยย.....

สมมุตินะคะ ที่ดิน 200 ตรว (กรมที่ดินประเมินไว้ 8หมื่นบาทต่อ ตรว.) พื้นที่ใช้สอย 300 ตรม
= (200*80000) + (300*15000)
= 16ล้าน + 4.5ล้าน
= 20.5ล้าน ราคาทุนสดๆไม่นับเอี่ยวอื่นๆ ไม่นับว่าเค้าซื้อที่เก็งกำไรไว้นานแล้วววววว  

อาจจะต่อเขาสัก 23-24 ล้าน รับรองเขาไม่ขายค่ะ แต่เป็นการเปิดไพ่ไปก่อน (ย้ำนะคะว่าต่อไปเลยค่ะไม่ต้องกลัว บอกเขาด้วยเราคำนวณแบบนี้ เรามีเหตุผลนะ อย่ามาอีโมชั่นนอลลลลลล)

ส่วนราคาจริงๆ บอกเลยค่ะว่าไม่มี แต่มีสูตรคำนวณว่า ราคาไม่ควรจะเกินนี้ค่ะ
คือ แก้ค่าที่ดิน จากราคาที่กรมประเมิน บวกไปให้เขาอีกสักเท่าตัว สัดส่วนที่เหลือเหมือนเดิมค่ะ
เช่นในกรณีนี้ จะอยู่ราวๆ 36. ล้านค่ะ ราคาไม่ควรเกินนี้ หรือเกินนิดหน่อย แล้วแต่ความอยากได้ของเราหล่ะ

เราเคยดูบ้านแบบนี้นะคะ ราคาตั้งเค้าจะอยู่ที่ 45-49ล้านบาท ใช่ค่ะ! เหมือนต่อลงครึ่งนึงเลย
เซลล์จะดราม่าว่าขายไม่ได้หรอกราคานี้ ให้เราถามเนิบๆค่ะ ว่า แล้วขายได้เท่าไหร่
ไม่ว่าเซลล์จะบอกเท่าไหร่ จะลดมากแค่ไหน อย่ารับราคานะคะ
บอกนางไปเลยว่า เอาราคาสุดท้ายมา เราพร้อมโอน เรา pre approve ธนาคารแล้ว เราซื้อสด จะอะไรก็ว่าไป ทำหน้าจิงจัง อารมณ์สวยและรวยมาก พร้อมซื้อจริงๆ ให้นางไปโทรหาผู้ใหญ่ลีเลยค่ะ เรียกตีกลองประชุมด่วน

ระหว่างนั้น....เราก็แสดงบทของเราไปค่ะ
“อุ้ย! สายเข้า โครงการอื่นโทรมาเรียกให้เราไปดู” (ถึงบอกว่าให้ไปดูหลายๆที่ไงคะ จะได้มีข้อเปรียบเทียบ)
“อุ้ย! สายเข้าอีกแล้ว อะไรนะ ได้ราคา XX เลยหรอ โห ราคาดีมากเลย โอเคๆ เดี๋ยวเสร็จจากที่นี่แล้วจะแวะไปนะ”

นึกออกไหมคะว่า ให้ทำอารมณ์เสมือนว่าเราพร้อมซื้อจริงๆ และมีโครงการมากมาย มาให้เราไปซื้อของเขา แถมราคาดี๊ดีว์นะตัวเทอว์
เกมนี้เราคุมนะคะ เราเล่นตามที่เราอยากเล่นค่ะ ไม่ว่าเซลล์จะพูดอะไรมา เกือบ 100% เป็นบทบาทของเค้าค่ะ

ที่เล่ามานี้มาจากประสบการณ์การซื้อบ้านค่ะ เราไปดูบ่อยมาก อาทิตย์ละ 2-3 วัน วันนึงเราดู 3-4 โครงการ
มีทั้งโดนเซลล์แสดงบทใส่ มีทั้งเหตุบังเอิญอยู่กับเซลล์โครงการนึงแล้วอีกที่นึงโทรมา ทำให้เราเห็นปฎิกริยาที่เปลี่ยนไปของเซลล์ค่ะ ไม่ได้ตั้งใจเล่นบทเลยนะคะมันเกิดขึ้นจริงๆ ^^ เลยเอามาฝากเผื่อใครอยากจะ intensive รวบรัดค่ะ

ส่วนตัวเราไม่เล่นเกมนี้นะคะ ตอนเราซื้อเราบอกเซลล์เลยว่า เรา.พร้อม.โอน เงินเราพร้อม เราไม่เล่นเกมดึงนะ แถมต่อว่าโครงการอื่นที่ชอบเล่นเกมนี้ด้วย (อันนี้เรื่องจริงนะ เราโดนเซลล์โครงการนึงเล่นเกมนี้แล้วบอกเลยว่าเราเบื่อมาก ดึงไปดึงมาไร้สาระเสียเวลาสุด) เรายืนยันต่อราคานี้ ถ้าได้ก็ได้ ถ้าไม่ได้ก็ไม่เป็นไร แล้วเดินจากมา (ก่อนจะเดินออกมาสวยๆ ต้องมั่นใจนะคะว่าเราเล่นบทว่าเราพร้อมซื้อจริงๆได้เนียนค่ะ เพราะถ้าเขาไม่เชื่อ เขาจะไม่โทรมาง้อเราค่ะ)

ขอให้ได้ราคาตามที่หวังนะคะ

ปล. อย่าพึ่งท้อแท้นะคะว่ามันยาก ในฐานะที่เราเรียนการตลาดมา เรารู้ว่าการตั้งราคาที่ดี ไม่ได้ตั้งมาจากการคำนวณต้นทุนแล้วบวกกำไรค่ะ การตั้งราคาที่ดีคือตั้งตามความสามารถและกำลังซื้อของผู้ซื้อค่ะ

ดังนั้น สินค้าต้นทุน 300 บาท เขาจะไม่ได้ตั้งกำไรไว้ที่ 150 บาทแล้วขาย 450 นะคะ (อันนั้นอาจจะเป็น minimal margin ที่ตั้งเอาไว้ว่าต่ำสุดได้แค่นี้ จะได้มีกำไรไว้ปันผลผู้ถือหุ้นค่ะ) แต่เขาจะตั้งไว้จากการดูว่า Potential Target Marget เนี่ยมีกำลังซื้อเท่าไหร่ เช่น คนกลุ่มนี้จะมีเงินเดือน XX มีไลฟ์สไตล์ YY และมีกำลังซื้ออยู่ระหว่าง DD-OO ดังนั้นราคาจะไม่มีตายตัวค่ะ

แวะมาพูดคุยกันได้นะคะ https://web.facebook.com/KIWIMISSIE/
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่