กำลังตกงาน ผ่อนคอนโดไม่ไหว

ผมเป็น จขกท. นะครับ ตอนนี้ผมได้งานทำนานแล้วครับ แต่ไม่ได้เข้ามาดูกระทู้นี้เลย และไม่คิดว่ายังมีหลายท่านเข้ามาตอบกระทู้อยู่
ยังไง ผมต้องขอขอบคุณทุกท่านสำหรับ ข้อคิดเห็น คำแนะนำ และกำลังใจต่างๆ

หวังว่ากระทู้นี้ คงเป็นข้อมูลให้หลายๆท่าน ได้เตรียมตัว และวางแผนเรื่องต่างๆ ในชีวิตได้นะครับ
หลายคำแนะนำ ก็เป็นช่องทางแก้ปัญหาที่ดีเลยทีเดียว ขอขอบคุณทุกๆ ท่านมากๆครับ
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ตอนนี้ตกงานแบบไม่ทันตั้งตัว และคิดว่าคงผ่อนคอนโดต่อไม่ไหวครับ แต่ที่ผ่านมาก็จ่ายครบตลอดทุกเดือนไม่เคยขาด

ใครที่มีประสบการณ์หรือความรู้เรื่องนี้ ขอรบกวนสอบถามครับว่า
1. กรณีเราไม่ผ่อนต่อเลย - นานแค่ไหนถึงจะถูกดำเนินการตามกฏหมายหรือติดแบล็คลิส และ มีผลกระทบร้ายแรงอื่นๆ อะไรบ้าง
2. กรณีที่ขาย - โดยทั่วไปมันจะมีค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องอื่นๆ อะไรอีกบ้าง ที่อาจจะเกิดขึ้นครับ
3. กรณีเข้าโครงการบ้านหลังแรก ที่ใช้หักภาษีเงินได้ที่รับการยกเว้นจากการซื้ออสังหาฯ 5 ปี นั้น จะมีผลกระทบอะไรมั้ยครับ

รบกวนขอคำแนะนำด้วยครับ ขอบคุณมากครับ
แก้ไขข้อความเมื่อ
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 35
ถ้ากลัวว่าจะผ่อนไม่ไหวแล้ว ลองติดต่อธนาคารที่กู้เงินมานะคะ แล้วบอกเค้าไปตรงๆ ว่าเราผ่อนไม่ไหวจริง ธนาคารจะมีทางเลือกให้เราค่ะ เท่าที่เคยติดต่อมาก็มี 3 ทาง คือ

1. ปรับลดจำนวนเงินผ่อนแต่ละเดือน ==> จำนวนเงินผ่อนต่อเดือนลดลง แต่ไม่มากเท่าไร อย่างเช่นจากเดิมผ่อนอยู่เดือนละ 10,000 บาท อาจจะลดลงเป็นเดือนละ 8,000 บาท แต่จะไม่เสียประวัติในเครดิตบูโร

2. ขอปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ==> จำนวนผ่อนต่อเดือนลดลงอย่างมาก เช่น จากเดิมผ่อนอยู่เดือนละ 10,000 บาท อาจจะเหลือเพียงเดือนละ 2-3 พันบาท แต่อันนี้ประวัติในเครดิตบูโร จะถูกปรับจากบัญชีปกติ เป็น ปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ซึ่งอาจจะมีผลต่อการขอสินเชื่อในอนาคตได้

3. ขอขายคืนทรัพย์สินให้กับธนาคาร ==> เราจะไม่มีภาระต้องผ่อนอะไรอีกเลย แต่ธนาคารจะซื้อคืนเท่ากับจำนวนหนี้ที่เรามีอยู่กับธนาคาร เช่น คอนโดฯ ของเราตอนซื้อราคา 2 ล้านบาท ผ่อนมาแล้วสมมติว่า 3 ปี เหลือยอดหนี้กับธนาคาร 1.5 ล้าน ธนาคารก็จะรับซื้อไปที่ราคา 1.5 ล้าน ก็ถือว่าเป็นการปิดบัญชีไปเลย แบบนี้ประวัติในเครดิตบูโรก็จะถูกปรับจากบัญชีปกติ ไปเป็นโอนหนี้หรือขายหนี้คืนธนาคาร มีผลต่อการขอสินเชื่อในอนาคตเหมือนกัน

ทีนี้ถ้าเราเลือกแบบที่ 3 ต้องทำใจนะคะถ้าสมมติเราประกาศขายเองเรายังได้ส่วนต่างจากการขาย แต่ถ้าขายคืนธนาคารเราจะไม่ได้อะไรเลย ซึ่งจากประสบการณ์ของตัวเองเลือกแบบที่ 3 ค่ะ เพราะประกาศขายบ้านของตัวเองมาเกือบ 2 ปี ขายไม่ออก แถมคนที่สนใจก็กดราคามาก ซึ่งถ้าเราขายไปก็ต้องหาเงินมาใช้หนี้แบงค์อีกอยู่ดี ก็เลยตัดใจขายคืนแบงค์ไปซะ เราก็หมดภาระไปเลย

ถ้ายังไง จขกท. ลองติดต่อธนาคารดูนะคะ แล้วบอกไปตรงๆ เลยว่าเราอาจจะไม่สามารถจ่ายหนี้ได้อีกแล้ว ธนาคารพอจะมีทางเลือกอะไรให้ลูกค้าบ้าง เพราะธนาคารก็ไม่อยากให้เราเป็นหนี้เสียอ่ะค่ะ แบบต้องขึ้นโรงขึ้นศาลกันมันเสียค่าใช้จ่ายกับเวลาเยอะอยู่ทั้งลูกค้าและธนาคาร ลองดูนะคะ สู้ สู้ค่ะ ทุกปัญหามันมีทางออกเสมอค่ะ
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 15
จขกท.ต้องตั้งสติ พิจารณาตัวเองก่อน

1. ปัญหาตกงาน แค่ชั่วคราวหรือถาวร?
ถ้าเป็นแค่วิกฤตชั่วคราวแล้วคุณขายบ้านทิ้ง
คุณกำลังแก้ปัญหาชั่วคราวด้วยวิธีถาวร ซึ่งผิดทางมากๆ
แต่ถ้ารายได้คุณน้อยกว่าหนี้บ้านแบบถาวร การต่อรองเจรจาพักชำระต้นกับแบงก์
ก็เป็นการใช้ทางแก้ชั่วคราวไปอุดปัญหาถาวร  แบบนี้ก็ไม่ถูกครับ

2. คุณต้องระบุให้ได้ว่า
- ค่าผ่อนเท่าไหร่ ผ่อนมานาน 5 ปีขึ้นหรือยัง พอที่บ้านจะ "เพิ่มมูลค่าอย่างมีนัยสำคัญ" ถึงจะขายแล้วได้ราคา
- รายได้คูณจะฟื้นได้ไหม ฟื้นมาอยู่ที่เดิมได้ไหม และจะทำได้ในเดือนที่เท่าไหร่

รู้ตัวเลขแล้วก็ไปคุยกับแบงก์ ขอเจรจาพักต้นชำระแต่ดอกไป 12 เดือนครับ
แบบนี้แบงก์ไม่เสียอะไรครับ เพราะแบงก์ได้รายได้ทุกเดือน  ต้นเงินหนี้ยังอยู่เท่าเดิม ก็งอกดอกเบี้ยให้เขาได้เยอะ

พอคุณมีชีวิตปกติก็กลับมาปรับโครงสร้างหนี้ใหม่ครับ ทำสัญญาใหม่ เริ่มผ่อนปกติใหม่จากต้นเงินเดิม
เพราะคุณไม่ได้ค้างดอกเบี้ยอะไรเลย


* มีข้อสังเกตว่า
คุณเพิ่งตกงานก็ไม่มีเงินผ่อนบ้านแล้ว  แปลว่าคุณไม่เคยออมเงินสำรองเลี้ยงชีพเท่าค่าใช้จ่าย 12 เดือนเลยสินะครับ*
นี่แหละคือผลที่ตามมาของการไม่ออมเงิน
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่