จากกรณีหมอท่านหนึ่งลาออกจากรพ. อยากขอเป็นกำลังใจให้บุคลากรทางการแพทย์ทุกท่านครับ

ขอเท้าความนิดหน่อยนะครับ คือเมื่อไม่กี่วันมานี้ถ้าใครได้ติดตามเพจๆหนึ่งทางสังคมโลกออนไลน์ก็จะพบถึงเหตุผลในสเตตัสของคุณหมอท่านหนึ่งที่ลาออกจากรพ. เพื่อกลับไปรักษาอาการป่วยของตนเอง ซึ่งอาการที่ว่านั้นค่อนข้างหนักหนาพอสมควร(จริงๆถ้าตามอ่านจะรู้ว่าหนักมาก) ประเด็นที่ผมอยากจะหยิบยกขึ้นมาคือระบบการบริหารจัดการบุคลากรทางการแพทย์ครับ คือทั้งจากมูลเหตุด้านต้นและจากที่เคยมีคนใกล้ตัวมากๆทำงานสายการแพทย์ ผมค่อนข้างแปลกใจมากกับระบบสวัสดิการที่ดูจะไม่คุ้มกันเลยกับการทำงานหนักที่ต้องเจอกับอะไรหลายๆอย่างทั้งปัญหาจากผู้ที่มาใช้บริการ มาตรวจรักษา และปัญหาภายในที่ผมเชื่อว่าแทบทุกที่อาจจะมีทั้งเปิดเผยและซ่อนเร้น

ผมขอไม่พูดถึงปัญหาภายในเพราะตนเองไม่ใช่บุคลากรทางการแพทย์และไม่รู้ในเรื่องนี้ลึกมากพอที่จะมาเขียนให้อ่าน แต่อยากขออธิบายในส่วนที่ตนเองเข้าใจ คือคนทั่วไปหลายๆท่านอาจจะคิดว่าอาชีพหมอเป็นอาชีพที่ดูดีมากและเป็นอาชีพที่ไม่ได้เหนื่อยมากตามละครที่ดูๆกัน(แบบแค่เดินไปเดินมา) แต่ในความเป็นจริงแล้วชีวิตของหมอวันๆหนึ่งผมว่าค่อนข้างหนักหน่วงมากเลยนะครับ คำว่าไม่ได้ทานข้าวหรือไม่ได้นั่งพักเลยผมว่าค่อนข้างไม่ได้เกินความเป็นจริงเลยครับ และคุณหมอบางท่านต้องทำงานติดต่อกันถึง 36 ชม. โดยไม่ได้หยุดพัก (และอาจจะมากกว่านั้นในบางกรณีด้วยซ้ำ)

คนไข้หรือผู้ไปใช้บริการหลายๆท่านอาจจะคิดว่าทำไมบางครั้งตนเองถึงได้เจอหมอเพียงไม่กี่นาทีและทำไมยาที่ได้ถึงได้แค่พารากลับมาทั้งๆที่ไปหาหมอถึงรพ.ถ้าจะได้แค่พาราสู้ไม่ไปเสียจะดีกว่าไหม? ตรงนี้ขออธิบายต่อว่าลองสมมุติดูนะครับ คุณหมอท่านหนึ่งทำงานในโรงพยาบาลของรัฐซึ่งวันๆหนึ่งจะมีคนไข้ ผมตีว่าอย่างน้อยๆ 100 เคส ตีง่ายๆว่าคนไข้ 1 ท่านปรึกษากับหมอประมาณ 5 นาที เฉลี่ยแล้ววันหนึ่งหมอพบกับคนไข้เต็มๆเกือบ 10 ชม.เลยนะครับ (ซึ่งการทำงานจริงๆผมว่าน่าจะมากกว่านั้นครับ)

ส่วนเรื่องของยาที่คุณหมอจ่ายมาเพื่อรักษาอาการ สิ่งสำคัญที่สุดของการไปหาหมอ เราไม่ได้ไปเพื่อเอายาอย่างเดี่ยวนะครับ เราไปเพื่อให้เขาวินิจฉัยโรคที่เราเป็นจริงๆ เช่นตอนนั้นเที่ยวบ่อย(สมัยวัยรุ่นกลัดมัน) เกิดตุ้มตามต้นขา ไปเจาะเลือดมาเพื่อดูว่าเลือดบวกหรือลบ หรือไม่ก็ไปหาหมอเพื่อปรึกษาจริงๆจังๆ คำวินิจฉัยนี้สำคัญพอๆกะยาและการรักษาให้หายเลยครับ และเหตุผลอีกขอที่ทำให้การวินิจฉัยของหมอบางท่านอาจจะค่อนข้างรวดเร็วคือเคสที่เจออาจจะเป็นเคสที่เข้าใจและเคยเจอมาบ่อยมากพอแล้ว อย่าลืมนะครับว่าหมอท่านหนึ่งกว่าจะมาเป็นหมอได้ต้องผ่านทั้งการเป็นแพทย์ฝึกหัดในรพ.เพราะฉะนั้นบางโรคบางเคสถ้าจะสามารถตัดสินได้เลยผมว่าไม่ใช่เรื่องแปลกนะครับ

อีกทั้งคุณหมอและบุคลากรทางการแพทย์(ขอรวมทั้งหมดนะครับ ทั้งพยาบาล นิติเวช พี่ๆพนง.เข็ด เจ้าหน้าที่ตรวจผลเลือด และอื่นๆที่ทำงานในสายนี้) มักเป็นคนกลุ่มแรกๆที่ต้องเผชิญกับเชื้อโรคและอื่นๆ ทั้งในแง่ของการรักษาที่อาจจะไม่ถูกใจคนไข้บางท่านจนเกิดกรณีการวิพากษ์วิจารณ์และการกล่าวหากันในโลกออนไลน์ สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่บุคลากรหลายๆท่านต้องเจอ รวมถึงปัญหาภายในระบบการจัดการดังที่กล่าวไปในข้างต้น

ผมอยากจะขอเป็นกำลังใจให้กับบุคลากรทางการแพทย์ทุกๆท่านที่ได้อ่านกระทู้นี้ และขอโทษที่ผมทำได้แค่ส่งกำลังใจเพราะผมเองก็คงไม่มีอำนาจมากพอจะเปลี่ยนแปลงระบบหรือสิ่งต่างให้ดีขึ้นได้ และผมเองไม่มีความเสียสละมากพอที่จะทำได้อย่างที่พวกคุณทำ(ความฉลาดก็ไม่มีอีกต่างหาก) สิ่งที่ทำได้คือการพยายามดูแลรักษาตนเองให้ห่างไกลจากโรคภัยไข้เจ็บเพื่อแบ่งเบาภาระของคุณหมอและเจ้าหน้าที่ทุกๆท่าน ผมเชื่อว่าหลายๆท่านที่ทำงานตรงนี้ก็เพราะใจรักและอยากดูแลคนอื่นๆจริงๆครับ (เรื่องผลตอบแทนที่ได้รับมันเป็นธรรมดาของโลกครับ หมอก็คนถ้าทำงานแล้วไม่ได้เงินจะเอาอะไรไปเลี้ยงครอบครัวล่ะครับ)

สุดท้ายแล้วสำหรับผม ประเทศไทยไม่ใช่จำนวนหมอใหม่ๆมีไม่พอหรอก

.....แต่วิธีบริหารจัดการทรัพยากรมนุษย์สายการแพทย์มันเลวร้ายมาเกินไปจนหมอทนอยู่ในระบบไม่ได้ต่างหาก

ขอบคุณครับที่อ่านจบ

Ps.หากเนื้อหาส่วนใดในกระทู้นี้ผิดไปรบกวนแจ้งบอกผมได้เลยนะครับ ขอบคุณครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่