ได้ไปอ่านบทความเกี่ยวกับผู้ช่วยบอกทางแก่ผู้กำลังจะสิ้นลมมาค่ะ
เห็นว่ามีประโยชน์ เลยอยากมาแชร์ให้อ่านกันค่ะ
ที่มา :
https://www.facebook.com/ADKETCENTER/posts/250177968655845
"ผู้ช่วยบอกทางให้ผู้ใกล้ตาย"
ถาม หากเราต้องทำหน้าที่นี้ต้องทำอย่างไร
ตอบ ต้องรู้ว่า
๑. เรากำลังนำผู้ที่เราต้องการช่วยไปสู่สุขคติภพภูมิ
ซึ่งส่วนใหญ่ก็คือ สวรรค์และพรหม
อย่างน้อยที่สุดคือไม่ใช่ไปเป็นเปรต อสุรกาย สัตว์เดรฉานและนรก
๒. การจะไปอยู่ในสวรรค์นั้น
ต้องมีคุณสมบัติของการเป็นคนดี (โดยศีลธรรม)
เราจึงต้องรู้ว่าผู้ที่เรากำลังช่วยนั้น เคยทำกรรมดีอะไรมาบ้าง
๓. หากเขาไม่เคยทำกรรมดี หรือเราไม่รู้ว่าเขาเคยทำกรรมดีอะไรมา
เราก็ต้องรู้ว่า ในเวลานั้น เขามีกิจกรรมอะไรที่เป็นไปในเชิงบวก
มากกว่าเชิงลบ เพื่อนำมาสร้างอารมณ์บวก
๔. หากเรามีความรู้ในหลักธรรมคำสอน (พระพุทธศาสนา)
เราก็นำหลักธรรมนั้นมานำทาง
เพราะหลักธรรมมีแต่สิ่งที่จะสร้างความรู้สึกสุขสงบให้เกิดขึ้น
วิธีใช้หลักธรรมมาช่วยนั้น มีหลายระดับ
๑. ให้นึกถึงสถานที่อันเป็นมงคลที่เคยไป
เช่น วัดต่างๆที่เคยไปเที่ยว ไปทำบุญ ไปทำกิจกรรมดีๆ
อาทิ ถวายภัตตาหาร ถวายสังฆทาน หล่อพระ สร้างเจดีย์
สร้างโบสถ์ หรือแม้แต่ไปทำความสะอาด ช่วยงานเล็กๆน้อยๆ
ก็กล่าวให้นึกถึง
๒. ใช้คำที่คุ้นเคยและเป็นมงคล เช่น
พุทโธ ธัมโม สังโฆ อนิจจัง อนัตตา
อรหันต์ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
ชื่อพระที่นับถือ พระแก้วมรกต หลวงพ่อต่างๆ
เช่นหลวงพ่อโสธร หลวงพ่อโต หลวงพ่อเพชรสมุทร เป็นต้น
๓. นำสวด บทสวดที่เจ้าตัวรู้จัก คุ้นเคยง่ายก็ได้ ยากก็ดี
เช่น สวดมนตร์ถวายพรพระ ทั้งสั้นและยาว
บทที่แสดงถึงการละสังขาร
ซึ่งเป็นบทสวดที่เป็นหลักธรรมที่ช่วยให้ผู้ฟัง
จากไปโดยไม่เป็นห่วงอาลัยอาวรณ์
๔. หากสวดไม่เป็นก็หาเทปมาเปิดให้ฟัง
ไม่ควรเปิดเสียงดังนัก และควรเลือกบทที่สร้างความสงบให้ผู้ฟัง
๕. หากผู้ช่วยมีความรู้ในหลักธรรมบ้าง
ก็เลือกบทสวดในพระสูตรที่เหมาะสม
เช่น บทสวดชื่อ "อุณหิสสะวิชะยะคาถา"
เป็นบทสวดที่พระพุทธองค์ทรงตรัสสอนแก่เทวดาองค์หนึ่ง
ที่กำลังจะหมดบุญ ต้องลงไปจุติ(เกิด)ในนรก
และด้วยความเกรงกลัว จึงไปร้องขอต่อพระอินทร์ให้ช่วย
ก็ไม่สามารถช่วยได้ จึงไปเฝ้าพระพุทธองค์ให้ช่วย
พระองค์จึงตรัสสอนให้เทวดานั้น "ต่อบุญของตน"
โดยการสวดพระคาถาบทนี้
บุญที่เกิดจากการสวด ทำให้เทวดาองค์นั้นอยู่บนสวรรค์ต่อได้
บทสวดนี้จึงเชื่อว่า เป็นบทสวดที่ช่วยให้ผู้สวดหรือผู้ฟัง
ได้บุญมากพอที่จะอยู่บนสวรรค์
ซึ่งถ้าเราจะวิเคราะห์ตามความเป็นจริง น่าจะเป็นว่า
เดิมเทวดานั้นมีบุญมาก จึงได้อยู่บนสวรรค์ และบุญกำลังหมด
การสวดคาถาบทนี้จึงช่วยต่อบุญให้
แต่ถ้าหากเดิมยังไม่ได้อยู่บนสวรรค์
ก็ไม่แน่ว่าอนิสงค์ของการสวดให้ผู้ตายได้ฟัง
จะช่วยนำเขาไปสู่สวรรค์หรือสุขคติภพภูมิได้รึเปล่า
ดังนั้นเพื่อความปลอดภัย
พวกเราทุกคน ควรสร้างความดีแต่เนิ่นๆเถิด
๖. หากผู้นำทาง เป็นผู้ปฏิบัติธรรม
และคนที่เรากำลังช่วยนำทางก็เป็นผู้ปฏิบัติธรรม
ก็ช่วยด้วยการนำสติ นำทางด้วยหลักธรรมขั้นสูงได้
มีตัวอย่างในภาพยนต์เรื่อง
"พระพุทธเจ้ามหาศาสดาเอกของโลก"
ตอนที่ท่านสุทัตตะเศรษฐีจะทำกาละ(ตาย)
เมื่อพระพุทธองค์ทรงแจ้งข่าว
ก็เสด็จไปโปรดท่านสุทัตตะ(อนาถบิณฑิกะ)
ทรงโปรดโดยการตรัสนำความคิดของสุทัตตะ
ให้ไหลไปสู่การปล่อยวางรูปและนามอย่างเป็นขั้นตอน
ฉากในเรื่องนี้ดีมากๆ เป็นแบบอย่างของผู้ช่วยที่ดีที่สุดในโลก เท่าที่จะมี
หากเรื่องราวนี้เกิดขึ้นจริงๆ
ท่านสุทัตตะ ก็น่าจะพ้นทุกข์จากวัฏฏะสงสารเลยทีเดียว
อาจมีข้อสงสัยว่า ทำไมผู้ที่ปฏิบัติธรรมแล้วยังต้องมีคนช่วย
ข้อ๑ ไม่มีก็ได้
ข้อ๒ แต่ละคนก็มีผลการปฏิบัติไม่เท่ากัน มากบ้างน้อยบ้าง
แต่ละคนฝึกวิธียากง่ายต่างกัน และฝึกได้ผลยากง่ายผิดกัน
ข้อ๓ เวลาที่ใกล้ช่วงนี้
ร่างกายแต่ละคน ทนทานความเจ็บปวดไม่เท่ากัน
โรคภัยและภาวะที่เกิดไม่เท่ากัน
อาการของโรคส่งผลกับสภาพร่างกายไม่เท่ากัน
ความเจ็บปวดของร่างกายอาจส่งผลกดดันสภาวะอารมณ์ของผู้นั้นอย่างยิ่งยวด
ดังนั้น แม้ผู้ที่ฝึกดีแล้ว สะสมบุญมากแล้ว
ก็อาจต้องการคนช่วยนำทาง
แต่เชื่อเถอะว่า หากเป็นผู้ปฏิบัติโดยแท้
ก็สามารถผ่านสภาวะนั้นไปสู่สุขคติภพได้
และเมื่อเขาตกอยู่ในสถานะที่ต้องการความช่วยเหลือ เขาก็จะได้รับ
ไม่ทางใดก็ทางหนึ่งเสมอ
ผู้ช่วยบอกทางแก่ผู้กำลังจะสิ้นลม
เห็นว่ามีประโยชน์ เลยอยากมาแชร์ให้อ่านกันค่ะ
ที่มา : https://www.facebook.com/ADKETCENTER/posts/250177968655845
"ผู้ช่วยบอกทางให้ผู้ใกล้ตาย"
ถาม หากเราต้องทำหน้าที่นี้ต้องทำอย่างไร
ตอบ ต้องรู้ว่า
๑. เรากำลังนำผู้ที่เราต้องการช่วยไปสู่สุขคติภพภูมิ
ซึ่งส่วนใหญ่ก็คือ สวรรค์และพรหม
อย่างน้อยที่สุดคือไม่ใช่ไปเป็นเปรต อสุรกาย สัตว์เดรฉานและนรก
๒. การจะไปอยู่ในสวรรค์นั้น
ต้องมีคุณสมบัติของการเป็นคนดี (โดยศีลธรรม)
เราจึงต้องรู้ว่าผู้ที่เรากำลังช่วยนั้น เคยทำกรรมดีอะไรมาบ้าง
๓. หากเขาไม่เคยทำกรรมดี หรือเราไม่รู้ว่าเขาเคยทำกรรมดีอะไรมา
เราก็ต้องรู้ว่า ในเวลานั้น เขามีกิจกรรมอะไรที่เป็นไปในเชิงบวก
มากกว่าเชิงลบ เพื่อนำมาสร้างอารมณ์บวก
๔. หากเรามีความรู้ในหลักธรรมคำสอน (พระพุทธศาสนา)
เราก็นำหลักธรรมนั้นมานำทาง
เพราะหลักธรรมมีแต่สิ่งที่จะสร้างความรู้สึกสุขสงบให้เกิดขึ้น
วิธีใช้หลักธรรมมาช่วยนั้น มีหลายระดับ
๑. ให้นึกถึงสถานที่อันเป็นมงคลที่เคยไป
เช่น วัดต่างๆที่เคยไปเที่ยว ไปทำบุญ ไปทำกิจกรรมดีๆ
อาทิ ถวายภัตตาหาร ถวายสังฆทาน หล่อพระ สร้างเจดีย์
สร้างโบสถ์ หรือแม้แต่ไปทำความสะอาด ช่วยงานเล็กๆน้อยๆ
ก็กล่าวให้นึกถึง
๒. ใช้คำที่คุ้นเคยและเป็นมงคล เช่น
พุทโธ ธัมโม สังโฆ อนิจจัง อนัตตา
อรหันต์ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
ชื่อพระที่นับถือ พระแก้วมรกต หลวงพ่อต่างๆ
เช่นหลวงพ่อโสธร หลวงพ่อโต หลวงพ่อเพชรสมุทร เป็นต้น
๓. นำสวด บทสวดที่เจ้าตัวรู้จัก คุ้นเคยง่ายก็ได้ ยากก็ดี
เช่น สวดมนตร์ถวายพรพระ ทั้งสั้นและยาว
บทที่แสดงถึงการละสังขาร
ซึ่งเป็นบทสวดที่เป็นหลักธรรมที่ช่วยให้ผู้ฟัง
จากไปโดยไม่เป็นห่วงอาลัยอาวรณ์
๔. หากสวดไม่เป็นก็หาเทปมาเปิดให้ฟัง
ไม่ควรเปิดเสียงดังนัก และควรเลือกบทที่สร้างความสงบให้ผู้ฟัง
๕. หากผู้ช่วยมีความรู้ในหลักธรรมบ้าง
ก็เลือกบทสวดในพระสูตรที่เหมาะสม
เช่น บทสวดชื่อ "อุณหิสสะวิชะยะคาถา"
เป็นบทสวดที่พระพุทธองค์ทรงตรัสสอนแก่เทวดาองค์หนึ่ง
ที่กำลังจะหมดบุญ ต้องลงไปจุติ(เกิด)ในนรก
และด้วยความเกรงกลัว จึงไปร้องขอต่อพระอินทร์ให้ช่วย
ก็ไม่สามารถช่วยได้ จึงไปเฝ้าพระพุทธองค์ให้ช่วย
พระองค์จึงตรัสสอนให้เทวดานั้น "ต่อบุญของตน"
โดยการสวดพระคาถาบทนี้
บุญที่เกิดจากการสวด ทำให้เทวดาองค์นั้นอยู่บนสวรรค์ต่อได้
บทสวดนี้จึงเชื่อว่า เป็นบทสวดที่ช่วยให้ผู้สวดหรือผู้ฟัง
ได้บุญมากพอที่จะอยู่บนสวรรค์
ซึ่งถ้าเราจะวิเคราะห์ตามความเป็นจริง น่าจะเป็นว่า
เดิมเทวดานั้นมีบุญมาก จึงได้อยู่บนสวรรค์ และบุญกำลังหมด
การสวดคาถาบทนี้จึงช่วยต่อบุญให้
แต่ถ้าหากเดิมยังไม่ได้อยู่บนสวรรค์
ก็ไม่แน่ว่าอนิสงค์ของการสวดให้ผู้ตายได้ฟัง
จะช่วยนำเขาไปสู่สวรรค์หรือสุขคติภพภูมิได้รึเปล่า
ดังนั้นเพื่อความปลอดภัย
พวกเราทุกคน ควรสร้างความดีแต่เนิ่นๆเถิด
๖. หากผู้นำทาง เป็นผู้ปฏิบัติธรรม
และคนที่เรากำลังช่วยนำทางก็เป็นผู้ปฏิบัติธรรม
ก็ช่วยด้วยการนำสติ นำทางด้วยหลักธรรมขั้นสูงได้
มีตัวอย่างในภาพยนต์เรื่อง
"พระพุทธเจ้ามหาศาสดาเอกของโลก"
ตอนที่ท่านสุทัตตะเศรษฐีจะทำกาละ(ตาย)
เมื่อพระพุทธองค์ทรงแจ้งข่าว
ก็เสด็จไปโปรดท่านสุทัตตะ(อนาถบิณฑิกะ)
ทรงโปรดโดยการตรัสนำความคิดของสุทัตตะ
ให้ไหลไปสู่การปล่อยวางรูปและนามอย่างเป็นขั้นตอน
ฉากในเรื่องนี้ดีมากๆ เป็นแบบอย่างของผู้ช่วยที่ดีที่สุดในโลก เท่าที่จะมี
หากเรื่องราวนี้เกิดขึ้นจริงๆ
ท่านสุทัตตะ ก็น่าจะพ้นทุกข์จากวัฏฏะสงสารเลยทีเดียว
อาจมีข้อสงสัยว่า ทำไมผู้ที่ปฏิบัติธรรมแล้วยังต้องมีคนช่วย
ข้อ๑ ไม่มีก็ได้
ข้อ๒ แต่ละคนก็มีผลการปฏิบัติไม่เท่ากัน มากบ้างน้อยบ้าง
แต่ละคนฝึกวิธียากง่ายต่างกัน และฝึกได้ผลยากง่ายผิดกัน
ข้อ๓ เวลาที่ใกล้ช่วงนี้
ร่างกายแต่ละคน ทนทานความเจ็บปวดไม่เท่ากัน
โรคภัยและภาวะที่เกิดไม่เท่ากัน
อาการของโรคส่งผลกับสภาพร่างกายไม่เท่ากัน
ความเจ็บปวดของร่างกายอาจส่งผลกดดันสภาวะอารมณ์ของผู้นั้นอย่างยิ่งยวด
ดังนั้น แม้ผู้ที่ฝึกดีแล้ว สะสมบุญมากแล้ว
ก็อาจต้องการคนช่วยนำทาง
แต่เชื่อเถอะว่า หากเป็นผู้ปฏิบัติโดยแท้
ก็สามารถผ่านสภาวะนั้นไปสู่สุขคติภพได้
และเมื่อเขาตกอยู่ในสถานะที่ต้องการความช่วยเหลือ เขาก็จะได้รับ
ไม่ทางใดก็ทางหนึ่งเสมอ