....จากกระทู้..พระใหม่..
http://ppantip.com/topic/34882093
หลายๆท่านบอกให้ผมต่อ ผมเองก็อยากต่อให้จบ ไหนๆก็เอามาเล่าแล้ว
แต่คงไม่เล่าต่อในกระทู้นั้น เพราะไม่ชอบการลากกระทู้ให้ยาวยืด
จึงขอเล่าต่อในกระทู้นี้แล้วกัน อยากบอกยาวกว่ากระทู้แรก
....…..ดังที่ผมตบท้ายในกระทู้ที่แล้ว ว่าประสบการณ์แปลกๆ ที่ผมพบเจอในวัดตอนบวชพระยังมีอีกเยอะ และก็มีคนอยากฟังต่อ ผมก็เลยมาเล่าต่อในกระทู้ใหม่กระทู้นี้แทน เพราะกระทู้เก่านั้นมันก็ยาวมากแล้ว อยากให้มองว่าเป็นการอ่านชีวิตของการบวชเป็นพระ มากกว่าจะให้มองว่าเป็นการเล่าเรื่องผี ทั้งๆที่ผมก็มั่นใจว่า ถ้าจะหาสถานที่ ที่มีผีมากๆ ก็คงไม่พ้นวัดยิ่งถ้าเป็นวัดที่สร้างมานานๆ ด้วยแล้ว จะยิ่งมีอะไรแปลกๆให้พบเจอได้เยอะ ทั้งนี้ก็ขอให้มองว่าเป็นความเชื่อเฉพาะบุคคลกันไป หรือมองว่าเป็นเรื่องเล่าขำๆกันไป อย่าได้มาจองเวรซึ่งกันและกันเลย
.......การเล่าของผม เป็นการพิมพ์ใน Word แล้วเซฟไว้ ก่อนจะเอามาแปะลงในทีเดียว จึงไม่มีการเดี๋ยวมาต่อ เพราะผมเองก็ไม่ชอบการรอ และไม่ต้องการให้มองว่ามาเล่าเพื่อเช็คเรตติ้งใดๆ ผมเขียนจากประสบการณ์ส่วนตัวล้วนๆ ซึ่งแต่ละสถานที่แต่ละภาค ก็ล้วนมีวัตรปฏิบัติแตกต่างกันบ้างในรายละเอียด แต่หลักๆส่วนใหญ่สำคัญก็คงคล้ายๆกัน
.....ส่วนคนที่เป็นสายฮาร์ดคอผี อยากเห็นผีโหดๆออกมาไล่บีบคอคน บอกได้เลยว่า คงไม่มีให้เห็น เพราะนี่เป็นเรื่องราวในวัด คงไม่มีผีตนไหนออกมาไล่ฆ่าพระเป็นแน่ และผมก็ไม่เคยเห็นว่าจะมีกรณีผีออกมาบีบคอคนจนตายสักที ถ้าจะมีก็คงมีแค่ในหนังหรือละคร เอาเป็นว่าเป็นเรื่องเล่าที่ควรเอาไว้อ่านเวลาท่านไม่มีอะไรอ่านตอนเข้าส้วมก็แล้วกันครับ
....ทีนี้เรามาว่ากันต่อเลยนะฮะ ...- -“ ไม่เอาครับประโยคนี้เราจะไม่พาดพิง ..ก็ นั่นละฮะท่านผู้ชม ..ยาง ยังอีก
เจอคนในสังคมแบบนี้แย่มากครับ ก็ว่ากันไปครับ เดี๋ยวมาว่ากันต่อแล้วกันหรือไม่ประการใด
.....ผมผ่าน3คืนแรกของการกรวดน้ำตอนดึกมาได้แบบเสียวสันหลังทุกครั้ง ก็เริ่มได้ออกเดินบิณฑบาตรอย่างจริงจังเสียที
ครั้งแรกของการเดินบิณฑบาตร มันไม่ง่ายเลย เพราะผมยังอ่อนประสบการณ์ ผมก็เคยสงสัยนะว่าทำไมบาตรพระ.....องค์ที่อยู่มานาน ทำไมท่านต้องหุ้มด้วย...เชือกสานเป็นตาข่ายหุ้มบาตรสีเหลืองๆ ดูสวยงาม ในขณะที่ผมได้รับบาตรดำๆฝาเหลืองมาโล้นๆ ไม่มีอะไรหุ้ม นอกจากผ้าบางๆสีเดียวกับจีวร รอบรัดไว้ตรงก้นบาตร เชื่อมกับสายสะพาย
.....เพราะของผมมันเป็นแค่ผ้าบางๆ ไม่ได้ผูกรัดแน่นหนาแบบองค์อื่นๆ แล้วเป็นพระใหม่ เลยเดินตามเป็นองค์ท้ายสุด
พอมีโยมตักบาตร ซึ่งก็มักจะเป็นคนแก่ๆเสียมาก คนหนุ่มๆผมไม่เคยเห็นว่าจะตักบาตร ส่วนวัยรุ่นสาวๆก็พอเจอบ้างแต่ก็ไม่มาก มันบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่า หนุ่มสาวสมัยใหม่ ไม่ค่อยสนใจในศาสนาสักเท่าไหร่ (ว่าแต่เขา เราก็ด้วยแหละ พึ่งมาใกล้ศาสนาตอนบวชเหมือนกัน) พอโยมตักบาตร องค์แรกๆจะตักกันน้อยๆเพราะกลัวข้าวไม่พอ พอมาถึงพระใหม่รูปหล่อองค์ท้ายสุด เลยรับเต็มๆ เหลือเท่าไหร่โยมๆก็ประเคนหมดขัน
.....นี่คงเป็นเหตุผลที่เขาให้พระใหม่เดินท้ายสุดกระมัง แรงยังเยอะ บาตรเต็มตั้งแต่ครึ่งทาง ส่วนพวกอาหารแห้งแกงถุงขนม..ดอกไม้ แต่ละองค์ก็จะมีย่ามสะพายส่วนตัว ทีนี่ไม่มีเด็กวัด ลืมภาพในหนังที่มีเด็กวัดเดินตามคอยสะพายของให้ไปได้เลย ไปๆมาๆพระเดินเหมือนคนบ้าหอบฟาง ไหนจะบาตรที่มีแต่ข้าวร้อนๆเต็มบาตร ไหนจะสะพายย่ามที่ตอนแรกไม่หนัก พอรับมามากๆ กรรมกรท้ายแถวดีๆนี่เอง ยิ่งเจอบ้านไหนถวายข้าวหลามกระบอกใหญ่ๆด้วยนะคุณเอ๊ย ทิ่มรักแร้พระดีนักแล แต่เราเป็นพระ โยมศรัทธาถวายมาก็ต้องแบกกันไป
.....เพราะบาตรผมไม่มีเชือกถักรองรับเหมือนองค์อื่นๆ เลยทั้งร้อนทั้งหนัก จะแสดงออกทางสีหน้าก็ไม่ได้ เพราะเดินเข้าไปในบ้านโยมในทะเลน้อย ที่เขาปลูกบ้านอยู่ในทะเล ติดกันเป็นพรืด มีสะพานปูนเชื่อมแต่ละบ้านเข้าด้วยกัน ดูคล้ายๆสลัมในกรุงเทพ แต่มีความเป็นระเบียบ และมีความเป็นบ้านมากกว่า เพียงแต่ย้ายลงไปอยู่ในน้ำเท่านั้นเอง สะพานแคบๆประมาณ1เมตร ก็เป็นหมู่บ้านชาวประมง ดูชีวิตเรียบง่ายดี แต่ถ้าคนไม่คุ้น หลงเข้ามาเที่ยว อาจจะอาเจียนได้ เพราะกลิ่นปลาแปรรูปมันฟุ้งไปทั้งบาง
.....ขาไป เดินบนดินลูกรัง ก็เจ็บเท้านิดๆเพราะไม่เคยเดินเท้าเปล่า พอขากลับนี่หนักเลย เพราะแบกน้ำหนักกลับวัดไง เท้าเลยรับแรงกด..ลงบนหินลูกรังจนเผลอ..ร้องซี๊ดดดด อูยยยยยย แขนกับมือนี่แดงเลย เพราะข้าวในบาตรมันร้อน
เชื่อเถอะ คนเคยบวชต้องเคยเจอแบบนี้กันบ้างล่ะ และที่กำลังจะบวช ก็ต้องเจอเหมือนกัน เว้นแต่จะไปบวชที่วัดในเมืองใหญ่ๆ อันนั้นอาจจะไม่ได้สัมผัสรสชาตินี้ เพราะผมเห็นพระ ที่อยู่ในเมือง ท่านจะมานั่งมายืนข้างๆ4แยกไฟแดงรอรับบาตร ไม่ได้เดินไปไหน ได้ของมาก็เอาใส่กระสอบ มีรถขับมารับถึงที่พอถึงเวลากลับ และญาติโยมในเมือง เขาก็ไม่ค่อยจะตักบาตรด้วยข้าวสวยจากขันเงินกัน ส่วนใหญ่จะเป็นของสำเร็จรูปที่ห่อไว้ในถุงเรียบร้อยเป็นชุดๆแม้กระทั่งข้าวสวย ความร้อนของข้าวเลยแทบไม่ได้สัมผัสพระ และพระก็ไม่ได้หนักอะไร เพราะรับมาก็มีคนคอยรับ เอาไปใส่กระสอบ
......ฉันเช้าเสร็จก็ให้ศีลให้พร แยกย้ายกันทำกิจของพระ หลักๆก็ไม่มีอะไรมาก ก็ซักสบง อังษะ จีวร กวาดขยะใบไม้ ตัดหญ้าบ้าง ให้อาหารหมา แมวที่มีเต็มวัด หมาที่วัดนี้ มียัน .ล๊อตไวเลอร์ แต่ท่านเจ้าอาวาส จับมันขังแยกเดี่ยวไว้ในกรงหลังกุฏิ ท่านว่ามีคนยกให้มา ท่านจะปล่อยออกมาเพ่นพ่านก็ไม่ได้ เพราะกลัวไปกัดเด็กตาย อย่าว่าแต่เด็กเลย ต่อให้เป็นผู้ใหญ่ ดูจากขนาดตัวแล้ว ก็อาจตายได้เหมือนกัน ถ้าปล่อยออกมา คาดว่าแมวคงตายเกลี้ยงวัด หมาตัวอื่นๆโดนมันกัดก็คงไม่น่ารอด
.....ผมเองคว้าหนังสือมนตร์พิธีได้เล่มนึง ก็อาศัยร่มไม้ใหญ่ นั่งคนเดียวเงียบๆแล่ะ ลมเย็นสบายดี บวกกับความร่มรื่นของเงาไม้ด้วย เอาไปท่องบทสวดง่ายๆ ก็เกิดรู้สึกสงสัยว่าพระพุทธองค์ นั่งสมาธิแล้วบรรลุ เราลองเดินรอยตามดูบ้างก็น่าจะดี เลยนั่งสมาธิใต้ร่มไม้ กำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก พุทโธ ไปเรื่อยๆ พุทโธ พุทโธ พุทโธ ....คร่อกกกกก ฟี้......- -“
รู้สึกตัวอีกที อ้าว! น้ำลายไหลออกข้างแก้ม ตัวเอียงพิงกับต้นไม้ .... เจริญแล้วอาตมา มานั่งหลับใต้ต้นไม้
มีใครผ่านมาเห็นพระนั่งหลับน้ำลายยืดไม๊ล่ะเนี่ย...
.
........ผมเป็นพระได้6-7วัน ก็ต้องออกงาน Event ด้วยความจำเป็น นั่นคือถูกนิมนต์ไปสวดงานศพ คือตั้งแต่ผมบวชมาตลอด1เดือนนั้น ทำให้รู้เลยว่า ความตายอยู่ใกล้ตัวเราจริงๆนะ และมีคนตายตลอด ตายกันบ่อย ขยันตายมาก เพราะผมต้องเดินทางไปร่วมสวดงานศพบ่อยมากๆ สวดอะไรก็ยังไม่เป็นหรอก ได้แต่ตอนบังสกุลผ้าปิดท้ายก่อนเผาเท่านั้นแล่ะ เพราะบทสวดง่าย ก็แค่
อนิจจา วะตะสังขารา บลาๆ
ถ้าเป็นแบบกิจนิมนต์งานศพแบบวันเผา คือจะมีการนิมนต์พระไปหลายๆองค์จากหลายๆวัด ส่วนใหญ่ก็จะเป็นวัดในละแวก อ.ควนขนุน ช่วงตำบล ทะเลน้อย พนางตุง ปากประ แหลมโตนด ถ้าจะมีไกลกว่านั้นบ้างก็นานๆที พอได้คุยได้ฟังพระวัดอื่นก็ได้รู้ว่า ที่ต้องมานิมนต์ไกลๆ เพราะพระแต่ละวัดมีน้อย บางวัดมีแค่เจ้าอาวาสองค์เดียวก็มี บางวัดท่านก็ไม่รับกิจนิมนต์ เพราะพระจำรวนมากสังขารแย่เต็มที พระหนุ่มๆก็น้อย เพราะคนไม่ค่อยอยากบวช
.....บางวัดท่านก็เป็นธรรมยุตนิกาย ซึ่งจะมีความเข้มข้นกว่ามหานิกาย หรือเถรวาทเดิม พระสายธรรมยุตท่านจะไม่ค่อยสนกิจนิมนต์ เพราะสนแต่การปฏิบัติให้หลุดพ้นเป็นหลัก ภาระพวกนี้เลยเป็นหน้าที่ของพระสายมหานิกายเถรวาทเป็นหลัก ซึ่งพอบวชเลยทำให้ผมรู้ว่า
....พระในไทยมี2นิกายคือ มหานิกายหรือเถรวาทดั้งเดิม กับ นิกายธรรมยุต
ความแตกต่างระหว่าง2นิกาย ที่เห็นชัดแบบไม่ต้องสืบคือ มหานิกายเถรวาทจีวรส้ม
ส่วน ธรรมยุต จะจีวรสีเข้มๆเลือดหมูๆ ใครอยากรู้ในส่วนนี้ ไปหาอ่านเอาเอง
ใครที่อยากใฝ่หาธรรมมะจริงๆ ก็ขอให้ไปบวชวัดสายธรรมยุตครับ จะเคร่งมาก
.....อันว่าการไปสวดงานศพนี้ ผมไม่ค่อยอยากจะไปเท่าไหร่ เพราะพอไปแล้วใจมักหดหู่กลับมา เห็นแต่คนร้องไห้ เห็นแต่คราบน้ำตาและความโศกเศร้า อีกอย่างผมก็สวดอะไรไม่ได้มากไปกว่าคนธรรมดาที่เข้าวัดบ่อยๆ แต่ก็ปฏิเสธรองเจ้าอาวาสที่เป็นผู้จัดพระไม่ได้
ผมเคยขอท่านบอก ผมไม่ไปได้ไม๊ครับท่าน ผมสวดอะไรไม่ได้เลย ไปจะอายเขาเปล่าๆ
ท่านก็ว่า “ไม่ได้หรอก โยมนิมนต์มา จะมากจะน้อยได้..ไม่ได้ เราก็เป็นพระ เราต้องไป”
เป็นอันว่าผมก็ต้องจำใจออกงานอิเว้นท์
.....อันว่างานสวดศพที่เจ้าภาพนิมนต์พระไปเยอะๆ ผมก็ยังพอเนียนๆ ไปแอบๆนั่งหลบอยู่แถว2ท้ายๆแถวได้ พนมมือกางหนังสือสวดกันเลยทีเดียว แรกๆก็ยังสวดทันบ้าง แต่พอเจอบทสวดรัวๆเร็วๆ ก็แทบจะเปิดหน้าหนังสือตามท่านๆผู้เจนจัดด้านแร๊ฟบทสวดไม่ทัน สุดท้ายก็ไม่รู้แล้วว่าเขาสวดกันไปถึงหน้าไหน เอาละวะพระใหม่ผู้มีปัญญาศรีธนญชัย จะนั่งหุบปากนิ่งๆก็อาย พระด้วยกันไม่เป็นไร ท่านคงเข้าใจ แต่โยมมากมายที่นั่งพนมมือหน้าสลอนด้านล่างนั้นเล่าใครเขาจะรู้ว่าเราบวชได้ไม่กี่วันก็ต้องออกศึก
หากเรานั่งหุบปากนิ่งๆ ชาวบ้านเขาจะนินทาเอาได้ เราจะยอมได้ไง ก็เลยเนียนเลยแล้วกัน
..ถั่วงา ถั่วงา ทำมา ทำมา อยู่แค่นี้เอง มั่วๆไปกับเค้า แต่ก็ไม่ได้ออกเสียงดังอะไร เอาแบบเบาๆพออ้าปากให้ชาวบ้านเห็นว่า ไม่ได้อู้นะโยม สวดอยู่ แหะๆ แล้วเสียงสวดพระหลายๆองค์มันตีๆกันไง เราถั่วงาๆๆๆ ทำมาๆๆ คือมันใช่อ่ะ ฟังคล้ายๆเลย ไม่เชื่อลองสวด ท่อง ถั่วงา ถั่วงา ทำมา ถั่วงา ดูครับ
..ผมไม่ได้มาเสี้ยมนะ แต่เผื่อใครไปบวชแล้วโดนเข็นออกศึก จะได้มีวิธีแก้อาย เจริญแล้วชีวิตพระใหม่ ถ้าวิญญาณคนตายมีจริง แล้วยืนอยู่ข้างๆ คงอยากถีบพระถั่วงาองค์นี้เป็นแน่แท้ แต่วิญญาณคนตาย คงจะเข้าใจกันบ้างแหละ ก็นะ พึ่งบวชมา พาหุงสะหัสจบบทได้ก็บุญแล้ว
.............ต่อเม้นต์ล่างครับ อักษรเกิน.........................
ชีวิตในรั้ววัด.....ของพระใหม่
....จากกระทู้..พระใหม่.. http://ppantip.com/topic/34882093
หลายๆท่านบอกให้ผมต่อ ผมเองก็อยากต่อให้จบ ไหนๆก็เอามาเล่าแล้ว
แต่คงไม่เล่าต่อในกระทู้นั้น เพราะไม่ชอบการลากกระทู้ให้ยาวยืด
จึงขอเล่าต่อในกระทู้นี้แล้วกัน อยากบอกยาวกว่ากระทู้แรก
....…..ดังที่ผมตบท้ายในกระทู้ที่แล้ว ว่าประสบการณ์แปลกๆ ที่ผมพบเจอในวัดตอนบวชพระยังมีอีกเยอะ และก็มีคนอยากฟังต่อ ผมก็เลยมาเล่าต่อในกระทู้ใหม่กระทู้นี้แทน เพราะกระทู้เก่านั้นมันก็ยาวมากแล้ว อยากให้มองว่าเป็นการอ่านชีวิตของการบวชเป็นพระ มากกว่าจะให้มองว่าเป็นการเล่าเรื่องผี ทั้งๆที่ผมก็มั่นใจว่า ถ้าจะหาสถานที่ ที่มีผีมากๆ ก็คงไม่พ้นวัดยิ่งถ้าเป็นวัดที่สร้างมานานๆ ด้วยแล้ว จะยิ่งมีอะไรแปลกๆให้พบเจอได้เยอะ ทั้งนี้ก็ขอให้มองว่าเป็นความเชื่อเฉพาะบุคคลกันไป หรือมองว่าเป็นเรื่องเล่าขำๆกันไป อย่าได้มาจองเวรซึ่งกันและกันเลย
.......การเล่าของผม เป็นการพิมพ์ใน Word แล้วเซฟไว้ ก่อนจะเอามาแปะลงในทีเดียว จึงไม่มีการเดี๋ยวมาต่อ เพราะผมเองก็ไม่ชอบการรอ และไม่ต้องการให้มองว่ามาเล่าเพื่อเช็คเรตติ้งใดๆ ผมเขียนจากประสบการณ์ส่วนตัวล้วนๆ ซึ่งแต่ละสถานที่แต่ละภาค ก็ล้วนมีวัตรปฏิบัติแตกต่างกันบ้างในรายละเอียด แต่หลักๆส่วนใหญ่สำคัญก็คงคล้ายๆกัน
.....ส่วนคนที่เป็นสายฮาร์ดคอผี อยากเห็นผีโหดๆออกมาไล่บีบคอคน บอกได้เลยว่า คงไม่มีให้เห็น เพราะนี่เป็นเรื่องราวในวัด คงไม่มีผีตนไหนออกมาไล่ฆ่าพระเป็นแน่ และผมก็ไม่เคยเห็นว่าจะมีกรณีผีออกมาบีบคอคนจนตายสักที ถ้าจะมีก็คงมีแค่ในหนังหรือละคร เอาเป็นว่าเป็นเรื่องเล่าที่ควรเอาไว้อ่านเวลาท่านไม่มีอะไรอ่านตอนเข้าส้วมก็แล้วกันครับ
....ทีนี้เรามาว่ากันต่อเลยนะฮะ ...- -“ ไม่เอาครับประโยคนี้เราจะไม่พาดพิง ..ก็ นั่นละฮะท่านผู้ชม ..ยาง ยังอีก
เจอคนในสังคมแบบนี้แย่มากครับ ก็ว่ากันไปครับ เดี๋ยวมาว่ากันต่อแล้วกันหรือไม่ประการใด
.....ผมผ่าน3คืนแรกของการกรวดน้ำตอนดึกมาได้แบบเสียวสันหลังทุกครั้ง ก็เริ่มได้ออกเดินบิณฑบาตรอย่างจริงจังเสียที
ครั้งแรกของการเดินบิณฑบาตร มันไม่ง่ายเลย เพราะผมยังอ่อนประสบการณ์ ผมก็เคยสงสัยนะว่าทำไมบาตรพระ.....องค์ที่อยู่มานาน ทำไมท่านต้องหุ้มด้วย...เชือกสานเป็นตาข่ายหุ้มบาตรสีเหลืองๆ ดูสวยงาม ในขณะที่ผมได้รับบาตรดำๆฝาเหลืองมาโล้นๆ ไม่มีอะไรหุ้ม นอกจากผ้าบางๆสีเดียวกับจีวร รอบรัดไว้ตรงก้นบาตร เชื่อมกับสายสะพาย
.....เพราะของผมมันเป็นแค่ผ้าบางๆ ไม่ได้ผูกรัดแน่นหนาแบบองค์อื่นๆ แล้วเป็นพระใหม่ เลยเดินตามเป็นองค์ท้ายสุด
พอมีโยมตักบาตร ซึ่งก็มักจะเป็นคนแก่ๆเสียมาก คนหนุ่มๆผมไม่เคยเห็นว่าจะตักบาตร ส่วนวัยรุ่นสาวๆก็พอเจอบ้างแต่ก็ไม่มาก มันบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่า หนุ่มสาวสมัยใหม่ ไม่ค่อยสนใจในศาสนาสักเท่าไหร่ (ว่าแต่เขา เราก็ด้วยแหละ พึ่งมาใกล้ศาสนาตอนบวชเหมือนกัน) พอโยมตักบาตร องค์แรกๆจะตักกันน้อยๆเพราะกลัวข้าวไม่พอ พอมาถึงพระใหม่รูปหล่อองค์ท้ายสุด เลยรับเต็มๆ เหลือเท่าไหร่โยมๆก็ประเคนหมดขัน
.....นี่คงเป็นเหตุผลที่เขาให้พระใหม่เดินท้ายสุดกระมัง แรงยังเยอะ บาตรเต็มตั้งแต่ครึ่งทาง ส่วนพวกอาหารแห้งแกงถุงขนม..ดอกไม้ แต่ละองค์ก็จะมีย่ามสะพายส่วนตัว ทีนี่ไม่มีเด็กวัด ลืมภาพในหนังที่มีเด็กวัดเดินตามคอยสะพายของให้ไปได้เลย ไปๆมาๆพระเดินเหมือนคนบ้าหอบฟาง ไหนจะบาตรที่มีแต่ข้าวร้อนๆเต็มบาตร ไหนจะสะพายย่ามที่ตอนแรกไม่หนัก พอรับมามากๆ กรรมกรท้ายแถวดีๆนี่เอง ยิ่งเจอบ้านไหนถวายข้าวหลามกระบอกใหญ่ๆด้วยนะคุณเอ๊ย ทิ่มรักแร้พระดีนักแล แต่เราเป็นพระ โยมศรัทธาถวายมาก็ต้องแบกกันไป
.....เพราะบาตรผมไม่มีเชือกถักรองรับเหมือนองค์อื่นๆ เลยทั้งร้อนทั้งหนัก จะแสดงออกทางสีหน้าก็ไม่ได้ เพราะเดินเข้าไปในบ้านโยมในทะเลน้อย ที่เขาปลูกบ้านอยู่ในทะเล ติดกันเป็นพรืด มีสะพานปูนเชื่อมแต่ละบ้านเข้าด้วยกัน ดูคล้ายๆสลัมในกรุงเทพ แต่มีความเป็นระเบียบ และมีความเป็นบ้านมากกว่า เพียงแต่ย้ายลงไปอยู่ในน้ำเท่านั้นเอง สะพานแคบๆประมาณ1เมตร ก็เป็นหมู่บ้านชาวประมง ดูชีวิตเรียบง่ายดี แต่ถ้าคนไม่คุ้น หลงเข้ามาเที่ยว อาจจะอาเจียนได้ เพราะกลิ่นปลาแปรรูปมันฟุ้งไปทั้งบาง
.....ขาไป เดินบนดินลูกรัง ก็เจ็บเท้านิดๆเพราะไม่เคยเดินเท้าเปล่า พอขากลับนี่หนักเลย เพราะแบกน้ำหนักกลับวัดไง เท้าเลยรับแรงกด..ลงบนหินลูกรังจนเผลอ..ร้องซี๊ดดดด อูยยยยยย แขนกับมือนี่แดงเลย เพราะข้าวในบาตรมันร้อน
เชื่อเถอะ คนเคยบวชต้องเคยเจอแบบนี้กันบ้างล่ะ และที่กำลังจะบวช ก็ต้องเจอเหมือนกัน เว้นแต่จะไปบวชที่วัดในเมืองใหญ่ๆ อันนั้นอาจจะไม่ได้สัมผัสรสชาตินี้ เพราะผมเห็นพระ ที่อยู่ในเมือง ท่านจะมานั่งมายืนข้างๆ4แยกไฟแดงรอรับบาตร ไม่ได้เดินไปไหน ได้ของมาก็เอาใส่กระสอบ มีรถขับมารับถึงที่พอถึงเวลากลับ และญาติโยมในเมือง เขาก็ไม่ค่อยจะตักบาตรด้วยข้าวสวยจากขันเงินกัน ส่วนใหญ่จะเป็นของสำเร็จรูปที่ห่อไว้ในถุงเรียบร้อยเป็นชุดๆแม้กระทั่งข้าวสวย ความร้อนของข้าวเลยแทบไม่ได้สัมผัสพระ และพระก็ไม่ได้หนักอะไร เพราะรับมาก็มีคนคอยรับ เอาไปใส่กระสอบ
......ฉันเช้าเสร็จก็ให้ศีลให้พร แยกย้ายกันทำกิจของพระ หลักๆก็ไม่มีอะไรมาก ก็ซักสบง อังษะ จีวร กวาดขยะใบไม้ ตัดหญ้าบ้าง ให้อาหารหมา แมวที่มีเต็มวัด หมาที่วัดนี้ มียัน .ล๊อตไวเลอร์ แต่ท่านเจ้าอาวาส จับมันขังแยกเดี่ยวไว้ในกรงหลังกุฏิ ท่านว่ามีคนยกให้มา ท่านจะปล่อยออกมาเพ่นพ่านก็ไม่ได้ เพราะกลัวไปกัดเด็กตาย อย่าว่าแต่เด็กเลย ต่อให้เป็นผู้ใหญ่ ดูจากขนาดตัวแล้ว ก็อาจตายได้เหมือนกัน ถ้าปล่อยออกมา คาดว่าแมวคงตายเกลี้ยงวัด หมาตัวอื่นๆโดนมันกัดก็คงไม่น่ารอด
.....ผมเองคว้าหนังสือมนตร์พิธีได้เล่มนึง ก็อาศัยร่มไม้ใหญ่ นั่งคนเดียวเงียบๆแล่ะ ลมเย็นสบายดี บวกกับความร่มรื่นของเงาไม้ด้วย เอาไปท่องบทสวดง่ายๆ ก็เกิดรู้สึกสงสัยว่าพระพุทธองค์ นั่งสมาธิแล้วบรรลุ เราลองเดินรอยตามดูบ้างก็น่าจะดี เลยนั่งสมาธิใต้ร่มไม้ กำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก พุทโธ ไปเรื่อยๆ พุทโธ พุทโธ พุทโธ ....คร่อกกกกก ฟี้......- -“
รู้สึกตัวอีกที อ้าว! น้ำลายไหลออกข้างแก้ม ตัวเอียงพิงกับต้นไม้ .... เจริญแล้วอาตมา มานั่งหลับใต้ต้นไม้
มีใครผ่านมาเห็นพระนั่งหลับน้ำลายยืดไม๊ล่ะเนี่ย...
.
........ผมเป็นพระได้6-7วัน ก็ต้องออกงาน Event ด้วยความจำเป็น นั่นคือถูกนิมนต์ไปสวดงานศพ คือตั้งแต่ผมบวชมาตลอด1เดือนนั้น ทำให้รู้เลยว่า ความตายอยู่ใกล้ตัวเราจริงๆนะ และมีคนตายตลอด ตายกันบ่อย ขยันตายมาก เพราะผมต้องเดินทางไปร่วมสวดงานศพบ่อยมากๆ สวดอะไรก็ยังไม่เป็นหรอก ได้แต่ตอนบังสกุลผ้าปิดท้ายก่อนเผาเท่านั้นแล่ะ เพราะบทสวดง่าย ก็แค่
อนิจจา วะตะสังขารา บลาๆ
ถ้าเป็นแบบกิจนิมนต์งานศพแบบวันเผา คือจะมีการนิมนต์พระไปหลายๆองค์จากหลายๆวัด ส่วนใหญ่ก็จะเป็นวัดในละแวก อ.ควนขนุน ช่วงตำบล ทะเลน้อย พนางตุง ปากประ แหลมโตนด ถ้าจะมีไกลกว่านั้นบ้างก็นานๆที พอได้คุยได้ฟังพระวัดอื่นก็ได้รู้ว่า ที่ต้องมานิมนต์ไกลๆ เพราะพระแต่ละวัดมีน้อย บางวัดมีแค่เจ้าอาวาสองค์เดียวก็มี บางวัดท่านก็ไม่รับกิจนิมนต์ เพราะพระจำรวนมากสังขารแย่เต็มที พระหนุ่มๆก็น้อย เพราะคนไม่ค่อยอยากบวช
.....บางวัดท่านก็เป็นธรรมยุตนิกาย ซึ่งจะมีความเข้มข้นกว่ามหานิกาย หรือเถรวาทเดิม พระสายธรรมยุตท่านจะไม่ค่อยสนกิจนิมนต์ เพราะสนแต่การปฏิบัติให้หลุดพ้นเป็นหลัก ภาระพวกนี้เลยเป็นหน้าที่ของพระสายมหานิกายเถรวาทเป็นหลัก ซึ่งพอบวชเลยทำให้ผมรู้ว่า
....พระในไทยมี2นิกายคือ มหานิกายหรือเถรวาทดั้งเดิม กับ นิกายธรรมยุต
ความแตกต่างระหว่าง2นิกาย ที่เห็นชัดแบบไม่ต้องสืบคือ มหานิกายเถรวาทจีวรส้ม
ส่วน ธรรมยุต จะจีวรสีเข้มๆเลือดหมูๆ ใครอยากรู้ในส่วนนี้ ไปหาอ่านเอาเอง
ใครที่อยากใฝ่หาธรรมมะจริงๆ ก็ขอให้ไปบวชวัดสายธรรมยุตครับ จะเคร่งมาก
.....อันว่าการไปสวดงานศพนี้ ผมไม่ค่อยอยากจะไปเท่าไหร่ เพราะพอไปแล้วใจมักหดหู่กลับมา เห็นแต่คนร้องไห้ เห็นแต่คราบน้ำตาและความโศกเศร้า อีกอย่างผมก็สวดอะไรไม่ได้มากไปกว่าคนธรรมดาที่เข้าวัดบ่อยๆ แต่ก็ปฏิเสธรองเจ้าอาวาสที่เป็นผู้จัดพระไม่ได้
ผมเคยขอท่านบอก ผมไม่ไปได้ไม๊ครับท่าน ผมสวดอะไรไม่ได้เลย ไปจะอายเขาเปล่าๆ
ท่านก็ว่า “ไม่ได้หรอก โยมนิมนต์มา จะมากจะน้อยได้..ไม่ได้ เราก็เป็นพระ เราต้องไป”
เป็นอันว่าผมก็ต้องจำใจออกงานอิเว้นท์
.....อันว่างานสวดศพที่เจ้าภาพนิมนต์พระไปเยอะๆ ผมก็ยังพอเนียนๆ ไปแอบๆนั่งหลบอยู่แถว2ท้ายๆแถวได้ พนมมือกางหนังสือสวดกันเลยทีเดียว แรกๆก็ยังสวดทันบ้าง แต่พอเจอบทสวดรัวๆเร็วๆ ก็แทบจะเปิดหน้าหนังสือตามท่านๆผู้เจนจัดด้านแร๊ฟบทสวดไม่ทัน สุดท้ายก็ไม่รู้แล้วว่าเขาสวดกันไปถึงหน้าไหน เอาละวะพระใหม่ผู้มีปัญญาศรีธนญชัย จะนั่งหุบปากนิ่งๆก็อาย พระด้วยกันไม่เป็นไร ท่านคงเข้าใจ แต่โยมมากมายที่นั่งพนมมือหน้าสลอนด้านล่างนั้นเล่าใครเขาจะรู้ว่าเราบวชได้ไม่กี่วันก็ต้องออกศึก
หากเรานั่งหุบปากนิ่งๆ ชาวบ้านเขาจะนินทาเอาได้ เราจะยอมได้ไง ก็เลยเนียนเลยแล้วกัน
..ถั่วงา ถั่วงา ทำมา ทำมา อยู่แค่นี้เอง มั่วๆไปกับเค้า แต่ก็ไม่ได้ออกเสียงดังอะไร เอาแบบเบาๆพออ้าปากให้ชาวบ้านเห็นว่า ไม่ได้อู้นะโยม สวดอยู่ แหะๆ แล้วเสียงสวดพระหลายๆองค์มันตีๆกันไง เราถั่วงาๆๆๆ ทำมาๆๆ คือมันใช่อ่ะ ฟังคล้ายๆเลย ไม่เชื่อลองสวด ท่อง ถั่วงา ถั่วงา ทำมา ถั่วงา ดูครับ
..ผมไม่ได้มาเสี้ยมนะ แต่เผื่อใครไปบวชแล้วโดนเข็นออกศึก จะได้มีวิธีแก้อาย เจริญแล้วชีวิตพระใหม่ ถ้าวิญญาณคนตายมีจริง แล้วยืนอยู่ข้างๆ คงอยากถีบพระถั่วงาองค์นี้เป็นแน่แท้ แต่วิญญาณคนตาย คงจะเข้าใจกันบ้างแหละ ก็นะ พึ่งบวชมา พาหุงสะหัสจบบทได้ก็บุญแล้ว
.............ต่อเม้นต์ล่างครับ อักษรเกิน.........................