==============
ตาย......อมตะ
==============
Psycho G.
"สวัสดีครับ ท่านผู้ชื่นชอบความตายทั้งหลาย ใกล้ถึงเวลาประกวดการแข่งตายรอบสุดท้ายแล้ว เมื่อวงดนตรีจบลง รายการของเราจะเริ่มประกวดแล้วนะครับ "
เสียงประกาศดังก้องบริเวณงาน ทำให้คลื่นมหาชนนับหมื่นเริ่มเคลื่อนกระแสไปยังเวทีใหญ่ พวกเราไปถึงงานก่อนเวลาประมาณครึ่งชั่วโมง “พวกเรา” คือ ผม ภรรยา และลูกชายตัวแสบอีกสองคน จึงมีโอกาสเดินเที่ยวในงานจนทั่วก่อนจะแวะมายังเวทีหลักของงาน
ก่อนประกวด วงดนตรีร็อคมรณะวงหนึ่งกำลังแสดงเป็นการเปิดงาน พวกเขาฝีมือไม่เลวเลยทีเดียว นักร้องแหกปากดุเดือด ควงขาตั้งไมค์โครโฟนฟาดคนดูกลุ่มหนึ่ง ซึ่งพากันวิ่งขึ้นไปบนเวที กะโหลกแยกไปสามคน อีกสองคนหัวหลุดขาดกระเด็นกลิ้งหายไปใต้ฝูงชนบ้าคลั่ง ศีรษะคนทั้งสองคงแหลกเหลวไปแล้วขณะที่ร่างไร้หัวเดินโงนเงนมือปัดป่ายไปมาแหวกฝูงชนอย่างสนุกสนาน
ดนตรีร้อนแรงขึ้นตามลำดับ เพื่อความสะใจ มือกีตาร์เอาน้ำมันราดตัวก่อนจุดไฟลุกท่วมตัว แต่นิ้วมือซ้ายยังไต่พร่างพรมไปตามคอกีตาร์รีดตัวโน้ตออกมาสลับซับซ้อน ขณะที่มือขวาสะบัดปิ้ครวดเร็วดุเดือด แสงแหบพร่าแตกสนั่นครวญครางของเครื่องดนตรีผสมผสานกันเป็นความเร้าใจไร้ขีดจำกัด
แสงเลเซอร์ประกอบการแสดง ยิงวูบวาบยิงตรงไปยังฝูงชน ยิงไปขุดใดเปลวไฟไอควันลอยขึ้นตรงนั้น กลิ่นเนื้อไหม้คละคลุ้งไปทั่วบริเวณ ผู้คนกรี้ดร้องกันอย่างสนุกสนาน ระเบิดมือส่งเสียงตูมตามไม่ขาดระยะแถวหน้าเวที มันสะใจยิ่งกว่าระเบิดควันอีก แขนขาคนกระเด็นว่อน เหมือนเศษไม้ใบหญ้าโดนคมมีดของเครื่องตัดหญ้าหมุนผ่าน
จบเพลงสุดท้าย มือเบส ควงกีตาร์เบสในมือเหวี่ยงตูมสุดแรงไปยังมือกีตาร์ผู้กำลังมีไฟลุกท่วมตัว ศีรษะแตกระเบิดออกเหมือนแตงโมถูกทุบ มือกลองกระแทกกระเดื่องคู่ถี่ยิบเต็มสปิดก่อนกดปุ่มระเบิด C-4 ซึ่งวางไว้ใต้กลองชุดตูมเดียวพร้อมประกายไฟและสะเก็ดระเบิดกระจายออกรอบทิศ ร่างของเขาฉีกขาดออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ศีรษะลอยไปค้างบนคานเหล็กติดหลอดไฟแสงสีด้านบน แขนขากระเด็นไปหาผู้ชมซึ่งแย่งกันกระโดดรับเก็บไว้เป็นที่ระลึก
ม่านปิดลง
ประมาณว่าผู้คนด้านนอกสงบเงียบลงบ้าง แสงไฟจึงสว่างขึ้นอีกครั้ง
โฆษกก้าวออกมาจากข้างเวที หัวมีขวานจามฝังติดอยู่ ดวงตาข้างหนึ่งห้อยร่องแร่งแกว่งไกวไปมาตามจังหวะการย่างก้าว ร่างของเขาอาบไปด้วยเลือดอย่างมีศิลป์
“ท่านผู้มีเกียรติทุกท่าน”
เขาโค้งคำนับก่อน ประกาศก้อง ฝูงชนส่งเสียงโห่ร้องด้วยความยินดีตื่นเต้นกึกก้องไปทั่วบริเวณ
“เวลาที่รอคอยมาถึงแล้ว นั่นคือการประกวดรอบสุดท้ายของรายการ “แข่งกันตาย” ผู้เข้ารอบสุดท้ายทั้งสามคนจะมาแข่งกันตายต่อหน้ากรรมการผู้ทรงเกียรติหลายท่านซึ่งมาเป็นพยาน มาลุ้นกันว่าใครจะตายได้ถูกใจคณะกรรมการที่สุดครับ”
ผมมองหาภรรยาสุดที่รัก เธอหายไป คงตามหาลูกชายตัวแสบ ใช่ ตัวแสบจริงจนบางวันผมใช้ไม้เบสบอลทุบน่วมก่อนยัดเข้าเครื่องบดขยะ นานล่ะ พวกเขาจึงสงบลงได้สักพักหนึ่ง
"กรี๊ด.......เอาเลย เอาเลย"
เสียงผู้คนร้องกระหึ่ม บนเวทีโฆษกหายไปแล้ว ผู้เข้าแข่งขันคนแรกกำลังวาดลวดลายอยู่ เขาเริ่มด้วยการใช้สว่านไฟฟ้าดอกยาวเหยียดติดเครื่องส่งเสียงคำรามอย่างเสียวประสาท ค่อยๆเจาะเข้าที่หูซ้าย และทะลุออกหูขวาอย่างนิ่มนวล ใบหน้าของเขากระตุกสั่นไปตามแรงสะเทือนของสว่าน ท่าทางเขาคงเจ็บไม่เบาเลย แต่การแข่งขันก็คือการแข่งขัน จะออมมือไม่ได้
“ไม่สะใจเลย หนักกว่านี้ได้ไหม”
เสียงหลายคนตะโกนขึ้นมา แต่หลายคนก็ส่งเสียงเชียร์อย่างสนุกสนาน ทำให้ผู้เข้าแข่งขันมีแรงใจ ไม่ยอมล้มลงตายง่าย เขาดึงสว่านออกมาจ่อเข้ากับตาซ้ายค่อยๆกระแทกเข้าทีละน้อย
เลือดและเศษสมองสีเทากระจายหมุนผุดพุ่งออกมาอย่างสยดสยองประทับใจ ร่างชักกระตุกไปมาเหมือนปลาถูกทุบก่อนล้มหงายหลังลงดิ้นพราดเป็นปลาถูกทุบหัว โดยมีสว่านไฟฟ้าติดเครื่องส่งเสียงดังตลอดเวลา ดอกสว่านยาวพอจะ ทะลุด้านหลังไปปักกับพื้นเวที
เสียงตบมือกราว เมื่อร่างนั้นหยุดการกระตุกแน่นิ่ง เจ้าหน้าที่ก็วิ่งมาเก็บร่างเขาเข้าหลังเวทีไป
ก็ไม่เลวหรอก แต่ขาดศิลปะไปบ้าง
คนที่สองเดินออกมาท่ามกลางเสียงปรบมือกึกก้อง เขาเป็นชายหนุ่มหน้าตาดี หน้าเข้มคนผมยาวปากบางสูงโปร่งตามแบบฉบับของพระเอกในนวนิยายของนักเขียนส่วนใหญ่ สาวหลายคนกรี๊ดจนสลบแล้วสลบอีก
สายไฟสองเส้นค่อยหย่อนลงมาจากข้างบนเวที สายไฟฟ้าแรงสูงพอที่จะปลุกแฟรงเกนสไตน์ ขึ้นมาจากหลุมศพได้
เขาคว้าสายไฟด้วยมือทั้งสองข้าง
พริบตานั้นเสียงเปรี้ยะสนั่นเวที ร่างของเขากระตุกอย่างรุนแรงแบบที่ไม่มีใครเคยเห็นมาก่อน ร่างกายเต็มไปด้วยประกายไฟแลบออกตามหู ปาก จมูก ดวงตาหลุดกระเด็นออกมาตามแรงกระตุก ร่างกายบิดงอพับบิดรูปไปมาราวอาการร่ายรำระบำปีศาจงดงามประทับใจ กลิ่นเหม็นไหม้กระจายไปทั่ว มีเสียงดนตรีดังขึ้นประกอบอาการดิ้นเร่าๆบิดม้วนไปมาอย่างเข้าจังหวะสร้างความสนุกเพิ่มระดับขึ้นไปอีก
“กรี๊ด...!”
“ว๊าย....ตายหล่อ....กรี๊ด!”
สาวๆ หลายคนเพิ่งฟื้นจากการสลบแล้วสลบอีก ลุกข้นมากรี๊ดเป็นกำลังใจให้ก่อนจะล้มลงสลบต่อไปเพราะความคลั่งไคล้
แต่มันก็ไม่ค่อยมีอะไรแปลกใหม่ ผมชักจะเบื่อ ไม่อยากรอดูการแสดงของคนที่สาม พยายามมองหาภรรยา นั่นไงเธอกำลังเดินตรงมาจากกลุ่มฝูงชนสองมือลากร่างลูกชายสองคนมาด้วย ซึ่งตอนนี้เงียบความซุกซนไปแล้วเพราะน่วมนิ่มไปทั้งตัว
“กลับกันดีกว่าค่ะ ไม่ค่อยสนุกแล้ว”
เธอทำหน้าเบื่อ ผมไม่ปฏิเสธ ทำใจรองานต่อไปหวังว่าจะมีการแข่งการตายเร้าใจมีศิลปะมากกว่านี้
เราออกมาจากงาน หลายคนซึ่งคงเบื่อเหมือนผมก็ตามออกมาด้วย เราเดินไปตามถนนอย่างเงียบๆ อุ้มลูกคนละคน คนโตอายุเก้าพันปีอยู่กับผม ตัวนิ่มไปหมด คงโดนบดจนกระดูกแหลก
ใช่ อายุเขายังน้อยนัก เหมือนเทียบกับอายุขัย
นับตั้งแต่คนเราค้นพบ “ยาอมตะ” ทำให้ผู้คนในโลกไม่รู้จักตาย ไม่ว่าจะแหลกยับขนาดไหนร่างกายก็จะซ่อมแซมตัวเองขึ้นมาในเวลาอันไม่นาน ช่วงแรกมันเป็นเรื่องน่าตื่นเต้นดีใจ ก็ความอมตะเป็นความปรารถนาสูงสุดของผู้คนมานานแล้ว ความตายทำให้ชีวิตมีความหมาย พอคนเราไม่ยอมตายดับลับหายชีวิตดูเหมือนจะมีความหมายน้อยลง ไม่มีการพัฒนาวิทยาการใดๆ ไม่มีการประดิษฐ์สิ่งใหม่ๆอีกต่อไปเพราะผู้คนไม่มีแรงจูงใจให้มีชีวิตรอด
ยาอมตะแพร่หลายอย่างรวดเร็ว ปนอยู่ในอาหาร เครื่องดื่ม จนคนส่วนใหญ่ได้รับยา ผลคือมนุษย์กลายเป็นเป็นคนอมตะ มีคนเคยคำนวณว่าถ้าอยากตายตามอายุขัยก็ต้องเวลาเวลาประมาณสิบล้านปีหรืออาจถึงร้อยล้านปี เพราะร่างกายของคนเรามีการเจริญเติบโตช้าเหลือเกิน ผมเคยมองว่าพวกที่ต่อต้านยาอมตะเป็นคนโง่ แต่ตอนนี้ผมอิจฉาเขาหลายคน ที่สามารถตายไปตามธรรมชาติเพราะหลักเลี่ยงการใช้ยาอมตะ พวกเขาพบความสงบสุขไปแล้ว ไม่ต้องทนทุกข์ทรมานกับดินฟ้าอากาศหรือสังคม
ความเป็นอมตะนานเกินไปมันน่าเบื่อ เจอหน้าคนเก่าๆ เจอเรื่องเก่าๆซ้ำซากนับล้านๆปี
หลายคนเคยคิดฆ่าตัวตาย เพราะความเบื่อหน่ายอันยาวนานแต่ไม่ว่าอย่างไรก็จะฟื้นคืนมาเสมอ ตัวยามีผลรุนแรงมาก บางคนพยายามอดอาหารตาย แต่ถึงจุดหนึ่งระบบประสาทอัตโนมัติทำงาน ทำให้ร่างกายเดินหาอาหารเองโดยไม่อาจควบคุมได้
หลายคนทดลองกระโดดลงปล่องภูเขาไฟโดยคิดการการทำให้ร่างกายสูญหายไปจะไม่สามารถกลับฟื้นคืนมาได้อีก แต่ถึงร่างกายจะสลายไป ดวงวิญญาณกลับคงอยู่ และแผดร้องทุกข์ทรมานตลอดกาลวนเวียนไม่ยอมไปเกิดจนไม่มีใครกล้าทำอย่างนั้นอีก ฤทธิ์ยาอมตะมีผลถึงจิตวิญญาณ
กฎหมายห้ามมีบุตรสืบทายาทไม่ว่าโดยวิธีใดๆ มีผลบังคับใช้หลังจากลูกเราเกิดเล็กน้อย เพราะยามันส่งผลถึงลูกด้วย......ทางการต้องหาทางควบคุมประชากรอมตะให้คงที่ เพื่อทำให้ระบบนิเวศน์ของโลกยั่งยืนต่อเนื่อง เพราะอย่างไรอาหารและระบบเศรษฐกิจและสังคมยังคงอยู่ เพราะอย่างไรคนเรายังต้องพึ่งปัจจัย 4 หลายคนยังคงเป็นคนจนอมตะ
ไม่มีใครกล้าทำผิด เพราะหมายถึงการไปเป็นอมตะในคุกอันยาวนาน จนนักโทษหลายคน “บ้าอมตะ” เพราะทนสภาพกักขังในคุกยาวนานนับแสนปีไม่ได้
แต่หลายคนก็ยอมติดคุกเพื่อให้ตัวเองเป็นบ้า...หนีจากตัวเองให้ลืมความเป็นอมตะ
เมื่อคนโหยหาความตาย ความตายจึงเป็นสิ่งงดงามสูงส่ง ความเจ็บปวดกลายเป็นสิ่งสามารถสร้างความบันเทิงให้สังคมคนอมตะ หลายคนตายครั้งแล้วครั้งเล่า การแสดงโชว์ความตายจึงเป็นสิ่งหนึ่งที่ไม่เคยเสื่อมความนิยม
พอถึงบ้านผมหันไปยิ้มจางๆ กับภรรยาก่อนถามเธอว่า
“ที่รัก คืนนี้คุณอยากตายแบบไหน”
เธอทำหน้าครุ่นคิดแล้วยิ้มด้วยประกายตามีความหวังพลางตอบว่า
“ไม่รู้สิคะ ...หลังอาหารเย็นเราค่อยคุยกันเรื่องนี้ว่าจะตายแบบไหนดี หวังว่าเราจะคิดการตายตื่นเต้นให้หลับสบายแล้วฝันดีบ้างนะคะ”
ความรักจะอมตะหรือไม่นะ...... เมื่อชีวิตเป็นอมตะ ผมอยากรู้จริงๆ
............................
จบแล้วครับ
ขอบคุณทุกท่านที่แวะมาเยือน
ตาย......อมตะ
ตาย......อมตะ
==============
Psycho G.
"สวัสดีครับ ท่านผู้ชื่นชอบความตายทั้งหลาย ใกล้ถึงเวลาประกวดการแข่งตายรอบสุดท้ายแล้ว เมื่อวงดนตรีจบลง รายการของเราจะเริ่มประกวดแล้วนะครับ "
เสียงประกาศดังก้องบริเวณงาน ทำให้คลื่นมหาชนนับหมื่นเริ่มเคลื่อนกระแสไปยังเวทีใหญ่ พวกเราไปถึงงานก่อนเวลาประมาณครึ่งชั่วโมง “พวกเรา” คือ ผม ภรรยา และลูกชายตัวแสบอีกสองคน จึงมีโอกาสเดินเที่ยวในงานจนทั่วก่อนจะแวะมายังเวทีหลักของงาน
ก่อนประกวด วงดนตรีร็อคมรณะวงหนึ่งกำลังแสดงเป็นการเปิดงาน พวกเขาฝีมือไม่เลวเลยทีเดียว นักร้องแหกปากดุเดือด ควงขาตั้งไมค์โครโฟนฟาดคนดูกลุ่มหนึ่ง ซึ่งพากันวิ่งขึ้นไปบนเวที กะโหลกแยกไปสามคน อีกสองคนหัวหลุดขาดกระเด็นกลิ้งหายไปใต้ฝูงชนบ้าคลั่ง ศีรษะคนทั้งสองคงแหลกเหลวไปแล้วขณะที่ร่างไร้หัวเดินโงนเงนมือปัดป่ายไปมาแหวกฝูงชนอย่างสนุกสนาน
ดนตรีร้อนแรงขึ้นตามลำดับ เพื่อความสะใจ มือกีตาร์เอาน้ำมันราดตัวก่อนจุดไฟลุกท่วมตัว แต่นิ้วมือซ้ายยังไต่พร่างพรมไปตามคอกีตาร์รีดตัวโน้ตออกมาสลับซับซ้อน ขณะที่มือขวาสะบัดปิ้ครวดเร็วดุเดือด แสงแหบพร่าแตกสนั่นครวญครางของเครื่องดนตรีผสมผสานกันเป็นความเร้าใจไร้ขีดจำกัด
แสงเลเซอร์ประกอบการแสดง ยิงวูบวาบยิงตรงไปยังฝูงชน ยิงไปขุดใดเปลวไฟไอควันลอยขึ้นตรงนั้น กลิ่นเนื้อไหม้คละคลุ้งไปทั่วบริเวณ ผู้คนกรี้ดร้องกันอย่างสนุกสนาน ระเบิดมือส่งเสียงตูมตามไม่ขาดระยะแถวหน้าเวที มันสะใจยิ่งกว่าระเบิดควันอีก แขนขาคนกระเด็นว่อน เหมือนเศษไม้ใบหญ้าโดนคมมีดของเครื่องตัดหญ้าหมุนผ่าน
จบเพลงสุดท้าย มือเบส ควงกีตาร์เบสในมือเหวี่ยงตูมสุดแรงไปยังมือกีตาร์ผู้กำลังมีไฟลุกท่วมตัว ศีรษะแตกระเบิดออกเหมือนแตงโมถูกทุบ มือกลองกระแทกกระเดื่องคู่ถี่ยิบเต็มสปิดก่อนกดปุ่มระเบิด C-4 ซึ่งวางไว้ใต้กลองชุดตูมเดียวพร้อมประกายไฟและสะเก็ดระเบิดกระจายออกรอบทิศ ร่างของเขาฉีกขาดออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ศีรษะลอยไปค้างบนคานเหล็กติดหลอดไฟแสงสีด้านบน แขนขากระเด็นไปหาผู้ชมซึ่งแย่งกันกระโดดรับเก็บไว้เป็นที่ระลึก
ม่านปิดลง
ประมาณว่าผู้คนด้านนอกสงบเงียบลงบ้าง แสงไฟจึงสว่างขึ้นอีกครั้ง
โฆษกก้าวออกมาจากข้างเวที หัวมีขวานจามฝังติดอยู่ ดวงตาข้างหนึ่งห้อยร่องแร่งแกว่งไกวไปมาตามจังหวะการย่างก้าว ร่างของเขาอาบไปด้วยเลือดอย่างมีศิลป์
“ท่านผู้มีเกียรติทุกท่าน”
เขาโค้งคำนับก่อน ประกาศก้อง ฝูงชนส่งเสียงโห่ร้องด้วยความยินดีตื่นเต้นกึกก้องไปทั่วบริเวณ
“เวลาที่รอคอยมาถึงแล้ว นั่นคือการประกวดรอบสุดท้ายของรายการ “แข่งกันตาย” ผู้เข้ารอบสุดท้ายทั้งสามคนจะมาแข่งกันตายต่อหน้ากรรมการผู้ทรงเกียรติหลายท่านซึ่งมาเป็นพยาน มาลุ้นกันว่าใครจะตายได้ถูกใจคณะกรรมการที่สุดครับ”
ผมมองหาภรรยาสุดที่รัก เธอหายไป คงตามหาลูกชายตัวแสบ ใช่ ตัวแสบจริงจนบางวันผมใช้ไม้เบสบอลทุบน่วมก่อนยัดเข้าเครื่องบดขยะ นานล่ะ พวกเขาจึงสงบลงได้สักพักหนึ่ง
"กรี๊ด.......เอาเลย เอาเลย"
เสียงผู้คนร้องกระหึ่ม บนเวทีโฆษกหายไปแล้ว ผู้เข้าแข่งขันคนแรกกำลังวาดลวดลายอยู่ เขาเริ่มด้วยการใช้สว่านไฟฟ้าดอกยาวเหยียดติดเครื่องส่งเสียงคำรามอย่างเสียวประสาท ค่อยๆเจาะเข้าที่หูซ้าย และทะลุออกหูขวาอย่างนิ่มนวล ใบหน้าของเขากระตุกสั่นไปตามแรงสะเทือนของสว่าน ท่าทางเขาคงเจ็บไม่เบาเลย แต่การแข่งขันก็คือการแข่งขัน จะออมมือไม่ได้
“ไม่สะใจเลย หนักกว่านี้ได้ไหม”
เสียงหลายคนตะโกนขึ้นมา แต่หลายคนก็ส่งเสียงเชียร์อย่างสนุกสนาน ทำให้ผู้เข้าแข่งขันมีแรงใจ ไม่ยอมล้มลงตายง่าย เขาดึงสว่านออกมาจ่อเข้ากับตาซ้ายค่อยๆกระแทกเข้าทีละน้อย
เลือดและเศษสมองสีเทากระจายหมุนผุดพุ่งออกมาอย่างสยดสยองประทับใจ ร่างชักกระตุกไปมาเหมือนปลาถูกทุบก่อนล้มหงายหลังลงดิ้นพราดเป็นปลาถูกทุบหัว โดยมีสว่านไฟฟ้าติดเครื่องส่งเสียงดังตลอดเวลา ดอกสว่านยาวพอจะ ทะลุด้านหลังไปปักกับพื้นเวที
เสียงตบมือกราว เมื่อร่างนั้นหยุดการกระตุกแน่นิ่ง เจ้าหน้าที่ก็วิ่งมาเก็บร่างเขาเข้าหลังเวทีไป
ก็ไม่เลวหรอก แต่ขาดศิลปะไปบ้าง
คนที่สองเดินออกมาท่ามกลางเสียงปรบมือกึกก้อง เขาเป็นชายหนุ่มหน้าตาดี หน้าเข้มคนผมยาวปากบางสูงโปร่งตามแบบฉบับของพระเอกในนวนิยายของนักเขียนส่วนใหญ่ สาวหลายคนกรี๊ดจนสลบแล้วสลบอีก
สายไฟสองเส้นค่อยหย่อนลงมาจากข้างบนเวที สายไฟฟ้าแรงสูงพอที่จะปลุกแฟรงเกนสไตน์ ขึ้นมาจากหลุมศพได้
เขาคว้าสายไฟด้วยมือทั้งสองข้าง
พริบตานั้นเสียงเปรี้ยะสนั่นเวที ร่างของเขากระตุกอย่างรุนแรงแบบที่ไม่มีใครเคยเห็นมาก่อน ร่างกายเต็มไปด้วยประกายไฟแลบออกตามหู ปาก จมูก ดวงตาหลุดกระเด็นออกมาตามแรงกระตุก ร่างกายบิดงอพับบิดรูปไปมาราวอาการร่ายรำระบำปีศาจงดงามประทับใจ กลิ่นเหม็นไหม้กระจายไปทั่ว มีเสียงดนตรีดังขึ้นประกอบอาการดิ้นเร่าๆบิดม้วนไปมาอย่างเข้าจังหวะสร้างความสนุกเพิ่มระดับขึ้นไปอีก
“กรี๊ด...!”
“ว๊าย....ตายหล่อ....กรี๊ด!”
สาวๆ หลายคนเพิ่งฟื้นจากการสลบแล้วสลบอีก ลุกข้นมากรี๊ดเป็นกำลังใจให้ก่อนจะล้มลงสลบต่อไปเพราะความคลั่งไคล้
แต่มันก็ไม่ค่อยมีอะไรแปลกใหม่ ผมชักจะเบื่อ ไม่อยากรอดูการแสดงของคนที่สาม พยายามมองหาภรรยา นั่นไงเธอกำลังเดินตรงมาจากกลุ่มฝูงชนสองมือลากร่างลูกชายสองคนมาด้วย ซึ่งตอนนี้เงียบความซุกซนไปแล้วเพราะน่วมนิ่มไปทั้งตัว
“กลับกันดีกว่าค่ะ ไม่ค่อยสนุกแล้ว”
เธอทำหน้าเบื่อ ผมไม่ปฏิเสธ ทำใจรองานต่อไปหวังว่าจะมีการแข่งการตายเร้าใจมีศิลปะมากกว่านี้
เราออกมาจากงาน หลายคนซึ่งคงเบื่อเหมือนผมก็ตามออกมาด้วย เราเดินไปตามถนนอย่างเงียบๆ อุ้มลูกคนละคน คนโตอายุเก้าพันปีอยู่กับผม ตัวนิ่มไปหมด คงโดนบดจนกระดูกแหลก
ใช่ อายุเขายังน้อยนัก เหมือนเทียบกับอายุขัย
นับตั้งแต่คนเราค้นพบ “ยาอมตะ” ทำให้ผู้คนในโลกไม่รู้จักตาย ไม่ว่าจะแหลกยับขนาดไหนร่างกายก็จะซ่อมแซมตัวเองขึ้นมาในเวลาอันไม่นาน ช่วงแรกมันเป็นเรื่องน่าตื่นเต้นดีใจ ก็ความอมตะเป็นความปรารถนาสูงสุดของผู้คนมานานแล้ว ความตายทำให้ชีวิตมีความหมาย พอคนเราไม่ยอมตายดับลับหายชีวิตดูเหมือนจะมีความหมายน้อยลง ไม่มีการพัฒนาวิทยาการใดๆ ไม่มีการประดิษฐ์สิ่งใหม่ๆอีกต่อไปเพราะผู้คนไม่มีแรงจูงใจให้มีชีวิตรอด
ยาอมตะแพร่หลายอย่างรวดเร็ว ปนอยู่ในอาหาร เครื่องดื่ม จนคนส่วนใหญ่ได้รับยา ผลคือมนุษย์กลายเป็นเป็นคนอมตะ มีคนเคยคำนวณว่าถ้าอยากตายตามอายุขัยก็ต้องเวลาเวลาประมาณสิบล้านปีหรืออาจถึงร้อยล้านปี เพราะร่างกายของคนเรามีการเจริญเติบโตช้าเหลือเกิน ผมเคยมองว่าพวกที่ต่อต้านยาอมตะเป็นคนโง่ แต่ตอนนี้ผมอิจฉาเขาหลายคน ที่สามารถตายไปตามธรรมชาติเพราะหลักเลี่ยงการใช้ยาอมตะ พวกเขาพบความสงบสุขไปแล้ว ไม่ต้องทนทุกข์ทรมานกับดินฟ้าอากาศหรือสังคม
ความเป็นอมตะนานเกินไปมันน่าเบื่อ เจอหน้าคนเก่าๆ เจอเรื่องเก่าๆซ้ำซากนับล้านๆปี
หลายคนเคยคิดฆ่าตัวตาย เพราะความเบื่อหน่ายอันยาวนานแต่ไม่ว่าอย่างไรก็จะฟื้นคืนมาเสมอ ตัวยามีผลรุนแรงมาก บางคนพยายามอดอาหารตาย แต่ถึงจุดหนึ่งระบบประสาทอัตโนมัติทำงาน ทำให้ร่างกายเดินหาอาหารเองโดยไม่อาจควบคุมได้
หลายคนทดลองกระโดดลงปล่องภูเขาไฟโดยคิดการการทำให้ร่างกายสูญหายไปจะไม่สามารถกลับฟื้นคืนมาได้อีก แต่ถึงร่างกายจะสลายไป ดวงวิญญาณกลับคงอยู่ และแผดร้องทุกข์ทรมานตลอดกาลวนเวียนไม่ยอมไปเกิดจนไม่มีใครกล้าทำอย่างนั้นอีก ฤทธิ์ยาอมตะมีผลถึงจิตวิญญาณ
กฎหมายห้ามมีบุตรสืบทายาทไม่ว่าโดยวิธีใดๆ มีผลบังคับใช้หลังจากลูกเราเกิดเล็กน้อย เพราะยามันส่งผลถึงลูกด้วย......ทางการต้องหาทางควบคุมประชากรอมตะให้คงที่ เพื่อทำให้ระบบนิเวศน์ของโลกยั่งยืนต่อเนื่อง เพราะอย่างไรอาหารและระบบเศรษฐกิจและสังคมยังคงอยู่ เพราะอย่างไรคนเรายังต้องพึ่งปัจจัย 4 หลายคนยังคงเป็นคนจนอมตะ
ไม่มีใครกล้าทำผิด เพราะหมายถึงการไปเป็นอมตะในคุกอันยาวนาน จนนักโทษหลายคน “บ้าอมตะ” เพราะทนสภาพกักขังในคุกยาวนานนับแสนปีไม่ได้
แต่หลายคนก็ยอมติดคุกเพื่อให้ตัวเองเป็นบ้า...หนีจากตัวเองให้ลืมความเป็นอมตะ
เมื่อคนโหยหาความตาย ความตายจึงเป็นสิ่งงดงามสูงส่ง ความเจ็บปวดกลายเป็นสิ่งสามารถสร้างความบันเทิงให้สังคมคนอมตะ หลายคนตายครั้งแล้วครั้งเล่า การแสดงโชว์ความตายจึงเป็นสิ่งหนึ่งที่ไม่เคยเสื่อมความนิยม
พอถึงบ้านผมหันไปยิ้มจางๆ กับภรรยาก่อนถามเธอว่า
“ที่รัก คืนนี้คุณอยากตายแบบไหน”
เธอทำหน้าครุ่นคิดแล้วยิ้มด้วยประกายตามีความหวังพลางตอบว่า
“ไม่รู้สิคะ ...หลังอาหารเย็นเราค่อยคุยกันเรื่องนี้ว่าจะตายแบบไหนดี หวังว่าเราจะคิดการตายตื่นเต้นให้หลับสบายแล้วฝันดีบ้างนะคะ”
ความรักจะอมตะหรือไม่นะ...... เมื่อชีวิตเป็นอมตะ ผมอยากรู้จริงๆ
............................
จบแล้วครับ
ขอบคุณทุกท่านที่แวะมาเยือน