สวัสดีครับ ออกตัวก่อนเลย เป็นครั้งแรกที่ทำรีวิว ผิดพลาดประการใด ขออภัยมา ณ ที่นี้ครับ
รีวิวนี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 23 ก.พ. ที่ผ่านมา หลังจากที่ย้ายถิ่นฐานจากเมืองเชียงใหม่ มายังเมืองจันทบุรี และเมื่อเพื่อนสนิทรู้เข้าจึงอยากมาเยี่ยมมาเยือน
ประกอบตรงกับวันคล้ายวันเกิดของเพื่อนพอดี เลยชวนกันเดินขึ้นเขาคิชฌกุฎ ไปทำบุญ ด้วยความเป็นเจ้าบ้านที่ดี และจากประสบการณ์ขึ้นเขาคิชฌกุฎ ตลอด 6 ปี ที่ผ่านมา ผมตอบตกลงโดยไม่ลังเล นับแล้วก็เป็นครั้งที่ 10 แล้วที่ผมขึ้นเขาคิชฌกุฎ โดยการขึ้นเขาครั้งนี้เราตกลงกันว่า จะเดินขึ้นทางใหม่
ซึ่งจริงๆ แล้วทางนี้เป็นที่ชาวบ้านใช้เดินหาของป่ากันมากกว่า แต่เมื่อปีที่แล้ว(2558) ได้เปิดให้ประชาชนเดินขึ้นเขาคิชฌกุฎเป็นปีแรก
ด้วยระยะทางประมาณ 2.2 กม. และเป็นเส้นทางเดินเท้าธรรมชาติเชิงนิเวศน์ เมื่อได้ยินมาแบบนี้เราจึงไม่พลาดที่จะไปสำรวจเส้นทาง
และ ทดสอบความเป็นวัยรุ่น(ตอนกลางงงงงงงง) ของเราว่ายังไหวหรือเปล่า
จุดหมายแรกของเราคือ วัดโคกตะพง(แกลง)
สังเกตุง่ายๆ คือ จะใช้รูปปั้นพระสงฆ์ เป็นกำแพงวัดครับ
บรรยากาศภายในวัด ณ เวลา ตีห้าครึ่ง
วันที่เราไป ป้ายประชาสัมพันธ์ยังไม่ได้ติดตั้งเลย
รถที่จะพาเราขึ้นไปยังปากอุโมงค์โรงไฟฟ้า ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการเดินทางของเรา
เมื่อรออยู่พักใหญ่ ไม่พบว่าจะมีผู้ร่วมอุดมการณ์กับเราวันนี้เพิ่มแล้ว การเดินทางจึงเริ่มขึ้น
นั่งรถมาประมาณ 2-3 กม. เราก็มาถึงปากอุโมงค์แล้วครับ
ณ จุดนี้จะมีอาคาร ขนำ จุดพัก แล้วแต่จะเรียกครับ มีห้องสุขา และจำหน่ายเครื่องดื่มในราคา 15 บาท ทุกอย่าง
ไหว้ศาลขอพรให้การเดินทางของเราครั้งนี้ ผ่านไปด้วยความปลอดภัย
แล้วการเดินเท้าขึ้นเขาคิชฌกุฎของเราก็เริ่ม ณ ตรงจุดนี้
ลืมบอกไปว่า จะมีชาวบ้านนำทางให้เรานะครับ ไม่ใช่เดินกันเอง เดินมาได้แป็บเดียว เราก็เจอทางน้ำแล้วครับ
ลืมบอกอีกอย่าง ทางเดินนี้จะมีน้ำตกให้เราแวะเล่นน้ำได้ด้วยครับ แต่ยังไม่ได้ตั้งชื่อน้ำตก
เดินมาได้อีกนิดเดียวก็เจออีก 1 ศาล พี่คนนำทางขอแวะไหว้สักการะบูชา มีรึที่เราจะไม่ไหว้ขอพรบ้าง
หลังจากนั้นเราก็มุ่งหน้าขึ้นสู่ยอดเขาคิชฌกุฎ ซึ่งระหว่างทางเราจะเจอทางแยกให้เลือกว่า
จะผ่านน้ำตก หรือไม่ผ่านก็ได้ เราเลือกที่จะไม่ผ่านตอนขึ้น แต่ขากลับเราจะแวะเล่นน้ำตกกัน
สภาพทางเดินที่เรา 3 คน ต้องเดินลุยไปครับ
ระหว่างทางจะมีต้นไม้บอกทางเป็นระยะๆ ครับ
ธรรมชาติตามทางที่เราเดินครับ ช่วงนี้รูปเริ่มน้อยลง เพราะเหนื่อยมากกกกก เดิน 10-15 เมตร ก็พัก
เพราะทางที่เราต้องเดินผ่านไป มีแต่เดินขึ้น ขึ้นธรรมดาไม่เท่าไหร่ เจอทางชันๆ เขาไปเข่าแทบทรุด
หายใจไม่เป็นจังหวะ พักแล้วพักอีก ขวดน้ำที่ซื้อมายังอยากทิ้งไปเลย รูปก็ไม่อยากถ่ายแล้ว
ทำให้รู้ว่า เราไม่ควรอยู่ในสถานะ "วัยรุ่น" แล้ว ต้องเปลี่ยนเป็นวัย "เริ่มเข้าสู่ไว้แก่"
ระหว่างเดินเท้า ถ้าไม่ไหวก็บอกพี่คนนำทางได้ เราจะได้แวะพัก
หลังจากใช้เวลาเดินทางอยู่ในป่า ประมาณ 2 ชั่วโมงกว่า เราก็มาถึงยอดเขาแล้ว และนี้คือสิ่งที่บอกว่าเรามาถึงแล้ว
เต้นท์พักของพระสงฆ์ และ ผู้ติดตาม หรือ คนงานที่อยู่บนเขา
สิ่งแรกที่เราทำเมื่อขึ้นมาถึงยอดเขาคิชฌกุฎ คือหาข้าวทาน เพราะหิวมาก
หลังจากกินข้าวเสร็จแล้ว เราก็ไปไหว้รอยพระบาทขอพร
ไหว้พระ ไหว้รอยพระบาท เสร็จแล้ว ก็มานั้งพักผ่อน อัพเดทสถานการณ์ลงโลกโซเชียล ก็ได้เวลากลับ
เราเลือกกลับทางเดิมเพื่อไปแวะเล่นน้ำตก
ใช้เวลาเดินทางกลับประมาณ 1 ชั่วโมง เราก็มาถึงแล้ว น้ำตก
เป็นน้ำตกเล็กๆ ไม่ใหญ่มาก แต่น้ำใสเย็น เห็นปลาพลวง
เล่นน้ำตกซักพักเราก็เดินทางกลับ พอลงมาถึง อาคาร ขนำ จุดพัก เพื่อนมันให้เงินเป็นค่าตอบแทนพี่คนนำทาง
แต่พี่ปฎิเสธไม่รับเงิน คะยั้นคะยอให้รับยังไงก็ไม่เอา จะซื้อน้ำให้ดื่มก็ไม่เอา ชวนกินข้าวก็ไม่กิน พูดเพียงสั้นๆ ว่า พวกพี่ทำด้วยใจ
ผมกับเพื่อน อึ่งไปเลย เพราะค่ารถไป-กลับ เที่ยวละ 50 บาท กี่คนก็ออก อย่างวันที่ผมไป มีแค่ผมกับเพื่อน 2 คนเอง ผมยังคิดเลยว่ามันจะคุ้มไหมเนี้ยะ
เสียดายที่ไม่ได้ถ่ายรูปพี่คนนำทางมาด้วย
ขอจบรีวิวที่ภาพๆ นี้ อาจไม่เหมาะสม แต่มันคือความจริง
[CR] รีวิวสั้นๆ กับเขาคิชฌกุฎ
รีวิวนี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 23 ก.พ. ที่ผ่านมา หลังจากที่ย้ายถิ่นฐานจากเมืองเชียงใหม่ มายังเมืองจันทบุรี และเมื่อเพื่อนสนิทรู้เข้าจึงอยากมาเยี่ยมมาเยือน
ประกอบตรงกับวันคล้ายวันเกิดของเพื่อนพอดี เลยชวนกันเดินขึ้นเขาคิชฌกุฎ ไปทำบุญ ด้วยความเป็นเจ้าบ้านที่ดี และจากประสบการณ์ขึ้นเขาคิชฌกุฎ ตลอด 6 ปี ที่ผ่านมา ผมตอบตกลงโดยไม่ลังเล นับแล้วก็เป็นครั้งที่ 10 แล้วที่ผมขึ้นเขาคิชฌกุฎ โดยการขึ้นเขาครั้งนี้เราตกลงกันว่า จะเดินขึ้นทางใหม่
ซึ่งจริงๆ แล้วทางนี้เป็นที่ชาวบ้านใช้เดินหาของป่ากันมากกว่า แต่เมื่อปีที่แล้ว(2558) ได้เปิดให้ประชาชนเดินขึ้นเขาคิชฌกุฎเป็นปีแรก
ด้วยระยะทางประมาณ 2.2 กม. และเป็นเส้นทางเดินเท้าธรรมชาติเชิงนิเวศน์ เมื่อได้ยินมาแบบนี้เราจึงไม่พลาดที่จะไปสำรวจเส้นทาง
และ ทดสอบความเป็นวัยรุ่น(ตอนกลางงงงงงงง) ของเราว่ายังไหวหรือเปล่า
จุดหมายแรกของเราคือ วัดโคกตะพง(แกลง)
สังเกตุง่ายๆ คือ จะใช้รูปปั้นพระสงฆ์ เป็นกำแพงวัดครับ
บรรยากาศภายในวัด ณ เวลา ตีห้าครึ่ง
วันที่เราไป ป้ายประชาสัมพันธ์ยังไม่ได้ติดตั้งเลย
รถที่จะพาเราขึ้นไปยังปากอุโมงค์โรงไฟฟ้า ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการเดินทางของเรา
เมื่อรออยู่พักใหญ่ ไม่พบว่าจะมีผู้ร่วมอุดมการณ์กับเราวันนี้เพิ่มแล้ว การเดินทางจึงเริ่มขึ้น
นั่งรถมาประมาณ 2-3 กม. เราก็มาถึงปากอุโมงค์แล้วครับ
ณ จุดนี้จะมีอาคาร ขนำ จุดพัก แล้วแต่จะเรียกครับ มีห้องสุขา และจำหน่ายเครื่องดื่มในราคา 15 บาท ทุกอย่าง
ไหว้ศาลขอพรให้การเดินทางของเราครั้งนี้ ผ่านไปด้วยความปลอดภัย
แล้วการเดินเท้าขึ้นเขาคิชฌกุฎของเราก็เริ่ม ณ ตรงจุดนี้
ลืมบอกไปว่า จะมีชาวบ้านนำทางให้เรานะครับ ไม่ใช่เดินกันเอง เดินมาได้แป็บเดียว เราก็เจอทางน้ำแล้วครับ
ลืมบอกอีกอย่าง ทางเดินนี้จะมีน้ำตกให้เราแวะเล่นน้ำได้ด้วยครับ แต่ยังไม่ได้ตั้งชื่อน้ำตก
เดินมาได้อีกนิดเดียวก็เจออีก 1 ศาล พี่คนนำทางขอแวะไหว้สักการะบูชา มีรึที่เราจะไม่ไหว้ขอพรบ้าง
หลังจากนั้นเราก็มุ่งหน้าขึ้นสู่ยอดเขาคิชฌกุฎ ซึ่งระหว่างทางเราจะเจอทางแยกให้เลือกว่า
จะผ่านน้ำตก หรือไม่ผ่านก็ได้ เราเลือกที่จะไม่ผ่านตอนขึ้น แต่ขากลับเราจะแวะเล่นน้ำตกกัน
สภาพทางเดินที่เรา 3 คน ต้องเดินลุยไปครับ
ระหว่างทางจะมีต้นไม้บอกทางเป็นระยะๆ ครับ
ธรรมชาติตามทางที่เราเดินครับ ช่วงนี้รูปเริ่มน้อยลง เพราะเหนื่อยมากกกกก เดิน 10-15 เมตร ก็พัก
เพราะทางที่เราต้องเดินผ่านไป มีแต่เดินขึ้น ขึ้นธรรมดาไม่เท่าไหร่ เจอทางชันๆ เขาไปเข่าแทบทรุด
หายใจไม่เป็นจังหวะ พักแล้วพักอีก ขวดน้ำที่ซื้อมายังอยากทิ้งไปเลย รูปก็ไม่อยากถ่ายแล้ว
ทำให้รู้ว่า เราไม่ควรอยู่ในสถานะ "วัยรุ่น" แล้ว ต้องเปลี่ยนเป็นวัย "เริ่มเข้าสู่ไว้แก่"
ระหว่างเดินเท้า ถ้าไม่ไหวก็บอกพี่คนนำทางได้ เราจะได้แวะพัก
หลังจากใช้เวลาเดินทางอยู่ในป่า ประมาณ 2 ชั่วโมงกว่า เราก็มาถึงยอดเขาแล้ว และนี้คือสิ่งที่บอกว่าเรามาถึงแล้ว
เต้นท์พักของพระสงฆ์ และ ผู้ติดตาม หรือ คนงานที่อยู่บนเขา
สิ่งแรกที่เราทำเมื่อขึ้นมาถึงยอดเขาคิชฌกุฎ คือหาข้าวทาน เพราะหิวมาก
หลังจากกินข้าวเสร็จแล้ว เราก็ไปไหว้รอยพระบาทขอพร
ไหว้พระ ไหว้รอยพระบาท เสร็จแล้ว ก็มานั้งพักผ่อน อัพเดทสถานการณ์ลงโลกโซเชียล ก็ได้เวลากลับ
เราเลือกกลับทางเดิมเพื่อไปแวะเล่นน้ำตก
ใช้เวลาเดินทางกลับประมาณ 1 ชั่วโมง เราก็มาถึงแล้ว น้ำตก
เป็นน้ำตกเล็กๆ ไม่ใหญ่มาก แต่น้ำใสเย็น เห็นปลาพลวง
เล่นน้ำตกซักพักเราก็เดินทางกลับ พอลงมาถึง อาคาร ขนำ จุดพัก เพื่อนมันให้เงินเป็นค่าตอบแทนพี่คนนำทาง
แต่พี่ปฎิเสธไม่รับเงิน คะยั้นคะยอให้รับยังไงก็ไม่เอา จะซื้อน้ำให้ดื่มก็ไม่เอา ชวนกินข้าวก็ไม่กิน พูดเพียงสั้นๆ ว่า พวกพี่ทำด้วยใจ
ผมกับเพื่อน อึ่งไปเลย เพราะค่ารถไป-กลับ เที่ยวละ 50 บาท กี่คนก็ออก อย่างวันที่ผมไป มีแค่ผมกับเพื่อน 2 คนเอง ผมยังคิดเลยว่ามันจะคุ้มไหมเนี้ยะ
เสียดายที่ไม่ได้ถ่ายรูปพี่คนนำทางมาด้วย
ขอจบรีวิวที่ภาพๆ นี้ อาจไม่เหมาะสม แต่มันคือความจริง
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น