10 แผนการตะวันตกทำลายล้างอิสลาม

10 แผนการตะวันตกทำลายล้างอิสลาม
                                                                           เขียนโดย  :  อบูมูญาฮิด


”อดีตรัฐมนตรีบริติชที่มีชื่อเสียงคนหนึ่ง คือ มร.แกลดสโตน เคยพูดว่า“การทำลายอิสลามเป็นงานที่ต้องกระทำ”บรรณาธิการนิตยสาร อัลอะอฺลามุลอิสลามีย์ ได้เขียนว่า“โลกคริสเตียน แม้พวกเขาจะมีพื้นฐานและชาติพันธ์ที่แตกต่างกัน แต่พวกเขา คือ ศัตรูตัวยงที่คอยขัดขวางและทำสงครามกับโลกตะวันออกโดยเฉพาะอิสลาม ประเทศยิวทุกประเทศได้มีข้อตกลงร่วมกันในการที่จะโค่นล้มอิสลาม ในทุกวิถีทางที่พวกเขากระทำได้”       


พวกเขาเหล่านั้นมองอิสลามในแง่ความเป็นศัตรูตลอดเวลา จิตใจของพวกเขาเต็มไปด้วยความอิจฉาริษยา อคติต่ออิสลาม พวกเขาได้ตกลงกันเป็นปากเสียงเดียวกันที่จะทำลายล้างอิสลามและประชาชาติมุสลิม ซึ่งตรงกับที่อัลลอฮฺได้กล่าวว่า



และชาวยิวและชาวคริสต์นั่น จะไม่ยินดีแก่เจ้า (มุฮัมมัด) เป็นอันขาด จนกว่าเจ้าจะปฏิบัติตามศาสนาของพวกเขา จงกล่าวเถิด แท้จริงคำแนะนำของอัลลอฮ์เท่านั้น คือ คำแนะนำ แน่นอนถ้าเจ้าปฏิบัติตามความใคร่ของพวกเขา หลังจากที่มีความรู้มายังแล้ว ก็ย่อมไม่มีผู้คุ้มครองและผู้ช่วยเหลือใด ๆ สำหรับเจ้าให้พ้นจากการลงโทษของอัลลอฮ์ได้ (อัลบะกอเราะ : 120)

เท่เท่เท่เท่เท่เท่                                      เท่เท่เท่เท่เท่เท่                                         เท่เท่เท่เท่เท่เท่
แผนการที่ 1 การล้มล้างการปกครองโดยระบอบอิสลาม
แผนการที่ 2การลบล้างอัลกุรอ่าน
แผนการที่ 3 ทำลายระบบจริยธรรม  ความคิด  ความสัมพันธ์ระหว่างมุสลิมกับพระเจ้า และการปล่อยพวกเขาไปตามอารมณ์ใฝ่ต่ำ
แผนการที่ 4แผนการทำลายเอกภาพมุสลิม
แผนการที่ 5สร้างความเคลือบแคลงแก่มุสลิมต่อศาสนาของพวกเขา

                          อมยิ้ม20อมยิ้ม20อมยิ้ม20อมยิ้ม20อมยิ้ม20อมยิ้ม20
แผนการที่ 6 ทำลายเอกภาพของโลกอาหรับ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
แผนการที่ 7 สร้างรัฐเผด็จการในโลกอาหรับ
แผนการที่ 8 แยกมุสลิมออกจากการครอบครองอุตสาหกรรม และมอมเมาสินค้าจากตะวันตก
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
แผนการที่ 9 กำจัดบรรดานักคิดอิสลาม  และ ทำลายขบวนการเคลื่อนไหวของประชาชาติมุสลิมให้สิ้นสุดลง
แผนการที่ 10 ทำลายสตรีและขยายสังคมเสรี

รายละเอียดเต็มๆ  http://www.fityatulhaq.net/forum/index.php?topic=308.0

                                             เม่าเนิร์ดเม่าเนิร์ดเม่าเนิร์ดเม่าเนิร์ดเม่าเนิร์ด

آل عمران :28
لاَّ يَتَّخِذِ الْمُؤْمِنُونَ الْكَافِرِينَ أَوْلِيَاء مِن دُوْنِ الْمُؤْمِنِينَ وَمَن يَفْعَلْ ذَلِكَ فَلَيْسَ مِنَ اللّهِ فِي
شَيْءٍ إِلاَّ أَن تَتَّقُواْ مِنْهُمْ تُقَاةً وَيُحَذِّرُكُمُ اللّهُ نَفْسَهُ وَإِلَى اللّهِ الْمَصِيرُ
ผู้ศรัทธาทั้งหลายนั้น จงอย่าได้ยึดเอาบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาเป็นมิตรอื่นจากบรรดามุมิน และผู้ใดกระทำเช่นนั้น เขาย่อมไม่อยู่ในสิ่งใดที่มาจากอัลลอฮ์ นอกจากพวกเจ้าจะป้องกัน (ให้พ้นอันตราย) จากพวกเขาจริง ๆ เท่านั้น และอัลลอฮ์ทรงเตือนพวกเจ้าให้ยำเกรงพระองค์ และยังอัลลอฮ์นั้นคือการกลับไป (ของพวกเจ้า)


المائدة :51
يَا أَيُّهَا الَّذِينَ آمَنُواْ لاَ تَتَّخِذُواْ الْيَهُودَ وَالنَّصَارَى أَوْلِيَاء بَعْضُهُمْ أَوْلِيَاء بَعْضٍ وَمَن يَتَوَلَّهُم مِّنكُمْ  
فَإِنَّهُ مِنْهُمْ إِنَّ اللّهَ لاَ يَهْدِي الْقَوْمَ الظَّالِمِينَ
   ผู้ศรัทธาทั้งหลาย ! จงอย่าได้ยึดเอาชาวยิวและชาวคริสต์เป็นมิตร บางส่วนของพวกเขาคือมิตรของอีกบางส่วน และผู้ใดในหมู่พวกเจ้าเอาพวกเขามาเป็นมิตรแล้วไซร้ แน่นอนผู้นั้นก็เป็นคนหนึ่งในพวกเขา แท้จริงอัลลอฮ์นั้นไม่ทรงแนะนำกลุ่มชนที่อธรรม

التوبة :29
قَاتِلُواْ الَّذِينَ لاَ يُؤْمِنُونَ بِاللّهِ وَلاَ بِالْيَوْمِ الآخِرِ وَلاَ يُحَرِّمُونَ مَا حَرَّمَ اللّهُ وَرَسُولُهُ وَلاَ يَدِينُونَ دِينَ الْحَقِّ مِنَ الَّذِينَ أُوتُواْ الْكِتَابَ حَتَّى يُعْطُواْ الْجِزْيَةَ عَن يَدٍ وَهُمْ صَاغِرُونَ
   “พวกเจ้าจงต่อสู้บรรดาผู้ที่ไม่ศรัทธาต่ออัลลอฮ์และต่อวันปรโลก และไม่งดเว้นสิ่งที่อัลลอฮ์และร่อซูล ห้ามไว้ และไม่ปฏิบัติตามศาสนาแห่งความสัจจะ อันได้แก่บรรดาผู้ที่ได้รับคัมภีร์ จนกว่าพวกเขาจะจ่ายอัล-ญิซยะฮ์ จากมือของพวกเขา เอง ในสภาพที่พวกเขาเป็นผู้ต่ำต้อย”
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 10
ความจริง 3 จังหวัดภาคใต้...เลือดชาวพุทธ...แค่ของเหลวที่ไร้ค่า

คำให้การคนปัตตานี (อดีต) เมื่อยี่สิบปีก่อน ภาคใต้ไม่เป็นแบบนี้ คนไทยพุทธกับคนไทยมุสลิมอยู่ร่วมกันในสังคมโดยต่างฝ่ายต่างให้เกียรติในศาสน าของกันและกัน ลูกๆหลานๆ ของทุกคนก็เล่นกันตามประสาเด็กโดยไม่เห็นมีเด็กคนไหนลากศาสนามาแบ่งแยกกัน แล้วมันเปลี่ยนไปได้อย่างไร? เป็นอย่างนี้หรือเปล่า ? ผู้นำศาสนามุสลิมสุหนี่เริ่มรู้สึกว่ากำลังถูกชีอะห์เข้ามาแผ่อิทธิพล ทำให้มีการส่งลูกหลานตัวเองไปเรียนต่อในประเทศตะวันออกกลาง


ว่าจะกลับมาเป็นหัวหอกในการต่อต้านชีอะห์ แต่ผลที่ตามมากลับเป็นการชักนำสุหนี่หัวรุนแรงเข้ามาในไทย โดยไม่รู้ตัว สุหนี่พวกนี้เป็นศัตรูคู่แค้นกับชีอะห์ เป็นพวกแนวทางยึดตามคัมภีร์แบบสุดโต่ง ไม่ยอมรับการเปลี่ยนแปลงอะไรทั้งสิ้น ยืนยันแต่เพียงว่าชีวิตของมุสลิมต้องมีเพียงคำสอนของศาสดาเท่านั้น เมื่อมุสลิมรุ่นใหม่ที่ได้รับอิทธิพลต่างชาติ กลับเข้ามาในไทย พวกนี้ก็เริ่มทำลายแนวทางมุสลิมในภาคใต้ยึดถือกันมานาน โดยอ้างว่าเป็นแนวปฏิบัติที่ผิด มีการรณรงค์ให้ผู้หญิงคลุมผ้า ล้มล้างประเพณีที่เคยทำกันมา และที่สำคัญที่สุด

คือก่อตั้งปอเนาะแนวทางที่ตนต้องการ นี่แหละคือจุดเริ่มของความรุนแรงทั้งหลาย เด็กที่จบจากปอเนาะไม่มีทางเลือกในอาชีพอื่นเลย นอกจากต้องไปศึกษาต่อในประเทศมุสลิม

เพราะไม่มีบริษัทไหนรับคนที่ไม่รู้อะไรเลยนอกจากคัมภีร์ทางศาสนา เด็กเหล่านี้ต้องไปศึกษาต่อ และเมื่อกลับมาก็ไม่มีงานทำเช่นเดิม จะทำงานใช้แรงก็ไม่ได้ เพราะกลายเป็นผู้รู้ทางศาสนาเสียแล้ว ทางเลือกมีทางเดียวก็คือต้องหาทางสอนศาสนา และต้องหาเงินมาเพื่อจัดตั้งโรงเรียนปอเนาะของตนเอง แต่จะหาเงินที่ไหน? คำตอบก็คือ ต้องหาจากประเทศมุสลิม แต่จะหวังเพียงเงินบริจาคก็ไม่เพียงพอ เงื่อนไขเดียวที่จะได้เงินจำนวนมาก ก็คือต้องใช้เงินเพื่อต่อสู้ศัตรูของศาสนาอิสลาม ต้องเป็นนักรบเพื่อศาสนาเหมือนชาวปาเลสไตน์



จะไปหาศัตรูที่ไหน ในเมื่อรอบตัวมีแต่ชาวไทยที่นับถือศาสนาพุทธ ศาสนาที่ไม่ต่อต้านศาสนาอื่น ศาสนาที่เน้นการปฏิบัติส่วนบุคคล ไม่รุกราน ไม่รังแก ดังนั้นจึงต้องหาทางให้เกิดความขัดแย้งระหว่างคนไทยพุทธกับไทยมุสลิมให้ได้ก ่อน โดยเริ่มจากการปลุกแนวความคิด มุสลิมเป็นเลือดเนื้อเดียวกัน ขึ้นมา เมื่อมีเหตุการณ์มุสลิมขัดแย้งกับชาวไทยพุทธ เมื่อมีเหตุการณ์คนของรัฐบาลรังแกประชาชน เหตุการณ์ต่างๆ จะถูกขยายให้เกิดเป็นกระแสมุสลิมถูกคนพุทธรังแกทันที ทั้งๆ ที่ในส่วนอื่นๆ ของประเทศเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นทุกวัน แต่ไม่มีใครเห็นนอกเหนือไปจากเป็นการขัดแย้งของบุคคล หรือข้าราชการเลวๆๆ คนหนึ่งรังแกประชาชนทั้งชาวบ้านมุสลิมเองและพุทธเหมือนกัน ในขณะที่พวกนี้จะฉวยมาเป็นเงื่อนไขเพื่อสร้างความรู้สึกให้มุสลิมเห็นว่ากำลังถูกรังแกและต้องต่อสู้


นอกจากนี้ยังสอนให้เยาวชนเห็นว่าชาวพุทธเป็นคนนอกศาสนา ลูกหลานมุสลิมไม่ควรเข้าไปเป็นเพื่อน โรงเรียนของชาวพุทธจึงเป็นสิ่งที่ต้องห้าม สถานที่ศึกษาที่เหมาะสมสำหรับเยาวชนมุสลิมคือปอเนาะเท่านั้น นอกจากการปั่นกระแสความเกลียดชังแล้ว ยังพยายามหาข้ออ้างทางประวัติศาสตร์มาใช้อ้างเป็นความชอบธรรมว่ามุสลิมเคยเป็นประเทศมีเอกราชแต่ถูกสยามรุกราน มีการก่อตั้งกองกำลังเพื่อยึดประเทศคืน และหาทางกระตุ้นให้เจ้าหน้าที่ตอบโต้ เมื่อมีการเสียชีวิต ก็ใช้เป็นหลักฐานในการติดต่อไปยังประเทศมุสลิมว่ากำลังต่อสู้เพื่อศาสนา มีนักรบของศาสนากำลังเสียชีวิต เท่านี้เองเงินทองก็ไหลมาเทมา ยิ่งเกิดความรุนแรงขึ้นเท่าไหร่ เงินทองก็ยิ่งเข้ามามากขึ้นเท่านั้น คนกลุ่มนี้แหละที่อยู่เบื้องหลัง ที่บงการ


ที่พยายามล้างสมองให้เยาวชนออกไปตายเพื่อศาสนา เป็นอีแอบอยู่หลังฉาก ไม่เคยเปิดเผยตัว แต่ทำตัวเป็นพี่ใหญ่คอยแจกจ่ายเศษเงินแก่ผู้ที่เป็นแขนขา บางคนมีฐานะร่ำรวย ก็เข้าแบ่งประโยชน์กับเจ้าพ่อในพื้นที่ และนักการเมืองท้องถิ่น เพราะยิ่งสถานการณ์รุนแรงเท่าไหร่ ผลประโยชน์จะยิ่งไหลมาเทมา รัฐบาลไทยก็ไม่ต้องการที่จะทำอะไรรุนแรงกับมุสลิม ซ้ำยังให้สิทธิพิเศษทางศาสนาต่างๆ ให้เงินช่วยเหลือ ให้ค่าตอบแทนครูสอนศาสนา เพื่อที่จะให้มุสลิมไม่ก่อปัญหาขึ้น



ทั้งๆ ที่ชาวไทยพุทธในพื้นที่ก็มี แต่ไม่เคยได้รับความช่วยเหลือแบบนี้จากรัฐบาล ตอนนี้สถานการณ์กำลังรุนแรงมากยิ่งขึ้น รัฐบาลปราบปรามอย่างเด็ดขาดไม่ได้ เพราะตัวผู้บงการจริงๆ ยังแอบซ่อนตัวอยู่ แถมต้องพะวักพะวนกับข้ออ้างทางสิทธิมนุษยชนที่พวก NGO พยายามใช้เพื่อสร้างผลงาน NGO พวกนี้ก็ไม่ต่างกับพวกอีแอบที่อยู่ข้างหลังมุสลิมชั่วๆบางกลุ่มที่เอาศาสนามาอ้างเท่าไหร่หรอก เพราะหวังเงินจากต่างประเทศเหมือนกัน ยิ่งมีความรุนแรง ยิ่งมีความสูญเสีย NGO ยิ่งชอบใจ เพราะจะได้ใช้เป็นข้ออ้างในการโจมตีรัฐบาล ใช้เป็นข้ออ้างจัดกิจกรรม และเงินก้อนโตก็จะถูกส่งมาแบ่งกัน อยากถามรัฐบาลว่า วันนี้ท่านทำอะไรให้ชาวไทยพุทธที่ต้องเป็นเหยื่อของมุสลิมบ้าง อยากถาม NGO ว่า สิทธิมนุษยชนของประชาชนชาวไทยพุทธอยู่ที่ไหน


อยากถาม องค์การมุสลิมที่ออกมาเรียกร้องว่า คนที่ประท้วง คนที่ก่อความวุ่นวาย คนที่พยายามฆ่าผู้ไม่เกี่ยวข้อง พวกนี้ยึดถือหลักการสิทธิมนุษยชนและยอมรับความแตกต่างระหว่างวัฒนธรรมไหม ถ้าไม่เคยมีหลักการ พวกนี้เอาข้ออ้างอะไรมาเรียกร้องให้รัฐบบาลไทยต้องยึดถือหลักการ สิ่งที่พวกนี้ทำก็คือมือหนึ่งชูสิทธิมนุษยชนนำหน้า แต่อีกมือหนึ่งถือปืนยิงใส่คนรอบข้าง แต่เมื่อถูกยิงตอบโต้กลับกลายเป็นว่าผู้ยิงตอบเป็นผู้ละเมิดสิทธิมนุษยชน และต้องขอโทษคนที่ยังคงถือปืนยิงใส่ผู้บริสุทธิ์ตลอดเวลา ทราบมาว่า ต่อไป กลันตัน ตรังกานู เคดาห์ และ อื่นๆอีกมาก ก็อยู่ในข่ายการปฏิบัติการเยี่ยงนี้เช่นเดียวกัน



ในฐานะที่เป็นคนตานีมาแต่กำเนิด เติบโตมาในสังคมที่อยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขของคนต่างศาสนาและวัฒนธรรมนะครับ
สมัยที่ผมเป็นเด็กเรียนหนังสือในโรงเรียนที่มีเด็กนักเรียนนับถือศาสนาอิสลามมากกว่าศาสนาอื่นๆ ผมจึงมีเพื่อนเป็นมุสลิมมากมายไม่ว่าจะเป็น มะยูโซ๊ะ, อับดุลย์กาเดร์, มะนาเซ, แวมารีย๊ะ, ซีตีฮาวอ ฯลฯ เราต่างเป็นเพื่อนที่สนิทสนมเล่นด้วยกันเรียนด้วยกัน ไม่เคยมีความรู้สึกว่า


เธอเป็นพุทธ ฉันเป็นมุสลิม เธอเป็นคนไทย ฉันเป็นมลายู

ครอบครัวผมจะมีความสนิทสนมกับชาวไทยมุสลิมทุกระดับชั้นมากมาย แม้กระทั่งวังเจ้าเมืองตานีเดิมที่ตำบลจะบังติกอ ก็สร้างแบบศิลปะจีนเนื่องจากช่างที่ก่อสร้างเป็นชาวจีนที่บรรพบุรุษผมจัดหาให้เนื่องจากสนิทสนมกันกับเจ้าเมืองในอดีต

เวลาชาวไทยมุสลิมมีงานต่างๆเราไทยพุทธก็ไปร่วมด้วยไม่ว่าจะเป็นงานพิธีกรรมทางศาสนาเช่นงานศพ หรืองานรื่นเริงอย่างงานเทศกาลฮารีรายอ และในทางกลับกันเวลางานของเราก็มีชาวไทยมุสลิมไปร่วมด้วย ด้วยความเต็มใจ แม้กระทั่งงานศพญาติผู้ใหญ่ผม ก็มีชาวไทยมุสลิมไปร่วมแสดงความไว้อาลัย


งานเทศกาลสมโภชเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว จะมีการอัญเชิญเทพแห่รอบเมือง ก็จะมีการแห่เข้าไปในตำบลจะบังติกอซึ่งเป็นชุมชนไทยมุสลิม เนื่องจากในละแวกใกล้วังเจ้าเมืองตานีมีท่าน้ำเป็นท่าภาษีที่ชาวจีนที่จะขนสินค้าจากเมืองยะลามาเมืองตานี หรือขนสินค้าจากปากน้ำตานีไปขายที่เมืองยะลาจะต้องแวะเสียภาษี การอัญเชิญเทพไปที่ท่าน้ำนี้ก็เพื่อเป็นศิริมงคลต่อการค้าขายของชาวจีน เราก็ทำต่อเนื่องกันมานับร้อยปี



สิ่งที่ผมเล่ามามันไม่เคยมีปัญหา มันไม่เคยมีการแบ่งแยก แตกแยกใดๆ จนกระทั่งมีคำว่า"การเมือง"เข้ามา มันจึงทำให้วิถีชีวิตของเราเปลี่ยนไป (ขอเลียนแบบแม่พลอยในสี่แผ่นดิน) ยิ่งมาในยุคปัจจุบันมีผู้ที่อ้างตัวเป็นนักวิชาการประจำถิ่นมากขึ้น และพยายามสื่อความคิดของตนให้คนทั่วไปรับทราบ โดยคิดว่าสิ่งที่ตัวเองคิด ตัวเองเขียนมันถูกต้อง มีการกล่าวหาว่าประวัติศาสตร์ถูกบิดเบือนต่างๆนานา จนในที่สุดกลายเป็นว่าผู้ที่นับถือศาสนาอิสลามถูกกลั่นแกล้ง กีดกันต่างๆ ยิ่งเป็นประเด็นร้อนทันที ผมไม่ทราบว่านักวิชาการเอาจุดไหนเป็นเส้นแบ่งในเรื่องเวลาของประวัติศาสตร์ จะเอายุค ร.5, ยุคต้นรัตนโกสินทร์, ยุคกรุงธนบุรี, ยุคกรุงศรีอยุธยา ถ้าผมจะเอายุคก่อนประวัติศาสตร์มาอ้างบ้างละครับว่าทุกคนคือเผ่าพันธุ์เดียวกัน นักวิชาการจะโต้เถียงกับผมหรือเปล่าครับ


คนไทยในมาเล

ทั้งๆที่คนไทยในมาเลเองก็โดนกดขี่ ไม่ได้รับความยุติธรรมยิ่งกว่าใน 3 จังหวัดชายแดน

ทั้งยังไม่มีสวัสดิการ แม้มีการเรียกพวกเขาใหม่ว่า ภูมิมบุตร แต่ก็ไม่สามารถรับราชการได้ เพราะไม่ใช่ชาวมุสลิม

ผิดกับไทยที่มีทุกอย่างและเป็นใหญ่เป็นโตจนสามารถปฏิวัติได้

แต่ต่างกันที่พวกเขาไม่ได้อ้างศาสนาหรือสิทธิ การกดขี่ข่มเหงใดๆ แล้วฆ่าคนอีกศาสนาตัดหัว

ก็ยังสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติสุข แบบกดขี่


หรือถ้านักวิชาการทั้งหลายคิดว่าคนไทยมุสลิมถูกกีดกันจริงๆ ลองไปศึกษาข้อมูลชาวไทยพลัดถิ่นที่ยังคงอาศัยอยู่ในไทรบุรี กลันตัน ตรังกานู ปะลิศ ดูบ้างว่าเขาเหล่านั้นมีสภาพความเป็นอยู่ หรือได้รับสิทธิต่างๆเหมือนชาวไทยมุสลิมหรือเปล่า เพราะเขาเหล่านั้นก็เกิดมาในท้องถิ่นนั้นหลายชั่วอายุคนแล้วเหมือนกัน

ผมจึงอยากให้ท่านที่เป็นนักวิชาการ นักคิด นักเขียน ลองพินิจพิจารณาให้ถ่องแท้ครับ ก่อนจะตกเป็นเครื่องมือของการเมืองโดยไม่รู้ตัวครับ


แล้วที่อาจารย์บอกว่า "คาถาที่หมอไสยศาสตร์พื้นบ้านในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ใช้ในตอนนั้นบ่งบอกถึงความรู้สึกไม่พอใจสยามรัฐซึ่งสั่งสมกันต่อ ๆ มา" ไม่ทราบคาถานั้นมีว่าอย่างไรครับ เพราะคาถารักษาโรคมันก็น่าจะเป็นคาถา ไม่น่าจะบ่งบอกถึงความรู้สึกไม่พอใจสยามรัฐนะครับ

ผมมิมีเจตนาลบหลู่นักวิชาการท่านใดทั้งสิ้น เพียงแต่อยากแสดงความคิดเห็นในฐานะประชานธรรมดาคนหนึ่งที่เกิดมาในถิ่นที่มีปัญหาทางการเมือง และ

ถูกนำเอาศาสนามาเป็นเครื่องมือในการต่อสู้ เพราะไม่อยากเห็นสงครามศาสนาครับ

http://www.truth4thai.org/oldsite/node/387
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่