รู้หลักวัด'สัดส่วน-มุม-องศาใบหน้า' ใช้ศิลปะปลายเข็ม...เมคอัพเพิ่มสวย >>นสพ.เดลินิวส์ฉบับวันพุธที่ 24 กุมภาพันธ์ 2559


หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ฉบับวันพุธที่ 24 กุมภาพันธ์ 2559



          เมคอัพ ศิลปะการแต่งหน้าและไฮไลท์ด้วยปลายเข็ม หากเราพูดว่าภาพนี้สวย ตึกนั้นดูดี ใบหน้านี้ก็งดงาม ทราบหรือไม่ว่าความสวยงามนั้นวัดได้จากอะไร แน่นอนว่าหลายๆคนมีความเห็นแตกต่างกันออกไป แต่สิ่งหนึ่งที่สามารถพิสูจน์ได้ว่าสิ่งเหล่านั้นสวยงาม ก็คือหลักการทางวิทยาศาสตร์ที่ผสมผสานกับศิลปะอย่างลงตัว ซึ่งมีมานานนับร้อยๆปี เพราะการสร้างสถาปัตยกรรมและสิ่งก่อสร้างต่างๆในอดีต ได้อาศัยความรู้เหล่านี้ทั้งสิ้น และจนถึงปัจจุบันสิ่งเหล่านั้นก็ยังเป็นภาพที่ประทับใจให้เห็นกันอยู่ เช่น วิหารทัชมาฮาล หรือกระทั่งภาพวาดโมนาลิซา ฉะนั้นหากนำหลักการเหล่านั้นมาประยุกต์ใช้กับความงามบนใบหน้าคงสร้างเสน่ห์ตราตรึงได้ท่วมท้น...?!?

          นายแพทย์พุฒิพงศ์ ภูมิสุวรรณ บิวตี้ อาร์ทติส (Beauty Artist) ให้ความรู้ว่า นิยามความงามเป็นเรื่องของสากล ซึ่งหมายถึงทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกใบนี้อยู่ภายใต้กฎเกณฑ์อันเดียวกัน ไม่ว่าอะไรก็ตามที่มีองค์ประกอบทั้ง 3 ส่วน คือ สัดส่วน มุม-องศา และส่วนโค้ง-เว้า ที่ลงตัว จะทำให้สิ่งนั้นดูแล้วสวยงาม เช่น ตึก-อาคาร วัตถุสิ่งของ รูปปั้น ภาพวาด และรวมถึงใบหน้าของคนเราด้วย ซึ่งใบหน้าเอง ก็มีองค์ประกอบย่อยลงไปอีกว่า ทำไมตาสวย ปากสวย และฟันสวย สิ่งเหล่านี้ขึ้นอยู่กับสัดส่วน มุม-องศา และส่วนโค้ง-เว้า ที่สมดุลทั้งสิ้น
          เริ่มจาก “สัดส่วน”ก่อน ใบหน้าคนเราประกอบไปด้วยสัดส่วนแนวนอน 3 ส่วน คือ ไรผมถึงหว่างคิ้ว, หว่างคิ้วถึงฐานจมูก และฐานจมูกถึงปลายคาง ถ้าใครมี 3 ส่วนนี้เท่าๆกันแสดงว่ามีใบหน้าที่สมดุลสวยงาม สำหรับในคนไทยที่พบบ่อยคือ ส่วนล่างมักสั้นกว่าส่วนอื่น อีกแนวคือ สัดส่วนแนวตั้ง 5 ส่วน ได้แก่ ส่วนที่ 1 ตั้งแต่แนวด้านข้างใบหน้า (แนบหูหรือหน้าหู) จนถึงหางตา ส่วนที่ 2 ตั้งแต่หางตาถึงหัวตา ส่วนที่ 3 หัวตาถึงหัวตาอีกฝั่งหนึ่ง ส่วนที่ 4 หัวตาถึงหางตา และส่วนที่ 5 หางตาถึงแนวด้านข้างใบหน้า ถ้าใครมีใบหน้าในแนวตั้ง 5 ส่วนเท่าๆกัน แสดงว่ามีใบหน้าที่สมดุลย์สวยงามเช่นกัน
          การวัดสัดส่วนอีกแบบหนึ่ง เรียกว่า “สัดส่วนทองคำ” (Golden Ratio) มีค่าเท่ากับ 1.618 เป็นอะไรที่ซับซ้อนขึ้น คือการเอาส่วนยาวมาหารด้วยส่วนกว้าง เช่นเอาความยาวจากศีรษะถึงคางในแนวตั้งหารด้วยความกว้างที่สุดในแนวนอนของหน้า ถ้าได้ผลลัพธ์ใกล้เคียง 1.618 แสดงว่าคนนั้นมีใบหน้าที่สวยได้รูป ซึ่งทฤษฎีนี้บอกว่า วัตถุสิ่งของ หรืออวัยวะอะไรก็ตามที่มีสัดส่วนนี้ จะทำให้ดูแล้วสวยนั่นเอง เช่นถ้าอยากทราบว่าฟันสวยหรือไม่ ก็ใช้วิธีการวัดคือนำความยาวของฟันแนวตั้งหารด้วยความยาวของฟันแนวนอนใน1ซี่ ถ้าได้ตัวเลขใกล้เคียงกับ 1.618 แสดงว่าฟันซี่นั้นสวย หรือดวงตาก็เช่นกันเราสงสัยกันหรือไม่ว่าทำไมคนนี้ดวงตาสวย คนนี้ไม่สวย วิธีวัดคือเอาความกว้างของดวงตาตั้งแต่หัวตาถึงหางตาหารด้วยความกว้างของขอบตาบนถึงขอบตาล่าง และถ้าได้ตัวเลขใกล้เคียงกับ 1.618 แสดงว่าดวงตาแบ๊วสวยพอดี ไม่ตาตี่หรือกลมมากเกินไปแม้แต่การวาดภาพรูปหน้าโมนานิซ่าก็เช่นกัน ทำไมเราถึงมองว่าสวยสมดุล เพราะเป็นการวาดที่ใช้ทฤษฎีนี้เช่นกัน ซึ่งเป็นทฤษฎีที่รู้และทำกันมาเป็นร้อยๆปีแล้ว แต่ใช้กับงานสถาปัตยกรรม งานก่อสร้าง เช่นพระราชวัง วิหาร ภาพวาด หรือแม้แต่รูปปั้นต่างๆ ในยุโรป ถ้าใครเคยไปชมจะเห็นว่าดูสวยสบายตา ความรู้ด้านสัดส่วนนี้ยังนำมาใช้กับการถ่ายภาพให้สวยได้ด้วย เช่น ถ้าถ่ายภาพที่มีท้องฟ้า ก็ให้แบ่งสัดส่วน คือใช้พื้นดิน 1 ส่วนและท้องฟ้า 2 ส่วน รวมเป็น 3 ส่วน และภาพจะออกมาสวยสมดุล หรือถ้าอยากถ่ายรูปคู่กับทะเล ก็สามารถแบ่งสัดส่วนเป็นท้องฟ้า 1 ส่วน ทะเล 1 ส่วน และตัวเรา 1 ส่วน รูปจะออกมาสวยสมดุล เป็นต้น


รูปแสดงมุมสันดั้งจมูก และหน้าผาก



รูปแสดงมุมฐานจมูกและริมฝีปากบน ในผู้หญิง

          ต่อมาเป็นเรื่องของ “มุม-องศา” หลักๆ ที่เราวัด ได้แก่ มุมดั้งจมูก คือระหว่างดั้งจมูกและหน้าผาก จุดวัดคือจุดต่ำสุดของดั้งแล้ววัดขึ้นไปที่หน้าผากต้องได้มุม 115 -135 องศา ดังนั้นถ้าใครไปทำจมูกมา และปรากฎว่าดั้งจมูกช่วงระหว่างหัวตาสูงโด่งเป็นสันไปชนกับหน้าผาก แสดงว่ามุมสันดั้งจมูกและหน้าผากเกิน 135 องศาแน่นอน บางรายเกินไปถึง 180 องศาก็มีแทนที่จะดูสวยกลับดูตลกแทน อีกมุมคือมุมฐานจมูกและริมฝีปากบน ซึ่งผู้หญิงกับผู้ชายจะแตกต่างกัน ถ้าเป็นผู้ชายจะอยู่ประมาณ 90-95 องศา ส่วนผู้หญิงฐานจมูกต้องเชิดขึ้นเล็กน้อยประมาณ 95-110 องศา

          สุดท้ายวัดที่ “ส่วนโค้ง-เว้าของใบหน้า” ซึ่งวิธีนี้ทำยากและซับซ้อนจึงไม่ค่อยนิยม ที่ให้เข้าใจง่ายคือใบหน้าคนเราต้องมีส่วนโค้งส่วนเว้า คือมีรูปตัว S เล็กๆต่อกันบนใบหน้า เช่น ใต้ตา บางคนไม่อยากมีใต้ตาโบ๋หรือไม่อยากให้มีร่องใต้ตาเลย อยากเติมไขมัน อยากผ่าตัด หรือฉีดฟิลเลอร์ให้เต็ม หากทำให้เรียบเลยแน่นอนว่ามันจะดูไม่สวย เพราะใต้ตาที่สวยของคนเรา ต้องมีร่องเล็กน้อย ให้เกิดเป็นส่วนโค้งส่วนเว้า นอกจากนี้ ส่วนโค้งส่วนเว้านี้ก็ยังรวมถึงโหนกแก้ม และ ริมฝีปากด้วย

          ดังนั้นจะว่าไป ความงามจึงเป็นเรื่องของศิลปะโดยแท้จริง แต่เป็นศิลปะที่มีหลักอ้างอิงทางวิทยาศาสตร์ที่พิสูจน์ได้ด้วยตัวเลขของการคำนวณเหล่านี้ ใครที่สนใจในเรื่องความงาม อย่างน้อยควรมีความรู้เรื่องนี้ไว้ ยกตัวอย่างเช่น ถ้าจะไปเสริมคางควรวัดดูก่อนว่า คางเราสั้นจริงหรือเปล่า หรือการทำจมูกให้สวยก็ต้องดูองศาบริเวณดั้งจมูก และฐานจมูก-ริมฝีปาก ประกอบด้วย หรือจะไปฉีดฟิลเลอร์-ร้อยไหมแก้ม ก็ต้องให้มีส่วนโค้ง-เว้า ของตัว S อยู่ด้วย ไม่ใช่ทำแล้วหน้ากลม หรือหน้าวี จนไม่มีส่วนโค้ง-เว้า เหลืออยู่เลย

          แต่ถ้าหากไม่มีเงินทำศัลยกรรม แนะนำว่าเมคอัพก็ช่วยได้ ซึ่งหลักการแต่งหน้าก็ใช้หลักการเดียวกันกับการทำศัลยกรรม คือทำให้ใบหน้าสมดุล ด้วยการไฮไลท์ (Highlight) เพื่อทำให้ส่วนนั้นเด่นขึ้นมาหรือยาวขึ้นมา และใช้การเฉดดิ้ง (Shading) ทำให้ส่วนนั้นจมหายลงไปหรือสั้นเข้าไป การแต่งหน้าช่วยให้ใบหน้าดูมีมิติและดูยาวขึ้นได้ โดยปกติ คางเป็นส่วนที่คนไทยมักมีปัญหา ทำให้ใบหน้าดูสั้นไป การแต่งหน้าด้วยการไฮไลน์(Highlight)ลงไปที่บริเวณคาง สันจมูก และหน้าผาก ก็จะทำให้ส่วนใบหน้าดูพุ่งออกมา จากนั้นก็เฉดดิ้ง (Shading) แก้มด้านข้าง ซึ่งเสมือนทำให้แก้มเล็กลง แค่นี้ใบหน้าก็จะดูยาวขึ้น หรือถ้าต้องการให้ใบหน้าดูคมขึ้น มีกรอบหน้ามากขึ้น ก็เฉดดิ้ง (Shading) ส่วนแก้มหน้าหู และส่วนใต้โหนกแก้ม จากนั้นไฮไลน์ที่โหนกแก้มเพื่อยกแก้มให้เห็นชัดขึ้น แค่นี้ก็จะได้รูปหน้าที่สวยสมดุลโดยไม่ต้องทำศัลยกรรม

          แต่หากการแต่งหน้ายากเกินไปสำหรับบางคน หรือคนที่มีรูปหน้าผิดรูปมาก แต่งหน้ายาก แต่ก็ไม่อยากไปผ่าตัดปรับเปลี่ยนกระดูกใบหน้าเพราะกลัวเจ็บตัว และไม่อยากพักฟื้นนานๆ เนื่องจากเป็นการผ่าตัดใหญ่ ดังนั้นการรักษากึ่งศัลยกรรมจึงเป็นเทรนฮิตอีกวิธี ที่เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ โดยเฉพาะปัจจุบันมีเทคนิคการฉีดฟิลเลอร์สัมผัสกระดูก ซึ่งช่วยให้สามารถปรับแต่งโครงหน้าได้ และเพราะความสวยต้องมาคู่กับศิลปะและรสนิยมเสมอ เราจึงต้องประยุกต์การฉีดฟิลเลอร์ให้เหมือนกับการแต่งหน้า เช่นฉีดฟิลเลอร์ที่แนวโหนกแก้มเพื่อยกแนวโหนกแก้มให้เด่นขึ้น เปรียบเสมือนการแต่งหน้าด้วยการลงไฮไลท์(Highlight)นั่นเอง และถ้าเทคนิคการฉีดถูกต้อง แก้มด้านข้างจะหดยุบเข้าไปโดยอัตโนมัติ เสมือนเป็นการลงเฉดดิ้ง(Shading)ไปในตัว ส่วนตรงคางก็ฉีดฟิลเลอร์นิดหน่อยให้คางพุ่งขึ้นมาเหมือนเป็นการลงไฮไลท์ (Highlight)ส่งผลให้ใบหน้าของเราดูสวยคมขึ้น

          ปัจจุบันเทคนิคการรักษาด้านความงามมีการพัฒนามากขึ้น มีการรักษาแบบไม่ต้องผ่าตัดมาช่วย โดยการใช้เทคนิคเหมือนแต่งหน้า และหากเราเลือกคลินิกศัลยกรรมความงามที่น่าเชื่อถือ ใช้สารเติมเต็มอย่างฟิลเลอร์ที่ผ่านการรับรอง และสลายตัวได้หมด เราก็ไม่ต้องกังวลเรื่องการตกค้าง และเมื่อทำแล้วก็เสมือนกับการแต่งหน้าที่สามารถอยู่ได้นาน1-2ปี ซึ่งก็ถือเป็นข้อดี เพราะเมื่อในอนาคตหากเทรนด์ด้านความงามเปลี่ยนไป เราก็สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามต้องการ เพราะไม่ถาวรเหมือนการผ่าตัด

          แต่ทั้งนี้การรักษาทุกอย่างมีทั้งข้อดีและข้อเสีย เพราะการรักษาแบบหนึ่งอาจไม่เหมาะกับคนกลุ่มหนึ่ง หรือคนกลุ่มหนึ่งอาจจะเหมาะกับการรักษาอีกแบบหนึ่ง ฉะนั้นถ้าเรามีความรู้เบื้องต้นมาก่อน และปรึกษาแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญในด้านนั้นๆ ก็จะทำให้ได้แนวความคิดที่ถูกต้อง ได้ความงามที่ครบถ้วนกระบวนการ เหมือนคำที่ว่า “เพราะความงาม คือศิลปะ และรสนิยม” นั่นเอง
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่