ขอเล่าประสบการณ์ชีวิตของตัวเองนะครับ กว่าจะมาถึงจุดนี้บอกเลยว่าไม่ง่าย
ตั้งแต่จำความได้ จำได้ว่าที่บ้านค่อนข้างมีเงิน ไม่ถึงกับร่ำรวยแต่มีเงินใช้ไม่ขาดมือ อยากไปไหนได้ไปอยากกินก็ได้กิน ตามประสาเด็กต่างจังหวัด
ที่บ้านเปิดร้านขายของ และมีปั๊มน้ำมัน ในวันเสาร์อาทิตย์ ที่บ้านจะมีคนมาเล่นไพ่ ดูมวยกันเยอะมาก ยิ่งช่วงหน้าฝน ที่กรีดยางไม่ได้ บางคนมาเล่นไพ่อยู่เป็นอาทิตย์ ในช่วงนั้นจำได้ว่า เป็นช่วงที่บ้านเฟื่องฟูมาก แต่พ่อผมก็เป็นคนที่รักสนุก หมายถึงชอบเล่นไพ่ เล่นการพนัน ชอบกินเหล้า บางครั้งจำได้ว่าพ่อยกเหล้าหรือเบียร์เป็นลังๆเพื่อมาเลี้ยงเพื่อน มีหลายครั้งพ่อทะเลาะกับแม่ เรื่องพ่อขนของที่ขายเพื่อไปเลี้ยงเพื่อนเป็นจำนวนมาก
ผมก็ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขปกติดี เมื่อประมาณ ป. 5 แม่เริ่มป่วย ตอนนั้นเรายังเด็กมากไม่รู้ว่าแม่ป่วยเป็นโรคอะไรก็ตระเวนรักษาไปเรื่อยๆ ที่ไหนว่าดีก็ไปหมด ทั้งโรงพยาบาลของรัฐ โรงพยาบาลเอกชน ถึงแม้กระทั่งทรงเจ้าเข้าผีก็ไปลองมาหมดแล้ว บางครั้งต้องหยุดเรียนเป็นอาทิตย์ เพื่อตามแม่ไปรักษาตัวที่ต่างๆ แต่อาการของแม่ก็ไม่ดีขึ้น กลับทรุดลงเรื่อยๆ
ตอนนั้นผมเป็นคนเดียวที่คอยตามแม่ไปทุกที่ เพราะพ่อต้องอยู่บ้านดูแลน้องๆ และขายของที่บ้าน จนกระทั่งใกล้เปิดเทอมจะขั้น ป.6 อาการของแม่ก็ยังไม่ดีขึ้น จากที่เมื่อก่อนจำได้ว่าแม่เป็นคนสวยผิวขาว แต่ตอนนี้ แม่ผอมมาก เหลือเพียงหนังหุ้มกระดูกก็ว่าได้ ก็เลย้ายแม่มาอยู่ที่บ้านย่า ที่อยู่ในตัวเมือง เพื่อใกล้โรงพยาบาลมากขึ้น ตอนนั้นเหมือนแม่ต้องไปโรงพยาบาลบ่อยมาก ผมก็ไปกับแม่ทุกครั้ง
จนมีครั้งนึง แม่อาการไม่ดีเลย ต้องรีบไปโรงพยาบาลด่วนมาก พอไปถึงโรงพยาบาล ไม่มีห้องว่าง ห้องรวมเตียงก็เต็ม แต่สักพัก พยาบาลก็บอกว่า มีห้องกระจกที่อยู่ในห้องรวม แต่ผู้ป่วยคนล่าสุดที่เสียชีวิตไปเมื่อเช้าเป็นคนแก่ จะให้แม่อยู่ที่ก่อนไหม ซึ่งตอนนั้นเราไม่มีตัวเลือกก็ต้องอยู่ห้องนั้นไปก่อน แม่ก็บอกผมว่าก่อนนอนให้ไปซื้อพวงมาลัยมาไหว้เจ้าที่ก่อน ผมก็ทำตามที่แม่บอก
ดูเหมือนทุกอย่างจะเรียบร้อย พอตกกลางคืน ประมาณตี 2 ผมซึ่งนอนเฝ้าแม่อยู่ข้างเตียง ต้องตกใจสะดุ้งตื่น แม่เอามือเคาะกับรั้วข้างเตียงเสียงดังมาก แม่บอกว่า แม่ลืมตามาเห็น ลุงคนที่เพิ่งเสียชีวิตไปเมื่อเช้า กำลังนั่งคร่อมตัวแม่แล้วทำท่าจะบีบคอ แม่พยายามตะโกนแล้วแต่ไม่มีเสียง เลยเอามือเคาะกับรั้วขอบเตียเพื่อให้ผมตื่น ตอนนั้นด้วยความที่ยังเด็กก็คิดว่าแม่คงฝันไป สรุปแม่ผมก็นอนห้องนั้นตอบอีก 2 คืน ร่างกายแม่กลับดีขึ้นเหมือนมีปฏิหาร แม่สามารถเดินได้ ทานอาหารได้มากขึ้น หลังจากนั้นพ่อก็มารับกลับไปอยู่บ้านย่าเหมือนเดิม
หลังจากกลับไปอยู่บ้านย่าได้ไม่นาน อาการแม่ก็ทรุดลงไปอีก ซึ่งดูเหมือนว่าจะทรุดหนักกว่าเก่าด้วยซ้ำไป ก่อนเปิดเทอมไม่ถึงอาทิตย์ แม่ผมก็ได้เสียชีวิตลง ที่แคร่ไม้ไผ่ใต้ถุนบ้านย่า หลังจากนั้นเหมือนผมไม่ได้สติตัวเองเลย อันนี้ฟังจากที่พ่อให้ฟัง ว่าผมเดินร้องไห้ไปทั่วบ้าน
หลังจากเสร็จงานศพแม่ พวกเราทุกคนที่เหลืออยู่ก็กลับไปอยู่บ้านตามเดิม มีพ่อ ผม และน้องสาวอีก 2 คน ตอนนั้นน้องสาวคนเล็กประมาณ 4 ขวบ ฐานะทางการเงินของที่บ้านก็เปลี่ยนไปทันที พ่อหมดเงินไปกับการรักษาแม่ ประมาณเกือบ 2 ล้านบาท ของที่เคยขายที่บ้านก็หร่อยหรอลงไปเรื่อย ปั๊มน้ำมัน ก็ต้องขายออกไป เงินที่เก็บไว้ก็ไม่เหลือ
จากเมื่อก่อนทุกเสาร์อาทิตย์จะมีคนมาที่บ้านมากกว่า 20 คนเพื่อมาเล่นไพ่ ดูมวย แต่หลังจากงานศพแม่ไม่มีใครมาที่บ้านเลย เพื่อนบ้านหลายคนก็เปลี่ยนไป จากที่เมื่อก่อนเคย มาอยู่มากินก็เป็นอาทิตย์ไม่มาอีกเลย ลูกค้าที่เคยเป็นหนี้ที่บ้าน ก็หายไปหมด ทุกวันนี้สมุดบัญชีคนที่เคยมาซื้อของแล้วยังไม่จ่ายเงินผมยังเก็บไว้อยู่เลย
ทุกๆคืนพ่อลุกขึ้นมานั่งร้องไห้ แล้วพูดคนเดียวตลอด จนผมกัน้องก็ต้องนอนกอดกันร้องไห้ด้วย ตอนนั้นยอมรับเลยว่าชีวิตลำบากมาก รถที่เคยมีใช้ก็ไม่มี เพราะพ่อขายไปตอนเอาเงินไปรักษาแม่ ผมต้องตื่นตี 4 ทุกวัน เพื่อมาหุงข้าว ล้างจานเตรียมอาหารให้น้องก่อนไปโรงเรียน บางวันไข่ต้ม 2 ฟอง ก็ต้องกินกัน 3 คนพี่น้อง แล้วเดินเท้าจากบ้านอีก 2 กิโลเมตรเดินไปหน้าปากซอย เพื่อโบกรถไปโรงเรียน บางวันต้องโบกถึง 3 ต่อกว่าจะถึงโรงเรียน ไปโรงเรียนสายเกือบทุกวัน ยิ่งช่วงหน้าฝน ทางที่ปกติจะเป็นดินแดง จะกลายเป็นขี้โคนทันที ชุดนักเรียนใส่ถุงไป แล้วไปแต่งตัวที่โรงเรียน
บางวันได้เงินไปโรงเรียนแค่ 5 บาท จะปกติ ได้ประมาณ 50 บาท บางครั้งแม้แต่ข้าวสารจะหุงก็ไม่มี ผมกับน้องสาวอีกสองคนอยู่คนละโรงเรียน โรงเรียนของน้องจะเลี้ยงอาหารกลางวัน พ่อเคยบอกว่า ให้น้องไปโรงเรียนเถ่อะ อย่างน้อยก็ได้กินข้าวฟรีที่โรงเรียนตอนกลางวัน ส่วนผมก็อดบ้างกินบ้าง ตอนนั้นบอกเลยว่าชีวิตลำบากมาก ไม่เคยคิดว่ากับที่เราสบายมาตลอด จะมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร
ระหว่างนั้น เพื่อนบ้านที่เคยคบค้าสมาคมกันเป็นอย่างดี เปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังตีนก็ว่าได้ พวกเขากลับดูถูกที่บ้านผมต่างๆนานา ผมมักถูกเพื่อนล้อว่าเด็กไม่มีแม่ มันเป็นความเจ็บใจ เสียใจ ที่พูดไม่ออก
จนกระทั่งจบม. 3 พ่อบอกว่าพ่อไม่มีเงินส่งเรียนแล้ว แต่ผมอยากเรียนมาก ผมบอกพ่อว่า ให้ทำอะไรก็ยอมแค่ขอให้ได้เรียนหนังสือ พ่อไม่ตอบ แต่พอน้ำตาไหล
ผมคิดว่ามันคงถึงเวลาแล้วแหละที่เราต้องดูแลตัวเอง ผมตัดสินใจโทรหาญาติที่กรุงเทพ บอกว่าผมอยากเรียนหนังสือ ผมก็มาอยู่กับญาติที่กรุงเทพ อยู่กับญาติชีวิตก็ไม่ได้สบายมากนัก ต้องช่วยเขาทำงานทุกอย่างต้องซักผ้า ถูบ้าน ล้างจาน ช่วยขายของ แต่มันก็ไม่ได้หนักหนาอะไร เพราะก็ลำบากกว่านี้ก็ผ่านมาแล้ว
ตอนนั้นผมตั้งใจเรียนมาก และดูเหมือนว่าทุกอย่างกำลังจะดีขึ้น แต่ความจริงก็ไม่เป็นเช่นนั้น ช่วงปิดเทอมม. 5 ญาติที่ต่างจังหวัดโทรมาบอกว่า พ่อเสียชีวิตกะทันหัน ตอนนั้นผมบอกเลยว่าผมไม่ได้ร้องไห้ แต่เสียใจมาก เหมือนพ่อเป็นเสาหลักสุดท้ายที่เราจะพึ่งพิง เหมือนมันเป็นความเสียใจที่สุด แต่ร้องไห้ไม่ออกพูดไม่ออก ผมสงสารน้องมาก ใครจะดูแลน้องต่อ ผมก็ยังเรียนไม่จบ
หลังจากเสร็จงานศพพ่อ ญาติๆ ลงความเห็นว่า จะส่งน้องไปที่โรงเรียนเด็กกำพร้า ผมเสียใจมาก แต่ก็ไม่รู้จะทำยังไง คิดไว้เสมอว่า สักวันผมจะเอาน้องกลับมาอยู่ด้วยอย่างแน่นอน ตอนนั้นน้องสาวคนเล็กอายุประมาณ 10 ขวบ ก็ต้องไปอยู่โรงเรียนเด็กกำพร้า ซึ่งก็ต้องดูแลตัวเองทุกอย่าง
ช่วงปิดเทอมผมก็กลับไปเยี่ยมน้องที่โรงเรียน พอเห็นความเป็นอยู่ในโรงเรียน ผมร้องไห้ทันที ไม่คิดว่ามันจะลำบากขนาดนี้ เด็กส่วนใหญ่ที่มาอยู่โรงเรียนนี้ จะเป็นเด็กกำพร้า บางคนพ่อแม่ติดคดี ติดคุก ติดยา เลยต้องส่งลูกมาอยู่โรงเรียนแบบนี้ เด็กบางคนไม่เคยได้กลับบ้านก็มี เพราะที่บ้านไม่มีใครเลย ส่วนน้องสาวผมก็ยังดี ที่ยังพอมีญาติ มารับกลับบ้านช่วงปิดเทอมบ้าง
จนกระทั่งผมจบม. 6 ผมก็รู้ชะตากรรมตัวเองแล้วว่า ถ้าเรียนมหาลัยปิดทั่วไป ผมคงไม่มีเงินเรียนอย่างแน่นอน ผมเลยตัดสินใจเรียนที่รามคำแหง ผมคิดอย่างเดียวว่า ต้องเรียนให้จบเร็วที่สุด เพื่อที่จะได้ทำงานเลยเอาน้องมาอยู่ด้วย ผมใช้เวลาเรียนที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง 2 ปีครึ่ง ก็จบแล้วทำงานทันที หลังจากจบผมก็ทำงานทันทีแต่ในความเป็นจริงแล้ว เด็กจบใหม่เมื่อ 12 ปีที่แล้ว จากมหาวิทยาลัยรามคำแหง เงินเดือนน้อยมาก ไม่เกิน 9000 บาท ลำพังแค่ตัวผมค่ากิน ค่าอยู่ ค่ารถ ก็แทบจะหมดแล้ว
พอทำงานได้สัก 2 ปี เริ่มคิดได้ว่า จะอยู่อย่างนี้ต่อไปไม่ได้แน่นอน ต้องมีวิชาอะไรติดตัวสักอย่าง ตัดสินใจเอาเงินที่เก็บอยู่ทั้งหมดตอนนั้น ทั้งหมดประมาณ 3000 บาท เพื่อไปลงเรียนภาษาอังกฤษ ตั้งใจจะไปสอบ toeic เพื่ออัพเกรดเงินเดือน หรืออาจจะย้ายงานที่ได้เงินเดือนมากขึ้น
ความบังเอิญสถาบันที่ผมไปเรียนภาษาอังกฤษ มีหลักสูตรสำหรับแอร์ และสจ๊วตด้วย ตอนนั้นบอกเลยว่า ผมไม่รู้ว่าแอร์ สจ๊วตคืออะไร ไม่เคยขึ้นเครื่องบิน ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับวงการอาชีพนี้เลย ผมเลยถามเจ้าหน้าที่ที่โรงเรียนว่าอาชีพนี้เป็นไง พอได้ฟังคำตอบ ที่เกี่ยวกับเงินเดือนของอาชีพนี้ ผมตัดสินใจทันทีว่า ต้องเป็นสจ๊วตให้ได้ ผมเลยเปลี่ยนคอร์สที่จะเรียน toeic เพื่อไปเรียนหลักสูตรสจ๊วต แต่เงินผมไม่พอที่จะเรียนคอร์สสจ๊วต ผมเลยจ่ายไป 3000 บาทก่อน ส่วนที่เหลือ จะมาจ่ายก่อนวันเปิดคอร์ส
ซึ่งตอนนั้นเป็นความโชคดีมาก มีโมเดลลิ่งมาแนะนำผมให้ไปเดินแบบ แบรนด์เสื้อผ้าต่างๆ ตอนนั้นบอกได้คำเดียวว่า ดีใจมากๆ ไม่คิดว่าจะเด็กต่างจังหวัดจนๆ จะได้มาทำงานแบบนี้ และได้เงินเยอะกว่าที่คิดไว้มาก ตอนนั้นสนุกกับการเดินแบบมาก มันเป็นงานที่ง่ายและได้เงินเร็ว แต่ผมก็ต้องเสียเงิน 3000 ไป เพราะกว่าจะจ่ายครบ เขาก็เปิดคอร์สไปแล้ว แต่ถึงยังไงผมก็ไม่ลืมควาตั้งที่จะเป็นสจ๊วตอย่างแน่นอน
ระหว่างนั้นผมก็ยังทำงานออฟฟิศไปด้วย และรับงานเดินแบบด้วย จนเมื่อเก็บเงินครบพอที่จะสมัครเรียนคอร์สสจ๊วตได้แล้ว ผมก็ไปสมัครเรียนทันที ได้ไปเรียนบ้างไม่ได้ไปเรียนบ้าง เพราะบางทีหลังเลิกงานต้องรีบไปรับงานในห้างทันที หรือบางทีก็ทำงานแค่ครึ่งวัน จนบางครั้ง หัวหน้างานก็เรียกเข้าไปตักเตือนเรื่องที่ผมลางานบ่อย แต่ผมก็เข้าใจนะยอมรับผิดทุกกรณี
ผมได้ย้ายงานไปอยู่ที่อีกบริษัทนึง เจ้านายใจดีมาก สามารถลาเท่าไหร่ก็ได้ ก็หักเงินตามวันลา แต่ห้ามกระทบกับงานหลักที่ทำอยู่ ที่นี้ผมก็ลาไปเดินแบบได้สบาย
ช่วงที่สอบ toeic ผมสอบไม่ต่ำกว่า 10 ครั้ง จนกว่าจะได้คะแนนที่พอใจ จำได้เลยครั้งแรกที่สอบ ได้คะแนน 350 คะแนน ผมสอบตั้งแต่ค่าสอบ toeic ราคา 800 บาท ครั้งสุดท้ายที่สอบ ค่าสอบ 1500 บาท
ตอนที่สมัครสจ๊วต มันเป็นอาชีพที่ต้องลงทุนพอสมควร สำหรับคนเงินน้อยอย่างผม ทั้งเสื้อผ้าหน้าผม รูปถ่าย ทุกอย่างต้องเพอร์เฟค ผมสมัครทุกสายการบินที่เปิด สายการบินบางกอกแอร์เวย์ 2 ครั้ง สายการบินการ์ต้า 3 ครั้ง สายการบิน emirates 2 ครั้ง แอร์เอเชีย 3 ครั้ง การบินไทย 2 ครั้ง สายการบินเล็กๆอีกไม่ต่ำกว่า 5 ครั้ง
มีครั้งนึงได้สายการบินที่เพิ่งเปิดใหม่ พวกเราดีใจกันมาก ที่จะได้งานที่ฝัน ทุกคนต้องลาออกจากงานประจำ เครื่องมาเทรนเป็นพนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน ด้วยความหวังว่าจะได้ติดปีก แต่อยู่ดีๆ สายการบินก็ปิดตัวลง ทุกคนถูกลอยแพ ต้องเริ่มนับหนึ่งหางานใหม่กันอีกครั้ง แต่ผมก็ยังโชคดีกว่าอีกหลายๆคน ที่ยังรับงานเดินแบบได้อยู่ แต่ก็ต้องเริ่มหางานประจำมาทำใหม่อีกครั้ง ตอนนั้นคิดว่า ทำไมต้องเป็นแบบนี้ เมื่อไหร่จะเป็นที่ของเราบ้าง ท้อใจมาก เคยร้องไห้ก็มี เพราะเงินที่เก็บไว้ ก็เอามาใช้จ่ายในระหว่างเทรน จนเกือบหมด
จนในที่สุด ผมก็ทำสำเร็จ ได้เป็นพนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน ของสายการบินห้าดาว ที่เชื่อว่า ทุกคนต้องรู้จัก ผมใช้เวลาเก็บเงิน 3 ปี สามารถซื้อบ้านซื้อรถได้รับน้องมาอยู่ด้วยกันแล้วครับ ตอนนี้ก็ส่งน้องเรียนมหาลัย ชีวัตตอนนี้ก็มีความสุขดีครับ
มีหลายครั้ง ที่ผมแอบร้องไห้กับตัวเอง มันท้อแท้ในโชคชะตาของชีวิต แต่ผมก็ให้กำลังใจตัวเองมาตลอด ว่าต้องทำได้ ขอแค่มีความพยายามให้มากพอ มันเป็นเหมือนกฎของแรงดึงดูด ในสิ่งที่เราต้องการ
ผมอยากให้ทุกคน ที่กำลังท้อ หรือมีอุปสรรคในชีวิต ต้องอดทน และฟันฝ่าอุปสรรคไปให้ได้ แล้วจะพบกับความสุขที่เราต้องการอย่างแน่นอนครับ
กว่าชีวิตจะไปถึงวันนี้ มันไม่ง่าย แต่ก็คุ้ม
ตั้งแต่จำความได้ จำได้ว่าที่บ้านค่อนข้างมีเงิน ไม่ถึงกับร่ำรวยแต่มีเงินใช้ไม่ขาดมือ อยากไปไหนได้ไปอยากกินก็ได้กิน ตามประสาเด็กต่างจังหวัด
ที่บ้านเปิดร้านขายของ และมีปั๊มน้ำมัน ในวันเสาร์อาทิตย์ ที่บ้านจะมีคนมาเล่นไพ่ ดูมวยกันเยอะมาก ยิ่งช่วงหน้าฝน ที่กรีดยางไม่ได้ บางคนมาเล่นไพ่อยู่เป็นอาทิตย์ ในช่วงนั้นจำได้ว่า เป็นช่วงที่บ้านเฟื่องฟูมาก แต่พ่อผมก็เป็นคนที่รักสนุก หมายถึงชอบเล่นไพ่ เล่นการพนัน ชอบกินเหล้า บางครั้งจำได้ว่าพ่อยกเหล้าหรือเบียร์เป็นลังๆเพื่อมาเลี้ยงเพื่อน มีหลายครั้งพ่อทะเลาะกับแม่ เรื่องพ่อขนของที่ขายเพื่อไปเลี้ยงเพื่อนเป็นจำนวนมาก
ผมก็ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขปกติดี เมื่อประมาณ ป. 5 แม่เริ่มป่วย ตอนนั้นเรายังเด็กมากไม่รู้ว่าแม่ป่วยเป็นโรคอะไรก็ตระเวนรักษาไปเรื่อยๆ ที่ไหนว่าดีก็ไปหมด ทั้งโรงพยาบาลของรัฐ โรงพยาบาลเอกชน ถึงแม้กระทั่งทรงเจ้าเข้าผีก็ไปลองมาหมดแล้ว บางครั้งต้องหยุดเรียนเป็นอาทิตย์ เพื่อตามแม่ไปรักษาตัวที่ต่างๆ แต่อาการของแม่ก็ไม่ดีขึ้น กลับทรุดลงเรื่อยๆ
ตอนนั้นผมเป็นคนเดียวที่คอยตามแม่ไปทุกที่ เพราะพ่อต้องอยู่บ้านดูแลน้องๆ และขายของที่บ้าน จนกระทั่งใกล้เปิดเทอมจะขั้น ป.6 อาการของแม่ก็ยังไม่ดีขึ้น จากที่เมื่อก่อนจำได้ว่าแม่เป็นคนสวยผิวขาว แต่ตอนนี้ แม่ผอมมาก เหลือเพียงหนังหุ้มกระดูกก็ว่าได้ ก็เลย้ายแม่มาอยู่ที่บ้านย่า ที่อยู่ในตัวเมือง เพื่อใกล้โรงพยาบาลมากขึ้น ตอนนั้นเหมือนแม่ต้องไปโรงพยาบาลบ่อยมาก ผมก็ไปกับแม่ทุกครั้ง
จนมีครั้งนึง แม่อาการไม่ดีเลย ต้องรีบไปโรงพยาบาลด่วนมาก พอไปถึงโรงพยาบาล ไม่มีห้องว่าง ห้องรวมเตียงก็เต็ม แต่สักพัก พยาบาลก็บอกว่า มีห้องกระจกที่อยู่ในห้องรวม แต่ผู้ป่วยคนล่าสุดที่เสียชีวิตไปเมื่อเช้าเป็นคนแก่ จะให้แม่อยู่ที่ก่อนไหม ซึ่งตอนนั้นเราไม่มีตัวเลือกก็ต้องอยู่ห้องนั้นไปก่อน แม่ก็บอกผมว่าก่อนนอนให้ไปซื้อพวงมาลัยมาไหว้เจ้าที่ก่อน ผมก็ทำตามที่แม่บอก
ดูเหมือนทุกอย่างจะเรียบร้อย พอตกกลางคืน ประมาณตี 2 ผมซึ่งนอนเฝ้าแม่อยู่ข้างเตียง ต้องตกใจสะดุ้งตื่น แม่เอามือเคาะกับรั้วข้างเตียงเสียงดังมาก แม่บอกว่า แม่ลืมตามาเห็น ลุงคนที่เพิ่งเสียชีวิตไปเมื่อเช้า กำลังนั่งคร่อมตัวแม่แล้วทำท่าจะบีบคอ แม่พยายามตะโกนแล้วแต่ไม่มีเสียง เลยเอามือเคาะกับรั้วขอบเตียเพื่อให้ผมตื่น ตอนนั้นด้วยความที่ยังเด็กก็คิดว่าแม่คงฝันไป สรุปแม่ผมก็นอนห้องนั้นตอบอีก 2 คืน ร่างกายแม่กลับดีขึ้นเหมือนมีปฏิหาร แม่สามารถเดินได้ ทานอาหารได้มากขึ้น หลังจากนั้นพ่อก็มารับกลับไปอยู่บ้านย่าเหมือนเดิม
หลังจากกลับไปอยู่บ้านย่าได้ไม่นาน อาการแม่ก็ทรุดลงไปอีก ซึ่งดูเหมือนว่าจะทรุดหนักกว่าเก่าด้วยซ้ำไป ก่อนเปิดเทอมไม่ถึงอาทิตย์ แม่ผมก็ได้เสียชีวิตลง ที่แคร่ไม้ไผ่ใต้ถุนบ้านย่า หลังจากนั้นเหมือนผมไม่ได้สติตัวเองเลย อันนี้ฟังจากที่พ่อให้ฟัง ว่าผมเดินร้องไห้ไปทั่วบ้าน
หลังจากเสร็จงานศพแม่ พวกเราทุกคนที่เหลืออยู่ก็กลับไปอยู่บ้านตามเดิม มีพ่อ ผม และน้องสาวอีก 2 คน ตอนนั้นน้องสาวคนเล็กประมาณ 4 ขวบ ฐานะทางการเงินของที่บ้านก็เปลี่ยนไปทันที พ่อหมดเงินไปกับการรักษาแม่ ประมาณเกือบ 2 ล้านบาท ของที่เคยขายที่บ้านก็หร่อยหรอลงไปเรื่อย ปั๊มน้ำมัน ก็ต้องขายออกไป เงินที่เก็บไว้ก็ไม่เหลือ
จากเมื่อก่อนทุกเสาร์อาทิตย์จะมีคนมาที่บ้านมากกว่า 20 คนเพื่อมาเล่นไพ่ ดูมวย แต่หลังจากงานศพแม่ไม่มีใครมาที่บ้านเลย เพื่อนบ้านหลายคนก็เปลี่ยนไป จากที่เมื่อก่อนเคย มาอยู่มากินก็เป็นอาทิตย์ไม่มาอีกเลย ลูกค้าที่เคยเป็นหนี้ที่บ้าน ก็หายไปหมด ทุกวันนี้สมุดบัญชีคนที่เคยมาซื้อของแล้วยังไม่จ่ายเงินผมยังเก็บไว้อยู่เลย
ทุกๆคืนพ่อลุกขึ้นมานั่งร้องไห้ แล้วพูดคนเดียวตลอด จนผมกัน้องก็ต้องนอนกอดกันร้องไห้ด้วย ตอนนั้นยอมรับเลยว่าชีวิตลำบากมาก รถที่เคยมีใช้ก็ไม่มี เพราะพ่อขายไปตอนเอาเงินไปรักษาแม่ ผมต้องตื่นตี 4 ทุกวัน เพื่อมาหุงข้าว ล้างจานเตรียมอาหารให้น้องก่อนไปโรงเรียน บางวันไข่ต้ม 2 ฟอง ก็ต้องกินกัน 3 คนพี่น้อง แล้วเดินเท้าจากบ้านอีก 2 กิโลเมตรเดินไปหน้าปากซอย เพื่อโบกรถไปโรงเรียน บางวันต้องโบกถึง 3 ต่อกว่าจะถึงโรงเรียน ไปโรงเรียนสายเกือบทุกวัน ยิ่งช่วงหน้าฝน ทางที่ปกติจะเป็นดินแดง จะกลายเป็นขี้โคนทันที ชุดนักเรียนใส่ถุงไป แล้วไปแต่งตัวที่โรงเรียน
บางวันได้เงินไปโรงเรียนแค่ 5 บาท จะปกติ ได้ประมาณ 50 บาท บางครั้งแม้แต่ข้าวสารจะหุงก็ไม่มี ผมกับน้องสาวอีกสองคนอยู่คนละโรงเรียน โรงเรียนของน้องจะเลี้ยงอาหารกลางวัน พ่อเคยบอกว่า ให้น้องไปโรงเรียนเถ่อะ อย่างน้อยก็ได้กินข้าวฟรีที่โรงเรียนตอนกลางวัน ส่วนผมก็อดบ้างกินบ้าง ตอนนั้นบอกเลยว่าชีวิตลำบากมาก ไม่เคยคิดว่ากับที่เราสบายมาตลอด จะมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร
ระหว่างนั้น เพื่อนบ้านที่เคยคบค้าสมาคมกันเป็นอย่างดี เปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังตีนก็ว่าได้ พวกเขากลับดูถูกที่บ้านผมต่างๆนานา ผมมักถูกเพื่อนล้อว่าเด็กไม่มีแม่ มันเป็นความเจ็บใจ เสียใจ ที่พูดไม่ออก
จนกระทั่งจบม. 3 พ่อบอกว่าพ่อไม่มีเงินส่งเรียนแล้ว แต่ผมอยากเรียนมาก ผมบอกพ่อว่า ให้ทำอะไรก็ยอมแค่ขอให้ได้เรียนหนังสือ พ่อไม่ตอบ แต่พอน้ำตาไหล
ผมคิดว่ามันคงถึงเวลาแล้วแหละที่เราต้องดูแลตัวเอง ผมตัดสินใจโทรหาญาติที่กรุงเทพ บอกว่าผมอยากเรียนหนังสือ ผมก็มาอยู่กับญาติที่กรุงเทพ อยู่กับญาติชีวิตก็ไม่ได้สบายมากนัก ต้องช่วยเขาทำงานทุกอย่างต้องซักผ้า ถูบ้าน ล้างจาน ช่วยขายของ แต่มันก็ไม่ได้หนักหนาอะไร เพราะก็ลำบากกว่านี้ก็ผ่านมาแล้ว
ตอนนั้นผมตั้งใจเรียนมาก และดูเหมือนว่าทุกอย่างกำลังจะดีขึ้น แต่ความจริงก็ไม่เป็นเช่นนั้น ช่วงปิดเทอมม. 5 ญาติที่ต่างจังหวัดโทรมาบอกว่า พ่อเสียชีวิตกะทันหัน ตอนนั้นผมบอกเลยว่าผมไม่ได้ร้องไห้ แต่เสียใจมาก เหมือนพ่อเป็นเสาหลักสุดท้ายที่เราจะพึ่งพิง เหมือนมันเป็นความเสียใจที่สุด แต่ร้องไห้ไม่ออกพูดไม่ออก ผมสงสารน้องมาก ใครจะดูแลน้องต่อ ผมก็ยังเรียนไม่จบ
หลังจากเสร็จงานศพพ่อ ญาติๆ ลงความเห็นว่า จะส่งน้องไปที่โรงเรียนเด็กกำพร้า ผมเสียใจมาก แต่ก็ไม่รู้จะทำยังไง คิดไว้เสมอว่า สักวันผมจะเอาน้องกลับมาอยู่ด้วยอย่างแน่นอน ตอนนั้นน้องสาวคนเล็กอายุประมาณ 10 ขวบ ก็ต้องไปอยู่โรงเรียนเด็กกำพร้า ซึ่งก็ต้องดูแลตัวเองทุกอย่าง
ช่วงปิดเทอมผมก็กลับไปเยี่ยมน้องที่โรงเรียน พอเห็นความเป็นอยู่ในโรงเรียน ผมร้องไห้ทันที ไม่คิดว่ามันจะลำบากขนาดนี้ เด็กส่วนใหญ่ที่มาอยู่โรงเรียนนี้ จะเป็นเด็กกำพร้า บางคนพ่อแม่ติดคดี ติดคุก ติดยา เลยต้องส่งลูกมาอยู่โรงเรียนแบบนี้ เด็กบางคนไม่เคยได้กลับบ้านก็มี เพราะที่บ้านไม่มีใครเลย ส่วนน้องสาวผมก็ยังดี ที่ยังพอมีญาติ มารับกลับบ้านช่วงปิดเทอมบ้าง
จนกระทั่งผมจบม. 6 ผมก็รู้ชะตากรรมตัวเองแล้วว่า ถ้าเรียนมหาลัยปิดทั่วไป ผมคงไม่มีเงินเรียนอย่างแน่นอน ผมเลยตัดสินใจเรียนที่รามคำแหง ผมคิดอย่างเดียวว่า ต้องเรียนให้จบเร็วที่สุด เพื่อที่จะได้ทำงานเลยเอาน้องมาอยู่ด้วย ผมใช้เวลาเรียนที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง 2 ปีครึ่ง ก็จบแล้วทำงานทันที หลังจากจบผมก็ทำงานทันทีแต่ในความเป็นจริงแล้ว เด็กจบใหม่เมื่อ 12 ปีที่แล้ว จากมหาวิทยาลัยรามคำแหง เงินเดือนน้อยมาก ไม่เกิน 9000 บาท ลำพังแค่ตัวผมค่ากิน ค่าอยู่ ค่ารถ ก็แทบจะหมดแล้ว
พอทำงานได้สัก 2 ปี เริ่มคิดได้ว่า จะอยู่อย่างนี้ต่อไปไม่ได้แน่นอน ต้องมีวิชาอะไรติดตัวสักอย่าง ตัดสินใจเอาเงินที่เก็บอยู่ทั้งหมดตอนนั้น ทั้งหมดประมาณ 3000 บาท เพื่อไปลงเรียนภาษาอังกฤษ ตั้งใจจะไปสอบ toeic เพื่ออัพเกรดเงินเดือน หรืออาจจะย้ายงานที่ได้เงินเดือนมากขึ้น
ความบังเอิญสถาบันที่ผมไปเรียนภาษาอังกฤษ มีหลักสูตรสำหรับแอร์ และสจ๊วตด้วย ตอนนั้นบอกเลยว่า ผมไม่รู้ว่าแอร์ สจ๊วตคืออะไร ไม่เคยขึ้นเครื่องบิน ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับวงการอาชีพนี้เลย ผมเลยถามเจ้าหน้าที่ที่โรงเรียนว่าอาชีพนี้เป็นไง พอได้ฟังคำตอบ ที่เกี่ยวกับเงินเดือนของอาชีพนี้ ผมตัดสินใจทันทีว่า ต้องเป็นสจ๊วตให้ได้ ผมเลยเปลี่ยนคอร์สที่จะเรียน toeic เพื่อไปเรียนหลักสูตรสจ๊วต แต่เงินผมไม่พอที่จะเรียนคอร์สสจ๊วต ผมเลยจ่ายไป 3000 บาทก่อน ส่วนที่เหลือ จะมาจ่ายก่อนวันเปิดคอร์ส
ซึ่งตอนนั้นเป็นความโชคดีมาก มีโมเดลลิ่งมาแนะนำผมให้ไปเดินแบบ แบรนด์เสื้อผ้าต่างๆ ตอนนั้นบอกได้คำเดียวว่า ดีใจมากๆ ไม่คิดว่าจะเด็กต่างจังหวัดจนๆ จะได้มาทำงานแบบนี้ และได้เงินเยอะกว่าที่คิดไว้มาก ตอนนั้นสนุกกับการเดินแบบมาก มันเป็นงานที่ง่ายและได้เงินเร็ว แต่ผมก็ต้องเสียเงิน 3000 ไป เพราะกว่าจะจ่ายครบ เขาก็เปิดคอร์สไปแล้ว แต่ถึงยังไงผมก็ไม่ลืมควาตั้งที่จะเป็นสจ๊วตอย่างแน่นอน
ระหว่างนั้นผมก็ยังทำงานออฟฟิศไปด้วย และรับงานเดินแบบด้วย จนเมื่อเก็บเงินครบพอที่จะสมัครเรียนคอร์สสจ๊วตได้แล้ว ผมก็ไปสมัครเรียนทันที ได้ไปเรียนบ้างไม่ได้ไปเรียนบ้าง เพราะบางทีหลังเลิกงานต้องรีบไปรับงานในห้างทันที หรือบางทีก็ทำงานแค่ครึ่งวัน จนบางครั้ง หัวหน้างานก็เรียกเข้าไปตักเตือนเรื่องที่ผมลางานบ่อย แต่ผมก็เข้าใจนะยอมรับผิดทุกกรณี
ผมได้ย้ายงานไปอยู่ที่อีกบริษัทนึง เจ้านายใจดีมาก สามารถลาเท่าไหร่ก็ได้ ก็หักเงินตามวันลา แต่ห้ามกระทบกับงานหลักที่ทำอยู่ ที่นี้ผมก็ลาไปเดินแบบได้สบาย
ช่วงที่สอบ toeic ผมสอบไม่ต่ำกว่า 10 ครั้ง จนกว่าจะได้คะแนนที่พอใจ จำได้เลยครั้งแรกที่สอบ ได้คะแนน 350 คะแนน ผมสอบตั้งแต่ค่าสอบ toeic ราคา 800 บาท ครั้งสุดท้ายที่สอบ ค่าสอบ 1500 บาท
ตอนที่สมัครสจ๊วต มันเป็นอาชีพที่ต้องลงทุนพอสมควร สำหรับคนเงินน้อยอย่างผม ทั้งเสื้อผ้าหน้าผม รูปถ่าย ทุกอย่างต้องเพอร์เฟค ผมสมัครทุกสายการบินที่เปิด สายการบินบางกอกแอร์เวย์ 2 ครั้ง สายการบินการ์ต้า 3 ครั้ง สายการบิน emirates 2 ครั้ง แอร์เอเชีย 3 ครั้ง การบินไทย 2 ครั้ง สายการบินเล็กๆอีกไม่ต่ำกว่า 5 ครั้ง
มีครั้งนึงได้สายการบินที่เพิ่งเปิดใหม่ พวกเราดีใจกันมาก ที่จะได้งานที่ฝัน ทุกคนต้องลาออกจากงานประจำ เครื่องมาเทรนเป็นพนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน ด้วยความหวังว่าจะได้ติดปีก แต่อยู่ดีๆ สายการบินก็ปิดตัวลง ทุกคนถูกลอยแพ ต้องเริ่มนับหนึ่งหางานใหม่กันอีกครั้ง แต่ผมก็ยังโชคดีกว่าอีกหลายๆคน ที่ยังรับงานเดินแบบได้อยู่ แต่ก็ต้องเริ่มหางานประจำมาทำใหม่อีกครั้ง ตอนนั้นคิดว่า ทำไมต้องเป็นแบบนี้ เมื่อไหร่จะเป็นที่ของเราบ้าง ท้อใจมาก เคยร้องไห้ก็มี เพราะเงินที่เก็บไว้ ก็เอามาใช้จ่ายในระหว่างเทรน จนเกือบหมด
จนในที่สุด ผมก็ทำสำเร็จ ได้เป็นพนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน ของสายการบินห้าดาว ที่เชื่อว่า ทุกคนต้องรู้จัก ผมใช้เวลาเก็บเงิน 3 ปี สามารถซื้อบ้านซื้อรถได้รับน้องมาอยู่ด้วยกันแล้วครับ ตอนนี้ก็ส่งน้องเรียนมหาลัย ชีวัตตอนนี้ก็มีความสุขดีครับ
มีหลายครั้ง ที่ผมแอบร้องไห้กับตัวเอง มันท้อแท้ในโชคชะตาของชีวิต แต่ผมก็ให้กำลังใจตัวเองมาตลอด ว่าต้องทำได้ ขอแค่มีความพยายามให้มากพอ มันเป็นเหมือนกฎของแรงดึงดูด ในสิ่งที่เราต้องการ
ผมอยากให้ทุกคน ที่กำลังท้อ หรือมีอุปสรรคในชีวิต ต้องอดทน และฟันฝ่าอุปสรรคไปให้ได้ แล้วจะพบกับความสุขที่เราต้องการอย่างแน่นอนครับ