อันเนื่องมาจาก “เสี่ยเจริญ” ซื้อหุ้น Big C : โดย คุณชายมะนาว..กับหุ้นสายสีลม

บทความโดย : คุณชายมะนาว..กับหุ้นสายสีลม



ข่าวการลงทุนที่ร้อนแรงมากที่สุดในช่วงเวลานี้คงหนึไม่พ้นกรณีที่  “เสี่ยเจริญ” (เจริญ สิริวัฒนภักดี) ได้แผ่ขยายอาณาจักรธุรกิจของตัวเองไปอีกขั้น โดยการก้าวเข้ามาสู่วงการค้าปลีกในไทยอย่างมีนัยสำคัญหลังจากที่ได้เพียรพยายามอยู่หลายครั้งหลายคราว ไม่ว่าจะเป็นความพยายามในการเข้าซื้อกิจการ “คาร์ฟูร์” (Carrefour), แฟมิลี่มาร์ (FamilyMart) หรือแม้กระทั่ง “แม็คโคร” (makro)  ซึ่งจนแล้วจนรอดก็ยังไม่สามารถคว้ามาได้สักครั้ง



แต่เมื่อขึ้นชื่อว่าเป็น “เสี่ยเจริญ”  แล้วก็ไม่มีทางที่จะลดละความพยายามในการต่อยอดกลุ่มธุรกิจของตนเอง ในที่สุดก็สามารถเข้าซื้อกิจการ “Big C” จากกลุ่ม “คาสิโน” ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ได้เป็นผลสำเร็จ โดยบริษัท ทีซีซี คอร์ปอเรชั่น จำกัด ซึ่งเป็นธุรกิจในเครือของ “เสี่ยเจริญ” ได้ทำการซื้อขายหุ้น จากกลุ่ม “คาสิโน” รวมทั้งสิ้นจำนวน 483,077,600 หุ้น คิดเป็นจำนวน 58.56% ของหุ้นชำระแล้วทั้งหมด

ประเด็นที่ผมอยากจะกล่าวถึงก็คือ ในเรื่องของการลงทุนนั้นเราควรจะลงทุนในหุ้นของกิจการที่มีแผนการเข้าไปลงทุนในกิจการอื่นๆหรือไม่  ซึ่งผมก็มีข้อเสนอแนะบางประการที่ท่านควรจะพิจารณาก่อนการตัดสินใจลงทุนโดยให้พิจารณาเป้าหมายในการลงทุนของกิจการนั้นๆว่าเป็นไปในลักษณะใด

1.  ลงทุนในกลุ่มธุรกิจเดียวกัน

การลงทุนในลักษณะนี้จะเป็นการเพิ่มความเข้มแข็งในธุรกิจหลักของกิจการ เพราะเป็นการขยายเครือข่ายซึ่งจะช่วยเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาดให้กับธุรกิจได้เป็นอย่างดี  ตัวอย่างเช่น กรณีโรงพยาบาลกรุงเทพ ที่พยายามสร้างเครือข่ายด้วยการลงทุนในโรงพยาบาลต่างๆกว่า 40 แห่ง จนกลายเป็นเครือข่ายโรงพยาบาลที่มีส่วนแบ่งทางการตลาดสูงสุด เพราะสามารถสร้างเคลือข่ายโรงพยาบาลได้ครอบคลุมมากที่สุด

                กิจการที่มีแผนการดำเนินธุรกิจเพิ่มความเข้มแข็งด้วยกลุ่มธุรกิจหลักจะเป็นกิจการที่ท่านสามารถลงทุนได้อย่างปลอดภัยเพราะเป็นธุรกิจที่มีโอกาสเจริญเติบโตได้อย่างเข้มแข็งในอนาคต



2.  ลงทุนต่างกลุ่มธุรกิจเพื่อการต่อยอดเชื่อมโยงกลุ่มธุรกิจที่มีอยู่เข้าด้วยกัน

การลงทุนในลักษณะนี้แม้ว่าจะต่างธุรกิจกันแต่ก็สามารถสร้างความเข้มแข็งให้กับกลุ่มธุรกิจได้ ตัวอย่างเช่น กรณีของ “เสี่ยเจริญ” ที่ต่อยอดธุรกิจด้วยการเข้าซื้อหุ้นของ Big C ซึ่งจะทำให้มีพื้นที่รองรับสินค้าของกลุ่มธุรกิจ  (เช่นจาก BJC , OISHI)  สร้างการแข่งขันด้านธุรกิจค้าปลีกที่มีความชัดเจนมากขึ้นแม้ว่าก่อนหน้านี้จะมี ทีซีซี แอสเซ็ทส์  และ ทีซีซี แลนด์ แอสเสท เวิรด์ ที่ทำการรุกตลาดศูนย์การค้าไปก่อนหน้าแล้ว ทั้งหมดคือการต่อยอดเช่ื่อมโยงเพื่อสร้างความเข้มแข็งให้กับกลุ่มธุรกิจของตนเอง

              กิจการที่มีแผนการดำเนินธุรกิจในลักษณะนี้จะเป็นกิจการที่ท่านสามารถลงทุนได้อย่างปลอดภัยเช่นเดียวกัน



3. ลงทุนต่างกลุ่มธุรกิจ และไม่สามารถเชื่อมโยงกลุ่มธุรกิจได้

การลงทุนในลักษณะนี้เป้าหมายของกิจการคือต้องการกระจายความเสี่ยงทางธุรกิจเท่านั้น จนบางครั้งเป็นเพียงการส่งเสริมภาพลักษณ์เท่านั้นเอง ไม่ใช่เพื่อการสร้างความเข้มแข็งทางธุรกิจอย่างแท้จริง  ตัวอย่างเช่น ในปีที่แล้วกลุ่มพลังงานทางเลือกคือกลุ่มที่ถูกหยิบยกมาเป็นมาเป็นข้ออ้างในการส่งเสริมภาพลักษณ์กิจการของตัวเองมากที่สุด  บริษัทเหล็กที่หันไปลงทุนในธุรกิจพลังงานทางเลือก แต่สัดส่วนการลงทุนช่างน้อยนิดเหลือเกินจนไม่มีสาระสำคัญที่จะสร้างความเข้มแข็งให้กับธุรกิจได้เลย เป็นต้น  การลงทุนในกิจการที่มีแผนการดำเนินงานในลักษณะนี้จัดว่ามีความเสี่ยง ดังนั้นจะต้องเพิ่มความระมัดระวังก่อนการตัดสินใจลงทุน เพราะแผนการดำเนินธุรกิจนั้นอยู่บนพื้นฐานของการการกระจายความเสี่ยง ไม่ได้อยู่บนพื้นฐานของการสร้างความเข้มแข็งเพื่อการเจริญเติบโตของกิจการ



ข้อควรระวัง ที่ท่านควรจะพิจารณาเพิ่มเติมก็คือ เงินลงทุนที่กิจการนำมาใช้นั้นมาจากแหล่งใด ซึ่งก็ควรจะเป็นเงินลงทุนที่เกิดจากการกู้ยืมน้อยที่สุด ไม่เกินตัวจนเกินไป หากมีการเพิ่มทุนก็จะต้องไม่เป็นไปในลักษณะเพิ่มทุนแล้วเพิ่มทุนอีก เพราะนั่นเป็นการบ่งบอกถึงฝีมือการบริหารที่ล้มเหลวจนต้องหาทางออกด้วยการเพิ่มทุนอย่างต่อเนื่อง  รวมถึงการลงทุนนั้นจะต้องไม่เป็นไปเพื่อการรวมตัวกันเพื่อสร้างความอยู่รอดให้กับธุรกิจที่กำลังรอวันตายเท่านั้นเอง


ขอบพระคุณทุกท่านที่กรุณาติดตาม หากไม่รังเกียจกรุณาช่วยกด Like facebook หรือช่วยแชร์ ส่งต่อสิ่งดีๆเหล่านี้ให้กับสังคมด้วยนะครับ และขอเชิญมาร่วมเป็นส่วนหนึ่งของแฟนเพจ..สังคมเล็กๆที่อบอุ่น เพื่อเป็นกำลังใจในการสร้างสรรค์สิ่งดีๆคืนให้กับสังคมต่อไป.

บทความโดย : คุณชายมะนาว..กับหุ้นสายสีลม
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่