อ่แงเต้ยอดชั่ว (๔) ๕ ก.พ.๕๙

ทบทวนพงศาวดารจีน

ฮ่องเต้ยอดชั่ว

ตอนที่ ๔ แผ่นดินสิ้นคนเลว

“ เล่าเซี่ยงชุน “

ระหว่างที่หลีซือหงวน ยังไม่ตัดสินใจว่าจะทำอย่างไร ทหารทั้งกองทัพของตน ก็ห้อมล้อมพาตัวแม่ทัพจะเข้าเมืองเงียบเสีย ฝ่ายที่ตั้งตัวเป็นกบฏอยู่ในเมืองไม่ยอมให้เข้า เกรงว่าจะเป็นกลอุบาย จึงเกิดการสู้รบกันขึ้น พวกกบฏในเมืองเสียที เตียไจลี้ผู้เป็นหัวหน้าถูกฆ่าตาย นายทหารทั้งปวงจึงพาหลีซือหงวนเข้าไปในเมือง พูดจาเกลี้ยกล่อมทหารและราษฎรให้สิ้นความกลัว และเชื่อถือเป็นปกติ ก็มีขุนนางที่จงรักภักดีต่อพระเจ้าจังจงฮ่องเต้ พูดกับหลีซือหงวนว่า

“………พระเจ้าจังจงฮ่องเต้ได้ทรงวางพระทัย ให้ท่านเป็นแม่ทัพยกออกมาปราบปราม ผู้ซึ่งเป็นกบฏเสี้ยนหนามสำเร็จแล้ว บัดนี้มีคนเป็นอันมากมาพูดจาข่มขืน จะยกท่านขึ้นเป็นเจ้าแผ่นดิน ถ้าท่านยังรออยู่กับคนเหล่านี้ ความทราบไปถึงพระเจ้าจังจงฮ่องเต้ ก็คงจะระแวงสงสัย ภัยอันตรายก็จะบังเกิดมีมาถึงท่าน ขอท่านจงเร่งยกกองทัพกลับไปเฝ้ากราบทูล ชี้แจงให้สิ้นความที่มัวหมอง……”

หลีซือหงวนก็เห็นชอบด้วย จึงสั่งให้นายทหารตระเตรียมที่จะยกกองทัพกลับ แต่นายทหารทั้งหลายไม่ยอมปฏิบัติตาม หลีซือหงวนจึงทำหนังสือกราบทูลฮ่องเต้ให้ทรงทราบความ ที่ไพร่พลทั้งหลายไม่ยอมให้ตนยกทัพกลับ แล้วก็ปรึกษานายทัพนายกอง ย้ายไปตั้งอยู่ที่เมืองเซียงจิว เมื่อเจ้าเมืองอื่นได้แจ้งความก็พากันมาสามิภักดิ์ด้วย เป็นหลายเมือง

พระเจ้าจังจงฮ่องเต้ได้ทราบความที่ นายทัพนายกองคนเก่าของหลีจีนอ๋อง จะยก หลีซือหงวนขึ้นเป็นเจ้าแผ่นดิน ก็ตกพระทัยจึงปรึกษากับขุนนางคนสนิททั้งสาม ว่าจะคิดอย่างไรจึงจะปราบปรามหลีซือหงวนได้ ทั้งสามนายก็ยังจนปัญญาอยู่ พอดีม้าใช้นำหนังสือของหลีซือหงวนมาให้ นอกเวลาเสด็จออก ทั้งสามนายก็เปิดผนึกออกอ่าน มีความว่า

กราบทูลพระเจ้าจังจงฮ่องเต้ ซึ่งพระองค์โปรดให้ข้าพเจ้าคุมกองทัพ มาตีเมืองเงียบเสีย ปราบปรามเตียไจลี้ซึ่งเป็นกบฏนั้นสำเร็จแล้ว เตียไจลี้ก็ตายในที่รบ บัดนี้นายทหารเก่า ๆ ของหลีจีนอ๋องซึ่งเป็นบิดา มาพูดจาข่มขืนจะยกข้าพเจ้าขึ้นเป็นเจ้า ข้าพเจ้าไม่ยอมก็พากันขัดขวางกั้นกางไม่ให้ข้าพเจ้ายกทัพกลับมาเฝ้า และใจข้าพเจ้านี้มีความซื่อสัตย์สุจริต หาได้คิดประทุษร้ายต่อพระองค์ไม่ ถ้ามีผู้ใดมาเพ็ดทูลกล่าวโทษข้าพเจ้าประการใด ขอพระองค์อย่าเพ่อเชื่อก่อน

ขุนนางทั้งสามนายก็ปรึกษากันว่า ความอันนี้เราได้กราบทูลฮ่องเต้ให้เชื่อแล้วว่า หลีซือหงวนเป็นกบฏ บัดนี้มีหนังสือเข้ามาว่าตัวยังสัตย์ซื่ออยู่นั้น ครั้นจะกราบทูลฮ่องเต้ก็จะกลับพระทัย เชื่อนับถือหลีซือหงวนดังแต่ก่อน ก็จะเป็นที่กีดขวางยศศักดิ์ และอำนาจของเราทั้งสามนัก จำเราจะปิดความในหนังสือเสีย ปรึกษากันแล้วก็นิ่งเฉยเสีย หาเอาความขึ้นกราบทูลฮ่องเต้ไม่

ทหารม้าใช้ของหลีซือหงวน ที่ถือหนังสือเข้ามา คอยฟังความอยู่หลายวันเห็นเงียบไป จึงสืบสวนได้ความแน่ว่า ขุนนางทั้งสามหาได้นำหนังสือขึ้นถวายฮ่องเต้ไม่ ก็รีบกลับไปบอกกับหลีซือหงวน เมื่อทราบเรื่องแล้วหลีซือหงวนก็ตกใจ จึงปรึกษากับขุนนางนายทหารว่า จะคิดประการใดดี ฮ่องเต้จึงจะทรงทราบความจริงใจของตนได้ เจียะเกงถังเจ้าเมืองฮัวไซจึงว่า

“…….บัดนี้ชื่อเสียงท่านก็ปรากฏว่า เป็นคนคิดทรยศต่อพระเจ้าแผ่นดินแล้ว ซึ่งจะกลับไปเมืองหลวงเข้ารับราชการต่อไปนั้น ที่ไหนจะสิ้นความหม่นหมอง อันตรายก็จะมีแก่ท่านโดยเร็ว ควรท่านจะต้องคิดการเลยไปตามคนทั้งหลาย ที่เขาเห็นพร้อมกันเป็นอันมากจึงจะชอบ…”

หลีซือหงวนก็ว่า ซึ่งจะคิดดังนั้นจะมิเป็นคนอกตัญญู เสียน้ำสบถไปหรือ เจียะเกงถังจึงว่า

“…….การซึ่งจะรักษาสัตย์สุจริตและกตัญญู ให้มั่นคงนั้นก็มีอยู่สถานหนึ่ง ที่ควรจะละเสียนั้นก็มีอยู่สถานหนึ่ง ครั้งนี้ท่านก็เปลี่ยนมาเป็นแซ่หลีแล้ว ถือสัตย์กตัญญูต่อพระเจ้าจังจงฮ่องเต้ผู้เดียวนั้น จะมีเสียสัตย์กตัญญูต่อพระเจ้าถังโกโจ๊ อันเป็นต้นวงศ์แซ่หลี ซึ่งได้ครอบครองแผ่นดินสืบเชื้อวงศ์ต่อ ๆ มา ก็บัดนี้พระเจ้าจังจงไม่เอาราชการ มัวแต่ประพฤติการเล่นอันหาประโยชน์มิได้ ถ้าแผ่นดินตกไปอยู่กับแซ่อื่นเสียแล้ว ตัวท่านก็จะไม่เป็นคนละความกตัญญู และตระกูลของท่านหรือ……..”

หลีซือหงวนได้ฟังดังนั้นก็นิ่งอั้น คิดอยู่ช้านาน ขุนนางนายทหารคนสนิทก็ว่าการครั้งนี้ท่านอย่ารวนเรเลย ถ้อยคำของเจียะเกงถังว่านี้ดีนัก จงตั้งหน้าไปอย่างเดียวเถิด พวกตนทั้งหลายก็เห็นพร้อมใจกันแล้ว หลีซือหงวนก็ถามว่าถ้าตกลงดังนั้น จะให้ตนทำประการใด เจียะเกงถังก็ให้ยกไปตีเมืองเปียนเหลียงเอาไว้เป็นที่มั่นก่อน หลีซือหงวนก็ทอดใจใหญ่ว่า ครั้งนี้เป็นการ จำเป็นแล้ว จะต้องยอมตามความปรารถนาของท่านทั้งหลาย

แล้วก็สั่งให้จัดกองทัพ ให้เจียะเกงถังกับเซียนฮองเป็นแม่ทัพหน้า หลีซือหงวนก็เป็นแม่ทัพใหญ่ เคลื่อนพลจากเมืองเซียงจิว ไปถึงเมืองเปียนเหลียงก็ให้ตั้งค่ายมั่นลงไว้

เมื่อพระเจ้าจังจงฮ่องเต้ซึ่งประทับอยู่ที่ลกเอี๋ยงเมืองหลวงทราบว่า หลีซือหงวนยกกองทัพมาตีเมืองเปียนเหลียง ก็ปรึกษาขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยว่าจะคิดสู้รบประการใด ยังไม่เป็นที่ ตกลงก็ได้ยินเสียงกลองและเสียงโห่ร้องก็องสนั่น ดังเข้าไปถึงในพระราชวัง จึงรับสั่งให้ทหารรักษาพระองค์ออกไปสืบดูว่า เสียงอันใดอื้ออึงหนักหนา ทหารรักษาพระองค์ก็เข้ามากราบทูลว่า นายทหารคนหนึ่งกับนายโรงงิ้วเป็นกบฏ คุมทหารเข้าตีประตูเฮ่งฮ้วยห ฮ่องเต้ก็ตกพระทัยมีรับสั่งให้นายทหารที่เข้าเฝ้าอยู่นั้น ออกไปเกณฑ์เอาราษฎรและทหารกองตระเวน มาป้องกันรักษาพระราชวัง ก็หามีราษฎรผู้ใดมาไม่ ต่างก็ปิดประตูบ้านรักษาครอบครัวอยู่ด้วยกัน ทุกบ้านทุกตำบล ฮ่องเต้ก็รับสั่งให้หานายทหารม้าและทหารเดินเท้า สำหรับล้อมรักษาพระราชวัง ก็ไม่มีผู้ใดมาเฝ้า

พระเจ้าจังจงฮ่องเต้จึงคุมทหารรักษาพระองค์ ออกไปสู้รบกับพวกโต้โผงิ้วเอง ครั้นพวกงิ้วกบฏแตกล่าถอยไป ก็เสด็จกลับเข้ามาในพระราชวัง กำลังเหนื่อยล้า ฮ่องเต้ก็เอนพระองค์ลงบรรทมอยู่ที่แท่นใต้ต้นไม้ใหญ่ โต้โผงิ้วก็พาพวกกบฏเผาประตูพระราชวังทำลายลง แล้วยกพลเข้ามาอีก ขุนนางและนายทหารรักษาพระองค์ ซึ่งอยู่กับฮ่องเต้ก็พากันหลีกเลี่ยงหลบหนีไปหาครอบครัว ทิ้งฮ่องเต้ไว้กับนายทหารสามคน กับทหารเลวเก้าคนต่อสู้ต้านทานพวกกบฏไว้ สุดท้ายฮ่องเต้ก็ถูกฝ่ายกบฏยิงด้วยเกาทัณฑ์ ล้มลงสิ้นพระชนม์

นางเซียวอิวนางงิ้วคนโปรด เห็นฮ่องเต้สิ้นพระชนม์ พระศพกลิ้งอยู่กลางพื้นดิน ก็เข้าไปกอดพระศพร้องไห้คร่ำครวญอาลัยรัก แล้วก็ไปขนเอาเครื่องแต่งตัวงิ้ว และเครื่องมโหรี มากองทับพระศพไว้แล้ว เอาไฟจุดเผาไหม้เสียจนสิ้นทราก ส่วนนางเล่าฮองเฮามเหสี ก็รวบรวมสิ่งของที่มีราคาใส่ถุง ผูกแขวนอานม้าไว้ แล้วก็จุดไฟเผาพระที่นั่งเกี้ยคงเต้ยลุกไหม้ขึ้น แล้วนางก็อุ้มบุตรที่เกิดด้วยฮ่องเต้ ขึ้นม้าหนีไป

พวกขุนนางพนักงานในพระราชวัง เห็นไฟไหม้ขึ้นในพระราชวัง ก็พาทหารพวกพ้องของตนเข้าไป พบนางสนมของฮ่องเต้สามสิบหกคน ก็ช่วยพาตัวหนีไฟออกไปแบ่งปันกันเอาเป็นเมียเสียทั้งสิ้น พวกราษฎรก็พากันเข้าไปเก็บข้าวของในพระราชวัง ที่หลงเหลือจากไฟไหม้ได้เป็นอันมาก

นายทหารกับโต้โผงิ้วที่เป็นกบฏ ก็ออกจากเมืองลกเอี๋ยงไปหาหลีซือหงวน ที่ค่ายหน้าเมืองเปียนเหลียง แจ้งความว่าในเมืองลกเอี๋ยงเกิดความวุ่นวาย ทหารและราษฎรพากันกำเริบขึ้น ทำร้ายพระเจ้าจังจงฮ่องเต้ สิ้นพระชนม์เสียแล้ว

หลีซือหงวนได้แจ้งดังนั้น ก็ร้องไห้เศร้าโศกถึงฮ่องเต้ ซึ่งเป็นน้องคนสุดท้ายของ แซ่หลี เป็นอันมาก และพูดกับนายทัพนายกองว่า

“……..การซึ่งเป็นดังนี้ ก็เพราะพระเจ้าจังจงฮ่องเต้ลุ่มหลงไปด้วยสตรี เชื่อถือแต่ขุนนางที่เป็นข้าหลวงเดิม ขุนนางเก่า ๆ ที่มีสติปัญญาก็ไม่ชุบเลี้ยง การอันตรายจึงได้มีมาถึง พระองค์…..”

ครั้นคลายความโศกแล้ว หลีซือหงวนก็ยกกองทัพรีบมาเมืองลกเอี๋ยง เข้าพักอยู่ที่บ้านเดิมของตน และสั่งกำชับนายทหารมิให้กระทำข่มเหงราษฎรให้ได้ความเดือดร้อน แล้วก็เข้าไปในพระราชวัง เห็นตำหนักน้อยใหญ่ถูกไฟไหม้เป็นเถ้าถ่านไปสิ้น มีผู้ชี้บอกที่ซึ่งฮ่องเต้สิ้นพระชนม์ ก็เห็นแต่อัฐิไหม้ไฟเรี่ยรายอยู่ หลีซือหงวนก็ให้ทหารเก็บใส่หีบ เอาไปฝังเสียตามธรรมเนียมศพพระมหากษัตริย์

แล้วขุนนางผู้ใหญ่ฝ่ายทหารและพลเรือน ก็พร้อมกันปรึกษาทำหนังสือเชิญ หลีซือหงวนขึ้นเป็นกษัตริย์ครองราชสมบัติ แต่หลีซือหงวนไม่ยอมรับ และตอบว่า

“…….ตัวเราเป็นคนต่างตระกูล หลีจีนอ๋องเอามาเลี้ยงเป็นบุตร จึงได้เปลี่ยนเป็นแซ่หลี ขอให้ท่านทั้งหลายหาเจ้านายที่เป็นแซ่หลีโดยแท้นั้น มาเป็นเจ้าครอบครองแผ่นดินต่อไปเถิด……”

ขุนนางทั้งหลายทั้งปวงจึงว่า

“……ซึ่งท่านจะบิดพริ้วอยู่ดังนี้มิควร ด้วยแผ่นดินและราษฎรจะเป็นสุขก็เพราะพระมหากษัตริย์ ผู้ครอบครองมีสติปัญญาและอำนาจมาก บ้านเมืองจึงจะมีความเจริญ ซึ่งจะเอาแต่คนที่มีตระกูลอันหาปัญญาและอำนาจมิได้ มายกย่องตั้งขึ้นให้เป็นผู้ครอบครองนั้น ก็เหมือนหนึ่งจะทำให้ไพร่ฟ้าข้าแผ่นดิน ได้รับความเดือดร้อนต่อไปอีก ตัวท่านนี้ราษฎรทั้งปวงก็นิยมนับถือ ว่าเป็นคนมีเมตตากรุณา แก่คนทั้งหลายมิได้เลือกหน้า ซึ่งท่านไม่รับครองราชสมบัตินั้น จะมิขาดเมตตาไปหรือ…….”

หลีซือหงวนได้ฟังดังนั้น ก็คิดตรึกตรองดูตามถ้อยคำซึ่งขุนนางกล่าวนั้น ถูกต้องทุกประการ จึงได้ยอมรับเป็นผู้ครอบครองแผ่นดินต่อไป เมื่อขุนนางทั้งปวงเตรียมจัดการราชาภิเษก หลีซือหงวนก็ให้ตั้งเครื่องเซ่นกษัตริย์ซึ่งได้ครองราชสมบัติมาแต่ก่อนให้พร้อม แล้วจึงคุกเข่าคำนับกล่าวคำอธิษฐานว่า

“………ซึ่งข้าพเจ้าจะครองราชสมบัติครั้งนี้ มิได้เป็นกบฏประทุษร้ายต่อพระเจ้าจังจงฮ่องเต้ ซึ่งมีพระคุณได้ชุบเลี้ยงมา ประการหนึ่งมได้ปรารถนายศและลาภ และความคิดพยาบาทจะทำร้ายท่านผู้อื่น ด้วยอำนาจอันใหญ่ด้วยเหตุสิ่งหนึ่งสิ่งใดเลย ซึ่งข้าพเจ้าเป็นกษัตริย์ครองราชสมบัติครั้งนี้ ก็เพราะมีความเมตตาแก่ราษฎร จะทำนุบำรุงให้มีความสุขโดยสุจริตอันอยู่ในยุติธรรม ขออำนาจพระมหากษัตริย์ตราธิราชเจ้า อันล่วงไปแล้วแต่ก่อน ๆ นั้น จงได้อภิบาลรักษาให้ข้าพเจ้าเจริญยืนยาวไป…….”

คำนับอธิษฐานแล้วก็เสด็จสถิตบนพระที่นั่งฮำเซียงเต้ย ขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยก็กราบถวายบังคม และถวายพระนามว่า พระเจ้าเหมงจงฮ่องเต้ แล้วฮ่องเต้องค์ใหม่ก็ตั้งนางเชาสีภรรยาใหญ่เป็นที่ฮองเฮา ตั้งหลีซองเถาพระราชบุตรเป็นที่ไทจือรัชทายาท แล้วพระราชทานนาง หยงเหนงกงจู๊พระราชบุตรี เป็นภรรยาเจียะเกงถัง ด้วยเห็นว่าเป็นผู้มีสติปัญญาและฝีมือเข้มแข็ง สมควรยกขึ้นเป็นฮู่ม้าหรือพระราชบุตรเขยได้ และก๊วยซองเคียมโต้โผงิ้วซึ่งเป็นผู้คิดเอาเมืองหลวงมาถวายนั้น ให้เป็นเจ้าเมืองเกงจิว

ต่อมาพระเจ้าเหมงจงฮ่องเต้ ก็คิดเฉลียวพระทัยว่า ก๊วยชองเคียมนี้เป็นผู้คิดร้ายต่อพระมหากษัตริย์ ซึ่งให้บำเหน็จเป็นเจ้าเมืองนี้ จะเป็นเยี่ยงอย่างแก่ขุนนางทั้งปวง จำจะต้องทำโทษเสียตามกฎหมายแผ่นดิน จึงให้นายทหารถือรับสั่งไปบอกแก่ก๊วยชองเคียมว่า การซึ่งคิดเอาเมืองถวายพระเจ้าเหมงจงฮ่องเต้นั้น ก็เป็นความชอบมาก ได้ทรงตั้งแต่งให้มียศเป็นเจ้าเมืองใหญ่ ก็สมควรแก่ความชอบแล้ว แต่พระเจ้าจังจงฮ่องเต้ได้ทรงชุบเลี้ยงให้มีความสุข ตนมาคิดประทุษร้าย ปลงเสียซึ่งพระชนม์ฮ่องเต้เจ้านายของตนนั้น มีโทษต้องด้วยกฎหมายให้ตายสามชั่วโคตร อย่าให้ก๊วยชองเคียมมีความเสียใจเลย จงตายไปตามโทษของตนที่ทำไว้เถิด นายทหารก็ไปเมืองเกงจิว ลงโทษก๊วยชองเคียมเสียตามรับสั่ง

เมื่อพระเจ้าเหมงจงฮ่องเต้ได้รับราชสมบัตินั้น มีพระชนมายุหกสิบปีเศษ พระองค์ก็ตั้งอยู่ในยุติธรรม ไพร่บ้านพลเมืองอยู่เย็นเป็นสุข ปราศจากเหตุชั่วร้ายในแผ่นดิน จนพระชนมายุได้หกสิบเก็าปี จึงสิ้นพระชนม์ด้วยพระโรคชรา

สิ้นบุตรของหลีจีนอ๋องคนสุดท้ายแต่เพียงนี้.

#########
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่