ถ้าทุกท่านได้ติดตามข่าวมาสักพัก จะเห็นว่าประเทศต่างๆ เริ่มใช้นโยบายดอกเบี้ยติดลบเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ทำไมมันถึงกระตุ้นเศรษฐกิจได้อย่างนั้นเหรอ ผมขออธิบายหน่อยละกัน เพื่อให้คนที่ไม่ค่อยเข้าใจหรือมือใหม่ได้เข้าใจได้มากขึ้น
เมื่อคุณนำเงิน 100 บาทไปฝากธนาคารที่มีดอกเบี้ยเป็นบวกเช่น +3% ต่อปี ดังนั้นเมื่อถึงสิ้นปีคุณจะได้เงิน 3 บาทจากดอกเบี้ย คุณจะมีเงินทั้งหมด 103 บาท แต่ถ้าดอกเบี้ยติดลบเช่น -3% ต่อปีแทน ดังนั้นสิ้นปีคุณก็จะเสียเงิน 3 บาทแทน แล้วเราควรทำอย่างไร ก็เอาเงินไปลงทุนอย่างอื่นแทนที่จะฝากธนาคารหรือซื้อพันธบัตรรัฐบาลที่ดอกเบี้ยติดดินแทน นี้ยังไม่นับเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นทุกปี
เอาล่ะ ผมว่าคุณพอเข้าใจได้บ้างแล้วว่า การทำดอกเบี้ยติดลบ ก็คือการนำเงินคุณออกจากบัญชีเงินฝากแล้วพยายามชี้นำคุณให้คุณนำเงินไปใช้จ่ายแทน ซึ่งความคิดนี้ทำให้รัฐบาลคิดว่าเศรษฐกิจจะกลับมาคึกคักอีกครั้ง แต่เมื่อคุณและผมยังไม่เชื่อมั่นในเศรษฐกิจ (ก็มีแต่ข่าวร้ายออกมาจากทั่วโลก) เราก็พยายามนำเงินไปเก็บไว้ที่อื่นแทน แทนที่จะเอามาใช้จ่าย ดังนั้นตลาดหุ้นจึงเป็นตัวเลือกที่ดี คราวนี้เงินก็จะไหลเข้ามาตลาดทุนอย่างต่อเนื่อง เรามาดูว่าประเทศไหนที่บังคับให้คุณเอาเงินออกมาบ้าง
ธนาคารกลางสวิสดำเนินนโยบายดอกเบี้ยติดลบที่ -0.75%
ธนาคารกลางของสวีเดนดำเนินนโยบายดอกเบี้ยติดลบที่ -1.10%
ธนาคารกลางเดนมาร์กดำเนินนโยบายดอกเบี้ยติดลบที่ -0.65%
ญี่ปุ่นมาทีหลังล่าสุด ลดดอกเบี้ยนโยบายติดลบที่ -0.10%
และธนาคารยุโรปลดดอกเบี้ยลงเหลือ -0.3%
ดังนั้นจะเห็นว่าจะมีเงินก้อนใหญออกจากประเทศเหล่านี้ เพราะอย่างที่เรารู้ว่าประเทศเหล่านี้เศรษฐกิจก็ไม่ค่อยจะดี ดังนั้นคนในประเทศนี้ก็อาจจะนำเงินไปลงทุนในประเทศอื่นที่เชื่อว่าเศรษฐกิจกำลังจะดี อย่างเช่น อเมริกาที่พึ่งขึ้นดอกเบี้ยไปไม่นาน เราอาจได้เห็นตลาดหุ้นขึ้นมาอีกครั้งแต่ว่า เศรษฐกิจของอเมริกาก็ยังไม่มั่นคงมากพอที่ทำให้เราไว้ใจ หรือประเทศเกิดใหม่ก็ยังไม่เห็นวี่แววว่าจะดี เช่นประเทศไทย เป็นต้น ดังนั้นเงินทุนจึงกระจายออกไปตามความเชื่อว่าประเทศเหล่านั้นจะฟื้น แต่หลักๆน่าจะอเมริกาและต่อมาก็กลุ่มประเทศเกิดใหม่อย่างเรา
จะเห็นว่าไม่มีความแน่นอนในตลาดทุน ดังนั้นเงินทุนก็ยังมีโอกาสกลับมาในอาเซียนตลอดเวลา ดังนั้นเรามาดูว่าเงินจะไปอยู่ที่หุ้นตัวไหนในตลาดหุ้นไทย ดัชนี MSCI จะมีการใช้ในการเข้าไปลงทุนของกองทุนต่างชาติ ดังนั้นเงินจากกองทุนจะอ้างอิงจากดัชนีนี้
เกณฑ์ที่ใช้ในการพิจารณาหุ้นของ MSCI
1. ต้องมี fund flow ที่สูง
2. ต้องมีสัดส่วนผู้ถือหุ้นต่างชาติที่สูง
3. มี market cap ในส่วนของผู้ถือหุ้นต่างชาติ 250 ล้านขึ้นไป
4. ดูพื้นฐานต่างๆ ในการประกอบการลงทุน
ดังนั้นจะเห็นว่า MSCI ให้ความสำคัญกับว่าหุ้นนั้นให้สิทธิต่างชาติถือได้มากน้อยแค่ไหนเป็นสำคัญ อาจจะไม่ใช่หุ้นที่ดีมาก แต่ราคาหุ้นเกิดจากความต้องการซื้อ ดังนั้นเมื่อมีคนซื้อราคาย่อมขึ้นแน่นอน ยิ่งเงินที่จะเข้าซื้อมีมากจากพวกเหล่ากองทุน
ที่มา :
https://www.msci.com/resources/factsheets/index_fact_sheet/msci-thailand-index-net.pdf
โดยตารางทางด้านขวาคือรายชื่อหุ้น 10 อันดับแรก และกราฟทางด้านซ้ายล่างคือสัดส่วนการลงทุนในกลุ่มต่างๆ แต่อย่างที่เรารู้ว่าหุ้นกลุ่มพลังงานอาจจะต้องเฝ้าระวังพอสมควร สุดท้ายถ้าชอบบทความนี้ ขอให้ช่วยกดไลค์ กดแชร์เพจเพื่อเป็นกำลังใจให้กับผู้เขียนได้มีผลงานต่อไป ขอบคุณทุกท่านที่ทนอ่านจนจบครับ
ติดตามเพจได้ที่
https://www.facebook.com/Investment-for-student-%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B8%A7%E0%B8%AD%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%B8%E0%B8%99-1519848498288167/
หรือกดค้นหา Investment for student - ตัวอ่อนนักลงทุน
เมื่อทั่วโลกดอกเบี้ยติดลบ เงินจึงต้องหาที่อยู่
เมื่อคุณนำเงิน 100 บาทไปฝากธนาคารที่มีดอกเบี้ยเป็นบวกเช่น +3% ต่อปี ดังนั้นเมื่อถึงสิ้นปีคุณจะได้เงิน 3 บาทจากดอกเบี้ย คุณจะมีเงินทั้งหมด 103 บาท แต่ถ้าดอกเบี้ยติดลบเช่น -3% ต่อปีแทน ดังนั้นสิ้นปีคุณก็จะเสียเงิน 3 บาทแทน แล้วเราควรทำอย่างไร ก็เอาเงินไปลงทุนอย่างอื่นแทนที่จะฝากธนาคารหรือซื้อพันธบัตรรัฐบาลที่ดอกเบี้ยติดดินแทน นี้ยังไม่นับเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นทุกปี
เอาล่ะ ผมว่าคุณพอเข้าใจได้บ้างแล้วว่า การทำดอกเบี้ยติดลบ ก็คือการนำเงินคุณออกจากบัญชีเงินฝากแล้วพยายามชี้นำคุณให้คุณนำเงินไปใช้จ่ายแทน ซึ่งความคิดนี้ทำให้รัฐบาลคิดว่าเศรษฐกิจจะกลับมาคึกคักอีกครั้ง แต่เมื่อคุณและผมยังไม่เชื่อมั่นในเศรษฐกิจ (ก็มีแต่ข่าวร้ายออกมาจากทั่วโลก) เราก็พยายามนำเงินไปเก็บไว้ที่อื่นแทน แทนที่จะเอามาใช้จ่าย ดังนั้นตลาดหุ้นจึงเป็นตัวเลือกที่ดี คราวนี้เงินก็จะไหลเข้ามาตลาดทุนอย่างต่อเนื่อง เรามาดูว่าประเทศไหนที่บังคับให้คุณเอาเงินออกมาบ้าง
ธนาคารกลางของสวีเดนดำเนินนโยบายดอกเบี้ยติดลบที่ -1.10%
ธนาคารกลางเดนมาร์กดำเนินนโยบายดอกเบี้ยติดลบที่ -0.65%
ญี่ปุ่นมาทีหลังล่าสุด ลดดอกเบี้ยนโยบายติดลบที่ -0.10%
และธนาคารยุโรปลดดอกเบี้ยลงเหลือ -0.3%
ดังนั้นจะเห็นว่าจะมีเงินก้อนใหญออกจากประเทศเหล่านี้ เพราะอย่างที่เรารู้ว่าประเทศเหล่านี้เศรษฐกิจก็ไม่ค่อยจะดี ดังนั้นคนในประเทศนี้ก็อาจจะนำเงินไปลงทุนในประเทศอื่นที่เชื่อว่าเศรษฐกิจกำลังจะดี อย่างเช่น อเมริกาที่พึ่งขึ้นดอกเบี้ยไปไม่นาน เราอาจได้เห็นตลาดหุ้นขึ้นมาอีกครั้งแต่ว่า เศรษฐกิจของอเมริกาก็ยังไม่มั่นคงมากพอที่ทำให้เราไว้ใจ หรือประเทศเกิดใหม่ก็ยังไม่เห็นวี่แววว่าจะดี เช่นประเทศไทย เป็นต้น ดังนั้นเงินทุนจึงกระจายออกไปตามความเชื่อว่าประเทศเหล่านั้นจะฟื้น แต่หลักๆน่าจะอเมริกาและต่อมาก็กลุ่มประเทศเกิดใหม่อย่างเรา
จะเห็นว่าไม่มีความแน่นอนในตลาดทุน ดังนั้นเงินทุนก็ยังมีโอกาสกลับมาในอาเซียนตลอดเวลา ดังนั้นเรามาดูว่าเงินจะไปอยู่ที่หุ้นตัวไหนในตลาดหุ้นไทย ดัชนี MSCI จะมีการใช้ในการเข้าไปลงทุนของกองทุนต่างชาติ ดังนั้นเงินจากกองทุนจะอ้างอิงจากดัชนีนี้
เกณฑ์ที่ใช้ในการพิจารณาหุ้นของ MSCI
1. ต้องมี fund flow ที่สูง
2. ต้องมีสัดส่วนผู้ถือหุ้นต่างชาติที่สูง
3. มี market cap ในส่วนของผู้ถือหุ้นต่างชาติ 250 ล้านขึ้นไป
4. ดูพื้นฐานต่างๆ ในการประกอบการลงทุน
ดังนั้นจะเห็นว่า MSCI ให้ความสำคัญกับว่าหุ้นนั้นให้สิทธิต่างชาติถือได้มากน้อยแค่ไหนเป็นสำคัญ อาจจะไม่ใช่หุ้นที่ดีมาก แต่ราคาหุ้นเกิดจากความต้องการซื้อ ดังนั้นเมื่อมีคนซื้อราคาย่อมขึ้นแน่นอน ยิ่งเงินที่จะเข้าซื้อมีมากจากพวกเหล่ากองทุน
ที่มา : https://www.msci.com/resources/factsheets/index_fact_sheet/msci-thailand-index-net.pdf
โดยตารางทางด้านขวาคือรายชื่อหุ้น 10 อันดับแรก และกราฟทางด้านซ้ายล่างคือสัดส่วนการลงทุนในกลุ่มต่างๆ แต่อย่างที่เรารู้ว่าหุ้นกลุ่มพลังงานอาจจะต้องเฝ้าระวังพอสมควร สุดท้ายถ้าชอบบทความนี้ ขอให้ช่วยกดไลค์ กดแชร์เพจเพื่อเป็นกำลังใจให้กับผู้เขียนได้มีผลงานต่อไป ขอบคุณทุกท่านที่ทนอ่านจนจบครับ
ติดตามเพจได้ที่ https://www.facebook.com/Investment-for-student-%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B8%A7%E0%B8%AD%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%B8%E0%B8%99-1519848498288167/
หรือกดค้นหา Investment for student - ตัวอ่อนนักลงทุน