[
ก่อนออกเดินทางไปด้วยกัน ... กระทู้นี้เป็นบันทึกการเดินทางกึ่งรีวิวนะคะ สำหรับเพื่อนๆ ที่อยากทราบเรื่องการเดินทางแบบละเอียด กระทู้นี้อาจจะไม่ตอบโจทย์นัก เพราะเราจะไม่มีแผนที่หรือภาพเส้นทางมาให้ดู (ถ้ามีก็คงน้อยมาก) แต่เราจะพยายามลงรายละเอียดเป็นตัวหนังสือให้มากที่สุดเท่าที่จะจำได้ และที่สำคัญเนื้อหาในกระทู้นี้อาจจะยาวไปซักนิด เพราะสำหรับเราเรื่องราวและประสบการณ์ที่พบเจอระหว่างทางสำคัญไม่น้อยไปกว่าจุดหมายปลายทางเสมอ]
“จะให้กลับมาที่เดิมๆ ที่ซ้ำๆ มันก็ยังคงได้ประสบการณ์ใหม่ มันแล้วแต่ฤดูกาล สภาพจิตใจ และอายุของเราในตอนนั้น”
การเดินทาง การเรียนรู้ และชีวิตที่เปลี่ยนแปลงของเรย์ แมคโดนัลด์ - readdaypoets.com
อุณหภูมิของอากาศที่ต่ำกว่าศูนย์องศาและหิมะที่โปรยปราย
เป็นเหตุผลง่ายๆ ที่ทำให้เราตัดสินใจจองตั๋วไปเที่ยวประเทศเกาหลีใต้อีกครั้ง ทั้งที่เราเองเป็นคนที่กลัวอากาศหนาวมาก ตอนแรกที่วางแผนไว้เราคิดว่าจะเดินเล่นในกรุงโซลหรือบางวันอาจจะออกไปนอกเมืองที่อยู่ใกล้ๆ บ้างเท่าที่ภาษาอังกฤษงูๆ ปลาๆ จะพาเราไปได้
แต่พอเราบอกเพื่อนที่อยู่เกาหลีว่าเราจะไปช่วงนี้ (อาทิตย์ที่ 2 ของเดือนมกราคม) เพื่อนเราก็บอกว่าจะพาไปเที่ยวต่างจังหวัดด้วย เฮ้ย! คือเกรงใจ จริงๆ แล้วที่เราบอกก็เพื่อความอุ่นใจ เพราะเราเดินทางคนเดียว เผื่อมีอะไรเพื่อนจะได้ช่วยเหลือได้ แต่ถามว่าดีใจไหมที่จะได้ไปต่างจังหวัด เราบอกเลยว่ามาก (ถึงมากที่สุด)
ทริปนี้ของเราเป็นทริปสั้นๆ แค่ 5 วันเท่านั้นตามประสาคนทริปเยอะ แต่วันลาน้อย ตอนแรกพวกเราวางแผนจะไปเที่ยวเกาะทางภาคใต้และเมืองชอนจู (Jeonju) เท่านั้น แต่หลังจากที่เพื่อนส่งรูปภูเขาที่ปกคลุมด้วยหิมะมาให้ดู ภารกิจตามล่าหาหิมะก็เริ่มขึ้น สุดท้ายโปรแกรมของพวกเราก็เลยออกมาเป็นแบบนี้ (วันแรกและวันสุดท้ายเราเที่ยวคนเดียว)
Day 1 [SEOUL] - Changdeokgung Palace
Day 2 [TONGYEONG] - Somaemuldo, Mireuksan
Day 3 [JEONJU] - Jeonju Hanok Village
Day 4 [TAEBAEK] - Taebaeksan
Day 5 [SEOUL] - Naksan Park, Ihwa Mural Village
ทริป 5 วัน สั้นๆ แต่คุ้มมาก เพราะได้เที่ยวถึง 4 เมือง
ไฟลท์ดึกของแอร์เอเชีย เอ็กซ์ ในช่วงฤดูหนาวจะเปลี่ยนเวลาจาก 01.50 น. เป็น 02.20 น. วันนั้นเราไปถึงสนามบินประมาณเที่ยงคืนยังมีคิวเช็คอินอยู่พอสมควร แต่ก็รอไม่นาน ยังเหลือเวลาไปนั่งรอที่หน้าเกทอีกพักใหญ่ เราสังเกตว่าไฟลท์นี้มีคนเกาหลีเยอะกว่าตอนที่เราไปเมื่อกลางปีที่แล้ว มองไปทางไหนก็เจอแต่โอปป้าหน้าใสใส่ขาสั้น ลากรองเท้าแตะ ขณะที่คนไทยจัดเต็มทั้งเสื้อแขนยาวและรองเท้าบูทเตรียมสู้กับอากาศหนาวกันอย่างเต็มที่
ประสบการณ์เดินทางคนเดียว 3 ครั้งที่ผ่านมาทำให้ครั้งนี้ระดับความตื่นเต้นของเราลดลงเกือบเป็นศูนย์ และเพราะรู้ว่าทริปนี้เป็นทริปที่จะใช้ร่างกายคุ้มมาก เราก็เลยหลับตั้งแต่พนักงานเริ่มสาธิตการใช้อุปกรณ์ความปลอดภัย ตื่นมาอีกทีก็เริ่มเห็นแสงสีทองที่ขอบฟ้าแล้ว สำหรับการเดินทางกลางคืนกับแอร์เอเชีย เอ็กซ์ ถ้าอยากพักผ่อนเต็มที่เราแนะนำให้เลือกที่นั่ง Quiet Zone เพราะนอกจากจะเงียบแล้ว ถ้าไฟลท์ไม่เต็มที่นั่งทั้งแถวอาจเป็นของเราคนเดียวก็ได้
คราวที่แล้วเราไม่ได้เห็นบรรยากาศของตัวเมืองด้านล่างจากมุมสูง เพราะรู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่ล้อเครื่องบินสัมผัสรันเวย์แล้ว แต่ครั้งนี้เราได้นั่งมองแบบเต็มตา บรรยากาศของฤดูหนาวด้านล่างดูกลมกลืนเป็นสีเดียวกันไปหมด ทั้งแม่น้ำ ภูเขา และอาคารบ้านเรือน ดูเหงา แต่ว่าสวยมาก
โดยเฉพาะช่วงที่เครื่องบินผ่านแนวภูเขาที่สลับซับซ้อนและมีเมฆบางๆ ลอยละล่องอยู่ด้านบน มันสวยมาก จนอยากเติม กอ ไก่ อีกล้านตัว นึกว่าอยู่บนสวรรค์ แต่น่าเสียดายที่เราไม่สามารถบันทึกภาพได้ เพราะเป็นช่วงที่เครื่องบินกำลังลดระดับ กฎก็ต้องเป็นกฎ (แต่เราก็รอวันที่จะอนุญาตให้ถ่ายรูปตอนเครื่องบินขึ้น-ลงได้อยู่นะ)
กัปตันพาเรามาถึงสนามบินอินชอนก่อนเวลาเกือบ 40 นาที เช้าวันนั้นอุณหภูมิภาคพื้นอยู่ที่ -5 องศา หนาวแค่ไหน เราก็ตอบไม่ได้ เพราะอุณหภูมิต่ำสุดที่เคยเจอก็แค่ 2 องศาเมื่อครั้งที่ไปภูฏาน อุปกรณ์กันหนาวที่เราเตรียมมาก็ตามมาตรฐานรีวิวที่เคยอ่านเจอ ฮีทเทค เสื้อสเวตเตอร์ และเสื้อขนเป็ดแบบหนา ส่วนรองเท้าก็รองเท้าผ้าใบธรรมดา แต่จะเอาอยู่รึเปล่า เดี๋ยวมาดูกัน
เนื่องจากเครื่องบินของเราถึงก่อนเวลาค่อนข้างนาน เราก็เลยได้นั่งเล่นอยู่บนเครื่องอีกเกือบครึ่งชั่วโมง เพราะไม่มีเกทว่าง ระหว่างนั้นเราก็ถ่ายรูปไปเรื่อยๆ พร้อมกับสังเกตเครื่องแต่งกายของเจ้าหน้าที่สนามบินที่ทำงานกลางแจ้งไปด้วย แต่ละคนแต่งตัวมิดชิดมาก สงสัยจะหนาวเอาเรื่องเหมือนกัน
ตอนที่เรามาเกาหลีครั้งแรก ตม.ไม่ได้ถามอะไรเลย แต่ครั้งนี้กลับถามว่า ‘Is this your first time?’ เล่นเอาเรางงเหมือนกัน แต่พอเราตอบว่าครั้งที่สองแล้ว เจ้าหน้าที่ก็ไม่พูดอะไรก่อนจะประทับตราลงในพาสปอร์ต คือลุ้นมาก เพราะรอบนี้เราไม่ได้เตรียมเอกสารมาเลย
ระหว่างที่รอกระเป๋าที่นานมากกว่าจะมา เราก็รีบหาไวไฟฟรีเพื่อส่งข้อความไปบอกเพื่อนว่าถึงสนามบินแล้ว รอบนี้เราตั้งใจจะใช้ data roaming แต่เราเข้าใจผิดคิดว่าสามารถเปิดใช้บริการได้ 24 ชั่วโมง แต่จริงๆ แล้วเครือข่ายที่เราใช้ต้องแจ้งล่วงหน้าก่อน 5 โมงเย็น ตอนที่เราโทรไป call center ก็เกือบเที่ยงคืนแล้วเลยต้องรอให้ถึงช่วงเที่ยงของเมืองไทยหรือประมาณบ่าย 2 โมงที่เกาหลีถึงจะมีสัญญาณ ช่วงนี้ก็ต้องห้ามงง ห้ามหลงเด็ดขาด
จากสนามบินอินชอนเราเข้าเมืองโดยใช้รถไฟ Airport Railroad หรือ AREX เหมือนเดิม บัตร T-Money ที่ซื้อไว้คราวก่อนสามารถเอามาเติมเงินได้เลย แต่รอบนี้เราหาภาษาอังกฤษที่เครื่องเติมเงินไม่เจอ สงสัยจะยังง่วงอยู่ ระหว่างที่กำลังยืนงงก็มีโอปป้าเข้าช่วยกดภาษาเกาหลีให้แบบรัวๆ เฮ้ย! รอบนี้เจอคนเกาหลีใจดีตั้งแต่ยังไม่ออกจากสนามบินเลย ทำไมคราวที่แล้วถามทางใครไปก็ได้แต่หน้าเหวี่ยงกลับมาตลอด
ก่อนที่จะออกไปตะลุยกรุงโซลตามลำพัง เราต้องเอากระเป๋าไปเก็บที่ที่พักเสียก่อน ตอนที่เปลี่ยนสายรถไฟที่สถานี Seoul เราสัมผัสได้ถึงอากาศหนาวแบบเบาๆ มองไปรอบๆ ก็เริ่มรู้สึกว่าเสื้อผ้าที่เตรียมมามาถูกทางแล้ว ไม่มีคำว่าเยอะไปจริงๆ ทั้งเสื้อขนเป็ดแบบหนาที่มีฮู้ด ทั้งผ้าพันคอ เราไม่เห็นใครใส่เสื้อขนเป็ดแบบ ultra light down เลยซักคน บนรถไฟใต้ดินเราเห็นอาจุมม่าบางคนพันผ้าพันคอ 2-3 ผืนก็มี
ตอนที่เราไปถึงที่พักตรงกับช่วงพักกลางวันพอดี ลุงที่เป็นเจ้าของไม่อยู่ โชคดีที่ป้า native speaker ก็ไม่อยู่ด้วย ไม่งั้นมีมึนแน่นอน (ถ้าใครเคยอ่านรีวิวครั้งที่แล้วคงจะรู้ว่าเรามึนมากแค่ไหน) เราเลยออกมาหาอะไรกินแถวนั้นก่อน ร้านนี้เป็นร้านที่เราเคยกินเมื่อที่คราวแล้ว เมนูที่เราสั่งก็เหมือนเดิม แฮจังกุกหรือซุปกระดูกหมู อากาศหนาวๆ ได้กินอะไรร้อนๆ ช่วยได้เยอะเหมือนกัน แต่อย่าคิดว่ามื้อนี้เราจะได้ใช้ทักษะภาษาเกาหลีที่ไม่มีเลยในการสั่งอาหาร เพราะแค่เราถามตำแหน่งร้านไป เพื่อนเราก็ใจดีพิมพ์ชื่ออาหารเป็นภาษาเกาหลีมาให้ เอาไปยื่นให้ที่ร้านดูก็ได้กินของอร่อยแล้ว
อากาศหนาวๆ พอได้เข้าที่พักแล้วก็อยากอยู่นานๆ กว่าเราจะได้ออกจากที่พักอีกครั้งก็บ่าย 3 โมงกว่า จากโปรแกรมที่วางไว้ 3-4 ที่ก็เหลือแค่พระราชวังชังด็อกที่เดียว เรานั่งรถไฟไปเปลี่ยนเป็นสายสีส้มที่สถานี Jongno 3 (sam)-ga เพื่อต่อไปสถานี Anguk ทางออกไปพระราชวังชังด็อกจะเป็นทางออกที่ 3 ข้างในสถานีมีป้ายบอกชัดเจน รับรองว่าไม่หลง พอขึ้นมาจากสถานีแล้วให้เดินไปทางซ้ายมืออีกประมาณ 300 เมตร
พระราชวังชังด็อก (Changdeokgung Palace)
ช่วงเดือนมกราคมพระราชวังชังด็อกจะเปิดให้เข้าชมตั้งแต่ 09.00 น. ถึง 17.30 น. แต่ขายบัตรถึงแค่ 16.30 น. เท่านั้น เราเองก็เกือบไปไม่ทัน เพราะเหลืออีกแค่ 10 นาที เคาน์เตอร์ก็จะปิดแล้ว หลังจากซื้อบัตรเข้าชมราคา 3,000 วอนเรียบร้อยแล้วก็ได้เวลาเดินชมพระราชวังซะที ที่นี่เป็นพระราชวังแห่งแรกของเกาหลีใต้ที่เราได้มีโอกาสเข้าไปชมด้านใน
พระราชวังชังด็อกเป็นหนึ่งในห้าพระราชวังที่สำคัญที่สุดของเกาหลีใต้ สร้างขึ้นในสมัยราชวงศ์โชซอน และได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจากองค์การยูเนสโกเมื่อปี ค.ศ. 1997 พระราชวังชังด็อกตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของพระราชวังคย็องบก (Gyeongbokgung Palace) จึงถูกเรียกว่าพระราชวังตะวันออก (East Palace) พระราชวังชังด็อกเคยถูกเผาและทำลายโดยกองทัพญี่ปุ่นเมื่อปี ค.ศ. 1592 และหลังจากสงครามสงบลงพระราชวังแห่งนี้ก็ได้รับการบูรณะขึ้นมาใหม่
จริงๆ แล้วเราไม่ใช่นักท่องเที่ยวแนวประวัติศาสตร์ ความรู้เกี่ยวกับสถานที่สำคัญต่างๆ แทบจะเป็นศูนย์ แต่หลายครั้งที่เราได้ยินว่าเกาหลีใต้ไม่มีอะไรน่าสนใจ เพราะโบราณสถานส่วนใหญ่จะถูกสร้างขึ้นมาใหม่ ไม่ใช่ของเก่าแก่ดั้งเดิม เราคิดว่าไม่ค่อยยุติธรรมกับประเทศนี้เท่าไหร่ สถานที่บางแห่งจะน่าสนใจหรือไม่ มันไม่ได้อยู่ที่ความเก่าหรือถูกสร้างขึ้นมาใหม่ แต่อยู่ที่ความเป็นมาและเป็นไปว่ามีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ของประเทศนั้นๆ อย่างไรบ้างต่างหาก
เราอาจจะเคยฟังเรื่องราวของเกาหลีใต้ผ่านคนรู้จักมาเยอะ แต่พอได้มาเห็นด้วยตาตัวเองแล้วหลายอย่างก็เลยเหนือความคาดหมาย สำหรับเราพระราชวังชังด็อกดูสวยงามและมีความอ่อนหวานปนอยู่นิดๆ สีของอาคารด้านในจะเน้นสีแดงและสีเขียวเป็นหลัก ส่วนตรงขอบประตูและหน้าต่างจะเป็นสีเหลือง ตอนที่เราไปเป็นช่วงเย็นแล้วนักท่องเที่ยวก็เลยบางตาทำให้ที่นี่ยิ่งดูสงบและมีเสน่ห์มากขึ้น
เราใช้เวลาเดินชมพระราชวังชังด็อกแค่ครึ่งชั่วโมงเท่านั้น เพราะเข้าไปแค่พระที่นั่งหลัก (Injeongjeon Hall) ส่วนใหญ่จะถ่ายรูปอยู่ด้านนอกมากกว่า แสงช่วงเย็นของฤดูหนาวสวยมากจริงๆ ถ้าจะมีเวลามากกว่านี้คงจะฟินน่าดู จากพระราชวังชังด็อกเราจะมองเห็นโซลทาวเวอร์ด้วย
OUT OF S(E)OUL :: เที่ยวเกาหลี มีดีมากกว่าโซล
การเดินทาง การเรียนรู้ และชีวิตที่เปลี่ยนแปลงของเรย์ แมคโดนัลด์ - readdaypoets.com
อุณหภูมิของอากาศที่ต่ำกว่าศูนย์องศาและหิมะที่โปรยปราย
เป็นเหตุผลง่ายๆ ที่ทำให้เราตัดสินใจจองตั๋วไปเที่ยวประเทศเกาหลีใต้อีกครั้ง ทั้งที่เราเองเป็นคนที่กลัวอากาศหนาวมาก ตอนแรกที่วางแผนไว้เราคิดว่าจะเดินเล่นในกรุงโซลหรือบางวันอาจจะออกไปนอกเมืองที่อยู่ใกล้ๆ บ้างเท่าที่ภาษาอังกฤษงูๆ ปลาๆ จะพาเราไปได้
แต่พอเราบอกเพื่อนที่อยู่เกาหลีว่าเราจะไปช่วงนี้ (อาทิตย์ที่ 2 ของเดือนมกราคม) เพื่อนเราก็บอกว่าจะพาไปเที่ยวต่างจังหวัดด้วย เฮ้ย! คือเกรงใจ จริงๆ แล้วที่เราบอกก็เพื่อความอุ่นใจ เพราะเราเดินทางคนเดียว เผื่อมีอะไรเพื่อนจะได้ช่วยเหลือได้ แต่ถามว่าดีใจไหมที่จะได้ไปต่างจังหวัด เราบอกเลยว่ามาก (ถึงมากที่สุด)
ทริปนี้ของเราเป็นทริปสั้นๆ แค่ 5 วันเท่านั้นตามประสาคนทริปเยอะ แต่วันลาน้อย ตอนแรกพวกเราวางแผนจะไปเที่ยวเกาะทางภาคใต้และเมืองชอนจู (Jeonju) เท่านั้น แต่หลังจากที่เพื่อนส่งรูปภูเขาที่ปกคลุมด้วยหิมะมาให้ดู ภารกิจตามล่าหาหิมะก็เริ่มขึ้น สุดท้ายโปรแกรมของพวกเราก็เลยออกมาเป็นแบบนี้ (วันแรกและวันสุดท้ายเราเที่ยวคนเดียว)
Day 1 [SEOUL] - Changdeokgung Palace
Day 2 [TONGYEONG] - Somaemuldo, Mireuksan
Day 3 [JEONJU] - Jeonju Hanok Village
Day 4 [TAEBAEK] - Taebaeksan
Day 5 [SEOUL] - Naksan Park, Ihwa Mural Village
ทริป 5 วัน สั้นๆ แต่คุ้มมาก เพราะได้เที่ยวถึง 4 เมือง
ไฟลท์ดึกของแอร์เอเชีย เอ็กซ์ ในช่วงฤดูหนาวจะเปลี่ยนเวลาจาก 01.50 น. เป็น 02.20 น. วันนั้นเราไปถึงสนามบินประมาณเที่ยงคืนยังมีคิวเช็คอินอยู่พอสมควร แต่ก็รอไม่นาน ยังเหลือเวลาไปนั่งรอที่หน้าเกทอีกพักใหญ่ เราสังเกตว่าไฟลท์นี้มีคนเกาหลีเยอะกว่าตอนที่เราไปเมื่อกลางปีที่แล้ว มองไปทางไหนก็เจอแต่โอปป้าหน้าใสใส่ขาสั้น ลากรองเท้าแตะ ขณะที่คนไทยจัดเต็มทั้งเสื้อแขนยาวและรองเท้าบูทเตรียมสู้กับอากาศหนาวกันอย่างเต็มที่
ประสบการณ์เดินทางคนเดียว 3 ครั้งที่ผ่านมาทำให้ครั้งนี้ระดับความตื่นเต้นของเราลดลงเกือบเป็นศูนย์ และเพราะรู้ว่าทริปนี้เป็นทริปที่จะใช้ร่างกายคุ้มมาก เราก็เลยหลับตั้งแต่พนักงานเริ่มสาธิตการใช้อุปกรณ์ความปลอดภัย ตื่นมาอีกทีก็เริ่มเห็นแสงสีทองที่ขอบฟ้าแล้ว สำหรับการเดินทางกลางคืนกับแอร์เอเชีย เอ็กซ์ ถ้าอยากพักผ่อนเต็มที่เราแนะนำให้เลือกที่นั่ง Quiet Zone เพราะนอกจากจะเงียบแล้ว ถ้าไฟลท์ไม่เต็มที่นั่งทั้งแถวอาจเป็นของเราคนเดียวก็ได้
คราวที่แล้วเราไม่ได้เห็นบรรยากาศของตัวเมืองด้านล่างจากมุมสูง เพราะรู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่ล้อเครื่องบินสัมผัสรันเวย์แล้ว แต่ครั้งนี้เราได้นั่งมองแบบเต็มตา บรรยากาศของฤดูหนาวด้านล่างดูกลมกลืนเป็นสีเดียวกันไปหมด ทั้งแม่น้ำ ภูเขา และอาคารบ้านเรือน ดูเหงา แต่ว่าสวยมาก
โดยเฉพาะช่วงที่เครื่องบินผ่านแนวภูเขาที่สลับซับซ้อนและมีเมฆบางๆ ลอยละล่องอยู่ด้านบน มันสวยมาก จนอยากเติม กอ ไก่ อีกล้านตัว นึกว่าอยู่บนสวรรค์ แต่น่าเสียดายที่เราไม่สามารถบันทึกภาพได้ เพราะเป็นช่วงที่เครื่องบินกำลังลดระดับ กฎก็ต้องเป็นกฎ (แต่เราก็รอวันที่จะอนุญาตให้ถ่ายรูปตอนเครื่องบินขึ้น-ลงได้อยู่นะ)
กัปตันพาเรามาถึงสนามบินอินชอนก่อนเวลาเกือบ 40 นาที เช้าวันนั้นอุณหภูมิภาคพื้นอยู่ที่ -5 องศา หนาวแค่ไหน เราก็ตอบไม่ได้ เพราะอุณหภูมิต่ำสุดที่เคยเจอก็แค่ 2 องศาเมื่อครั้งที่ไปภูฏาน อุปกรณ์กันหนาวที่เราเตรียมมาก็ตามมาตรฐานรีวิวที่เคยอ่านเจอ ฮีทเทค เสื้อสเวตเตอร์ และเสื้อขนเป็ดแบบหนา ส่วนรองเท้าก็รองเท้าผ้าใบธรรมดา แต่จะเอาอยู่รึเปล่า เดี๋ยวมาดูกัน
เนื่องจากเครื่องบินของเราถึงก่อนเวลาค่อนข้างนาน เราก็เลยได้นั่งเล่นอยู่บนเครื่องอีกเกือบครึ่งชั่วโมง เพราะไม่มีเกทว่าง ระหว่างนั้นเราก็ถ่ายรูปไปเรื่อยๆ พร้อมกับสังเกตเครื่องแต่งกายของเจ้าหน้าที่สนามบินที่ทำงานกลางแจ้งไปด้วย แต่ละคนแต่งตัวมิดชิดมาก สงสัยจะหนาวเอาเรื่องเหมือนกัน
ตอนที่เรามาเกาหลีครั้งแรก ตม.ไม่ได้ถามอะไรเลย แต่ครั้งนี้กลับถามว่า ‘Is this your first time?’ เล่นเอาเรางงเหมือนกัน แต่พอเราตอบว่าครั้งที่สองแล้ว เจ้าหน้าที่ก็ไม่พูดอะไรก่อนจะประทับตราลงในพาสปอร์ต คือลุ้นมาก เพราะรอบนี้เราไม่ได้เตรียมเอกสารมาเลย
ระหว่างที่รอกระเป๋าที่นานมากกว่าจะมา เราก็รีบหาไวไฟฟรีเพื่อส่งข้อความไปบอกเพื่อนว่าถึงสนามบินแล้ว รอบนี้เราตั้งใจจะใช้ data roaming แต่เราเข้าใจผิดคิดว่าสามารถเปิดใช้บริการได้ 24 ชั่วโมง แต่จริงๆ แล้วเครือข่ายที่เราใช้ต้องแจ้งล่วงหน้าก่อน 5 โมงเย็น ตอนที่เราโทรไป call center ก็เกือบเที่ยงคืนแล้วเลยต้องรอให้ถึงช่วงเที่ยงของเมืองไทยหรือประมาณบ่าย 2 โมงที่เกาหลีถึงจะมีสัญญาณ ช่วงนี้ก็ต้องห้ามงง ห้ามหลงเด็ดขาด
จากสนามบินอินชอนเราเข้าเมืองโดยใช้รถไฟ Airport Railroad หรือ AREX เหมือนเดิม บัตร T-Money ที่ซื้อไว้คราวก่อนสามารถเอามาเติมเงินได้เลย แต่รอบนี้เราหาภาษาอังกฤษที่เครื่องเติมเงินไม่เจอ สงสัยจะยังง่วงอยู่ ระหว่างที่กำลังยืนงงก็มีโอปป้าเข้าช่วยกดภาษาเกาหลีให้แบบรัวๆ เฮ้ย! รอบนี้เจอคนเกาหลีใจดีตั้งแต่ยังไม่ออกจากสนามบินเลย ทำไมคราวที่แล้วถามทางใครไปก็ได้แต่หน้าเหวี่ยงกลับมาตลอด
ก่อนที่จะออกไปตะลุยกรุงโซลตามลำพัง เราต้องเอากระเป๋าไปเก็บที่ที่พักเสียก่อน ตอนที่เปลี่ยนสายรถไฟที่สถานี Seoul เราสัมผัสได้ถึงอากาศหนาวแบบเบาๆ มองไปรอบๆ ก็เริ่มรู้สึกว่าเสื้อผ้าที่เตรียมมามาถูกทางแล้ว ไม่มีคำว่าเยอะไปจริงๆ ทั้งเสื้อขนเป็ดแบบหนาที่มีฮู้ด ทั้งผ้าพันคอ เราไม่เห็นใครใส่เสื้อขนเป็ดแบบ ultra light down เลยซักคน บนรถไฟใต้ดินเราเห็นอาจุมม่าบางคนพันผ้าพันคอ 2-3 ผืนก็มี
ตอนที่เราไปถึงที่พักตรงกับช่วงพักกลางวันพอดี ลุงที่เป็นเจ้าของไม่อยู่ โชคดีที่ป้า native speaker ก็ไม่อยู่ด้วย ไม่งั้นมีมึนแน่นอน (ถ้าใครเคยอ่านรีวิวครั้งที่แล้วคงจะรู้ว่าเรามึนมากแค่ไหน) เราเลยออกมาหาอะไรกินแถวนั้นก่อน ร้านนี้เป็นร้านที่เราเคยกินเมื่อที่คราวแล้ว เมนูที่เราสั่งก็เหมือนเดิม แฮจังกุกหรือซุปกระดูกหมู อากาศหนาวๆ ได้กินอะไรร้อนๆ ช่วยได้เยอะเหมือนกัน แต่อย่าคิดว่ามื้อนี้เราจะได้ใช้ทักษะภาษาเกาหลีที่ไม่มีเลยในการสั่งอาหาร เพราะแค่เราถามตำแหน่งร้านไป เพื่อนเราก็ใจดีพิมพ์ชื่ออาหารเป็นภาษาเกาหลีมาให้ เอาไปยื่นให้ที่ร้านดูก็ได้กินของอร่อยแล้ว
อากาศหนาวๆ พอได้เข้าที่พักแล้วก็อยากอยู่นานๆ กว่าเราจะได้ออกจากที่พักอีกครั้งก็บ่าย 3 โมงกว่า จากโปรแกรมที่วางไว้ 3-4 ที่ก็เหลือแค่พระราชวังชังด็อกที่เดียว เรานั่งรถไฟไปเปลี่ยนเป็นสายสีส้มที่สถานี Jongno 3 (sam)-ga เพื่อต่อไปสถานี Anguk ทางออกไปพระราชวังชังด็อกจะเป็นทางออกที่ 3 ข้างในสถานีมีป้ายบอกชัดเจน รับรองว่าไม่หลง พอขึ้นมาจากสถานีแล้วให้เดินไปทางซ้ายมืออีกประมาณ 300 เมตร
พระราชวังชังด็อก (Changdeokgung Palace)
ช่วงเดือนมกราคมพระราชวังชังด็อกจะเปิดให้เข้าชมตั้งแต่ 09.00 น. ถึง 17.30 น. แต่ขายบัตรถึงแค่ 16.30 น. เท่านั้น เราเองก็เกือบไปไม่ทัน เพราะเหลืออีกแค่ 10 นาที เคาน์เตอร์ก็จะปิดแล้ว หลังจากซื้อบัตรเข้าชมราคา 3,000 วอนเรียบร้อยแล้วก็ได้เวลาเดินชมพระราชวังซะที ที่นี่เป็นพระราชวังแห่งแรกของเกาหลีใต้ที่เราได้มีโอกาสเข้าไปชมด้านใน
พระราชวังชังด็อกเป็นหนึ่งในห้าพระราชวังที่สำคัญที่สุดของเกาหลีใต้ สร้างขึ้นในสมัยราชวงศ์โชซอน และได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจากองค์การยูเนสโกเมื่อปี ค.ศ. 1997 พระราชวังชังด็อกตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของพระราชวังคย็องบก (Gyeongbokgung Palace) จึงถูกเรียกว่าพระราชวังตะวันออก (East Palace) พระราชวังชังด็อกเคยถูกเผาและทำลายโดยกองทัพญี่ปุ่นเมื่อปี ค.ศ. 1592 และหลังจากสงครามสงบลงพระราชวังแห่งนี้ก็ได้รับการบูรณะขึ้นมาใหม่
จริงๆ แล้วเราไม่ใช่นักท่องเที่ยวแนวประวัติศาสตร์ ความรู้เกี่ยวกับสถานที่สำคัญต่างๆ แทบจะเป็นศูนย์ แต่หลายครั้งที่เราได้ยินว่าเกาหลีใต้ไม่มีอะไรน่าสนใจ เพราะโบราณสถานส่วนใหญ่จะถูกสร้างขึ้นมาใหม่ ไม่ใช่ของเก่าแก่ดั้งเดิม เราคิดว่าไม่ค่อยยุติธรรมกับประเทศนี้เท่าไหร่ สถานที่บางแห่งจะน่าสนใจหรือไม่ มันไม่ได้อยู่ที่ความเก่าหรือถูกสร้างขึ้นมาใหม่ แต่อยู่ที่ความเป็นมาและเป็นไปว่ามีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ของประเทศนั้นๆ อย่างไรบ้างต่างหาก
เราอาจจะเคยฟังเรื่องราวของเกาหลีใต้ผ่านคนรู้จักมาเยอะ แต่พอได้มาเห็นด้วยตาตัวเองแล้วหลายอย่างก็เลยเหนือความคาดหมาย สำหรับเราพระราชวังชังด็อกดูสวยงามและมีความอ่อนหวานปนอยู่นิดๆ สีของอาคารด้านในจะเน้นสีแดงและสีเขียวเป็นหลัก ส่วนตรงขอบประตูและหน้าต่างจะเป็นสีเหลือง ตอนที่เราไปเป็นช่วงเย็นแล้วนักท่องเที่ยวก็เลยบางตาทำให้ที่นี่ยิ่งดูสงบและมีเสน่ห์มากขึ้น
เราใช้เวลาเดินชมพระราชวังชังด็อกแค่ครึ่งชั่วโมงเท่านั้น เพราะเข้าไปแค่พระที่นั่งหลัก (Injeongjeon Hall) ส่วนใหญ่จะถ่ายรูปอยู่ด้านนอกมากกว่า แสงช่วงเย็นของฤดูหนาวสวยมากจริงๆ ถ้าจะมีเวลามากกว่านี้คงจะฟินน่าดู จากพระราชวังชังด็อกเราจะมองเห็นโซลทาวเวอร์ด้วย