.
ตั้งใจเรียนนะลูกนะ โตขึ้นมาจะได้เป็น ”
เจ้าคนนายคน” ประโยคนี้ เชื่อว่าท่านผู้อ่านคงเคยได้ยินผ่านหูกันมาบ้าง แต่เคยคิดไหมครับ ว่าประโยคนี้ บอกอะไรเราบ้าง
สำหรับผมตอนเด็กๆ คิดว่าคำๆนี้ คือความปรารถนาดีของผู้ใหญ่ ที่ต้องการให้บุตรหลานได้ดีในวันข้างหน้า จึงกล่าวย้ำเตือนให้เด็กเกิดความอุตสาหะ ขยันหมั่นเพียรในการศึกษา
แต่เมื่อโตขึ้น ผมไม่เคยใช้คำว่า “
เจ้าคน นายคน” คำๆนี้ มาสอนลูกสาวผมเลย เวลาสอนลูกก็จะบอกแค่ว่า “
ตั้งใจเรียนนะลูก”แค่นั้น พอแล้ว เพราะผมรู้แล้วว่า
สิ่งที่แฝงมากับคำว่า”เจ้าคนนายคน” คือความสับสนของผู้คนในสมัยก่อนที่ยำเกรงต่อการถูกกดขี่ด้วยชนชั้นทางสังคม คนที่อยู่ในชนชั้นต่ำก็ปรารถนาให้ลูกหลานหลุดพ้นจากชะตากรรมเช่นเดียวกับตน ส่วนที่อยู่ในชนชั้นสูง ก็ไม่อยากให้ลูกหลานต้องตกต่ำไปรับชะตากรรมการเป็น “
ขี้ข้า” ของใคร จึงพร่ำสอนสั่งกันด้วยคำว่าเจ้าคนนายคน เป้าหมายสูงสุดที่ผู้ใหญ่ในสมัยก่อนที่พร่ำสอนลูกหลานเช่นนี้ คือคาดว่าให้ลูกหลานศึกษาหาความรู้เยอะๆเพื่อจะได้รับราชการต่อไปในวันข้างหน้า
สิ่งนี้เป็นจุดกำเนิด เกิดเป็นค่านิยมผิดๆ ที่ที่ยึดติดกับชนชั้นและเป็นปัญหาให้กับสังคมไทยเรื่อยมา
เพราะทำให้อาชีพเดียวที่สามารถกล่าวอ้างได้อย่างเชิดหน้าชูตาในสังคมไทยได้ว่า เป็นเจ้าคนนายคนนั้น มีเพียงอาชีพเดียว คือ ข้าราชการ
มันเป็นเช่นนั้นมาในอดีต จนทุกวันนี้ ข้าราชการ ก็ยังเป็นเช่นนั้นอยู่
ข้าราชการ คืออาชีพเดียวที่ยังวางท่าหยิ่งผยองในการเป็น เจ้าคนนายคน
แม้ไม่ใช่ข้าราชการทุกคน แต่ก็มีจำนวนข้าราชการไม่น้อยที่ทำเช่นนั้น
แต่นั้น.........ก็เพียงพอต่อการให้ความรู้สึกแบ่งชนชั้นกับประชาชนทั่วไปแล้ว
เคยมีสักครั้งไหม ที่ข้าราชการยกมือไหว้เราก่อนเวลาไปติดต่อราชการ ในชีวิตผมอยู่มาก็หลายสิบปี แทบไม่เคยเจอ เคยเจออยู่แค่ตอนไปติดต่อ ธนาคารเพื่อการเกษตร แทนแม่ของผมเท่านั้น ที่เจ้าหน้าที่เป็นฝ่ายยกมือไหว้ผมก่อน(ถ้านับว่า พนักงาน ธกส. เป็นข้าราชการนะ)
ทุกวันนี้ เวลาผมไปรับไปส่งลูกสาวคนเล็กไปเรียนที่โรงเรียนประถมใกล้บ้าน ซึ่งเป็นโรงเรียนรัฐ ทุกครั้งผมยังต้องเป็นฝ่ายเริ่มต้นยกมือไหว้คุณครูซึ่งดูท่าจะอ่อนวัยวุฒิกว่าผมอยู่หลายปีอยู่เลย และสิ่งที่ได้รับคือการยกมือรับไหว้ตอบอย่างเสียมิได้
นี้ยังไม่พูดถึงข้าราชการหน่วยงานอื่นๆที่มียศถาบรรดาศักดิ์นะ เพราะการไปพบแต่ล่ะครั้งนี้แทบจะต้องหมอบกราบกันเข้าหาเลย ผมเคยต้องขึ้นโรงขึ้นศาลครั้งหนึ่ง จากอุบัติเหตุทางรถยนต์ ซึ่งผมเป็นผู้เสียหาย ซึ่งการจะเข้าพบ สารวัตรสืบสวนแต่ล่ะที หรือการขอพบอัยการแต่ละครั้ง ผมนี้ต้องทำตัวให้ “
ลีบ”
ที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ เพราะไม่เช่นนั้น เจ้าคนนายคนเหล่านี้ จะไม่ให้การช่วยเหลือ ผมซึ่งตกเป็นผู้เสียหาย
ขอบอกเล่าประสบการณ์ส่วนตัวอีกสักกรณี เมื่อสักสิบกว่าปีก่อน สมัยผมเปิดบริษัทใหม่ๆ ปีแรกๆที่ยังเบี้ยน้อยหอยน้อยไม่มีเงินทุนมากนัก ผมทำบัญชีเอง เพราะคิดจะประหยัดค่าจ้าง หากต้องจ้างพนักงานบัญชีมาทำงานด้านนี้ แต่ผลปรากฏว่ากลับถูกเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานด้านภาษี แสดงกริยาท่าทีราวกับว่า ผมเป็นแค่สัตว์ใช้แรงงานไม่มีสมอง เพราะผมกรอกแบบฟอร์มและแสดงรายการรายได้รายจ่ายผิดประเภท ผมจำต้องแก้แล้วแก้อีกด้วยความเข้าใจของตนเอง แล้วก็พยายามยื่นขอชำระภาษีเงินได้ด้วยตัวเองต่อไป
เพราะคุณเธอเอาแต่ตำหนิอย่างเดียว ไม่เคยช่วยชี้ทางแก้ไขให้ถูกต้องกับผมเลย จนในที่สุดผมก็ทนไม่ไหว เพราะใช้เวลาพยามยามจัดการปัญหาเรื่องนี้อยู่เป็นอาทิตย์ แต่ก็ไม่สำเร็จ จึงจำใจจ้างบริษัททำบัญชีให้มาช่วยจัดการแทน
ทั้งๆที่ผมเอาเงินไปจ่ายให้ กลับโดนด่าเหมือนหมูเหมือนหมา มันก็ทำให้ผมรู้สึกเหมือนกับว่า ผมกำลังไปจ้างให้คนมาโขกสับผมซะอย่างนั้นแหละทำให้ รู้สึกเสียดายเงินภาษีที่จ่ายไปเลยทีเดียว
อะไรทำให้ ข้าราชการ จึงไว้ตัวและสงวนตัวเองเช่นนี้ เกียรติยศ ศักดิ์ศรี ที่มาจากศักดินา จอมปลอมที่คนรุ่นเก่ายอมรับและก้มหัวให้มาเรื่อยมาอย่างนั้นหรือ..?
ถ้าข้าราชการบางคนเข้าใจเช่นนั้นก็ขอให้คิดเสียใหม่ด้วยนะ เพราะการจะเป็น เจ้าคนนายคน นั้น มีองค์ประกอบหลายอย่าง เช่น
การเป็นเจ้าคนนายคนแท้จริงแล้ว ต้องพร้อมที่จะเป็นคนที่ทำงานหนักกว่าลูกน้องเสมอ เวลาส่วนตัวก็ต้องพร้อมจะยอมสละเพื่อกลับมาทำงาน
การเป็นเจ้าคนนายคนแท้จริงแล้ว ต้องพร้อมที่จะแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นกับลูกน้องตลอดเวลา เพราะเมื่อเกิดปัญหาขึ้นกับลูกน้อง ความรับผิดชอบจะตกไปอยู่ที่เจ้าคนนายคนด้วยเสมอ เพราะที่สุดแล้วความคาดหวังของลูกน้องยามเมื่อเจอปัยหาที่ตนเองไม่สามารถแก้ไขได้ ความหวังทั้งหลายก็จะตกไปอยู่ที่เจ้าคนนายคนอันเป็นที่เพิ่ง
การเป็นเจ้าคนนายคนแท้จริงแล้ว ต้องพร้อมที่จะรับผิดก่อน รับชอบอาจจะทีหลัง - หากเกิดความผิดพลาดต่างๆขึ้นมา หัวหน้าจะเป็นคนแรกที่โดนสอบก่อน เพราะว่าต้องอธิบายได้ว่า ทำไมถึงปล่อยให้เกิดเหตุการณ์อย่างนี้ขึ้นได้เราพลาดอะไรตรงไหน ส่วนเมื่อทำอะไรได้สำเร็จ ความสำเร็จอาจต้องยกให้ทีมงานทั้งหมดก่อน ตนเองไว้ทีหลัง
ซึ่งสรุปก็คือ ความเสียสละ ซึ่งคนที่ไม่มีคุณสมบัตินี้ก็ไม่ควรได้รับการยกย่องให้เป็นเจ้าคนนายคน
แล้วถ้าถามว่า ข้าราชการ มีความเสียสละมากน้อยแค่ไหน สิ่งที่คนทั่วไปรับรู้ ควรเป็นแบบทำงานแบบเช้าชาม เย็นชาม เช่นนั้นหรือ..?
เหมาะสมแล้วหรือที่คนจำพวกนี้จะเป็นเจ้าคนนายคน..?
ทุกวันนี้ใครกันแน่ที่เป็นฝ่ายเสียสละ..? ข้าราชการหรือประชาชน..?
เมื่อประชาชนต้องสละรายได้ส่วนหนึ่งให้กับข้าราชการเพื่อเป็นค่าตอบแทน เพื่อแลกกับการทำงานแบบเช้าชามเย็นชาม และกริยาท่าทางยโสโอหังอย่างนั้นหรือ...?
ใครเป็นเจ้านาย ใครเป็นลูกน้อง ลองปรับมุมมองเสียใหม่นะครับ ลองลืมๆค่านิยมเก่าๆที่มันไม่เข้ากับยุคกับสมัยไปเสียบ้างก็คงดีและที่สำคัญอย่าได้ใช้กริยายโสโอหัง กับประชาชนเลย การยอมรับนับถือนั้น เกิดขึ้นเพราะการที่พวกคุณทำงานดี ทำงานเต็มที่ เสียสละให้กับประชาชนต่างหาก ถึงจะเกิดเกียรติยศศักดิ์ศรีกับตัวท่านเอง มิได้เกิดจากเครื่องแบบ ข้าราชการ ที่ท่านกำลังสวมใส่ และวางท่าทีเป็นเจ้านาย ทั้งๆที่กินเงินเดือนประชาชน
โลกมันเปลี่ยนไปแล้วครับ อย่าได้ทำเป็นไดโนเสาร์ตกยุคที่สวมใส่เครื่องแบบไปหน่อยเลย
เรื่องของชนชั้นนั้นมีเพียงคนแก่กลุ่มเล็กๆเท่านั้นที่ไม่ยอมรับความจริงว่าโลกได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว
จึงพยายามยกตัวเองให้อยู่สูงกว่าคนอื่นอยู่ร่ำไป ซึ่งอันนี้ผมหมายถึงคนที่พวกคุณๆก็รู้กันอยู่ว่า เป็นใคร
ปล.ผู้เขียนขอบอกไว้เลยว่า ข้อเขียนนี้ไม่ได้เกิดจากความ อคติ ของผู้เขียนที่มีต่อข้าราชการแต่อย่างใด เพราะชีวิตของผู้เขียนเอง ที่อยู่รอดและเติบโตขึ้น ก็เพราะได้รับอานิสงค์มาจากเงินเดือนของข้าราชการเช่นกัน พ่อของผมเป็นเจ้าหน้าที่ชลประทาน ที่แม้เสียชีวิตตั้งแต่วัยหนุ่ม แต่ก็ยังได้ทิ้งเงินบำเหน็จบำนาญไว้ให้ลูกเมียยังชีพต่อไป แม้มันจะไม่มากมายพอทำให้สุขสบาย และทำให้แม่ของผมซึ่งเป็นชาวนาเต็มขั้น ต้องตัดสินใจส่งผมมาอยู่กับป้า ผู้ซึ่งประกอบอาชีพเป็นข้าราชการเช่นกัน ให้เป็นผู้ส่งเสียให้ผมได้รับการศึกษาสูงที่สุดเท่าที่ผมจะมีความสามารถไขว่คว้าได้ ผมจึงพูดได้เต็มปากเต็มคำว่าที่ผมเติบโตมาเป็นผู้เป็นคนได้ ก็เพราะเงินราชการนั้นแหละ
ดังนั้นข้อเขียนนี้จึงมิได้มีจุดประสงค์ที่จะเหยียดหยามประณามข้าราชการแต่อย่างใด ตรงกันข้าม ข้อเขียนนี้ต้องการให้ข้าราชการมีเกียรติยศศักดิ์ศรีโดยไม่ต้องเพิ่งค่านิยมเก่าๆ เจ้าคนนายคน จอมปลอมต่างหาก
และคงดีไม่น้อยหากพวกท่าน ข้าราชการ จะสร้างค่านิยมใหม่ให้คนยอมรับนับถือ ด้วยการทำงานรับใช้ประชาชนจริงๆ
*ที่จริงวันนี้ผมเขียนเรื่องรัฐธรรมนูญใหม่ไว้ แต่ดูทรงแล้วคงไปแคล้วปลิว
และสูญเสียล็อคอินแน่ๆ เลยเปลี่ยนมาเขียนเรื่องนี้แทนนี้แหละครับ
ขอบคุณครับ
นายพระรอง
(บทความ..นายพระรอง) "เจ้าคน นายคน" ค่านิยมผิดๆ ในสังคมที่ยึดติดกับชนชั้น
ตั้งใจเรียนนะลูกนะ โตขึ้นมาจะได้เป็น ”เจ้าคนนายคน” ประโยคนี้ เชื่อว่าท่านผู้อ่านคงเคยได้ยินผ่านหูกันมาบ้าง แต่เคยคิดไหมครับ ว่าประโยคนี้ บอกอะไรเราบ้าง
สำหรับผมตอนเด็กๆ คิดว่าคำๆนี้ คือความปรารถนาดีของผู้ใหญ่ ที่ต้องการให้บุตรหลานได้ดีในวันข้างหน้า จึงกล่าวย้ำเตือนให้เด็กเกิดความอุตสาหะ ขยันหมั่นเพียรในการศึกษา
แต่เมื่อโตขึ้น ผมไม่เคยใช้คำว่า “เจ้าคน นายคน” คำๆนี้ มาสอนลูกสาวผมเลย เวลาสอนลูกก็จะบอกแค่ว่า “ตั้งใจเรียนนะลูก”แค่นั้น พอแล้ว เพราะผมรู้แล้วว่า สิ่งที่แฝงมากับคำว่า”เจ้าคนนายคน” คือความสับสนของผู้คนในสมัยก่อนที่ยำเกรงต่อการถูกกดขี่ด้วยชนชั้นทางสังคม คนที่อยู่ในชนชั้นต่ำก็ปรารถนาให้ลูกหลานหลุดพ้นจากชะตากรรมเช่นเดียวกับตน ส่วนที่อยู่ในชนชั้นสูง ก็ไม่อยากให้ลูกหลานต้องตกต่ำไปรับชะตากรรมการเป็น “ขี้ข้า” ของใคร จึงพร่ำสอนสั่งกันด้วยคำว่าเจ้าคนนายคน เป้าหมายสูงสุดที่ผู้ใหญ่ในสมัยก่อนที่พร่ำสอนลูกหลานเช่นนี้ คือคาดว่าให้ลูกหลานศึกษาหาความรู้เยอะๆเพื่อจะได้รับราชการต่อไปในวันข้างหน้า
สิ่งนี้เป็นจุดกำเนิด เกิดเป็นค่านิยมผิดๆ ที่ที่ยึดติดกับชนชั้นและเป็นปัญหาให้กับสังคมไทยเรื่อยมา เพราะทำให้อาชีพเดียวที่สามารถกล่าวอ้างได้อย่างเชิดหน้าชูตาในสังคมไทยได้ว่า เป็นเจ้าคนนายคนนั้น มีเพียงอาชีพเดียว คือ ข้าราชการ
มันเป็นเช่นนั้นมาในอดีต จนทุกวันนี้ ข้าราชการ ก็ยังเป็นเช่นนั้นอยู่
ข้าราชการ คืออาชีพเดียวที่ยังวางท่าหยิ่งผยองในการเป็น เจ้าคนนายคน
แม้ไม่ใช่ข้าราชการทุกคน แต่ก็มีจำนวนข้าราชการไม่น้อยที่ทำเช่นนั้น
แต่นั้น.........ก็เพียงพอต่อการให้ความรู้สึกแบ่งชนชั้นกับประชาชนทั่วไปแล้ว
เคยมีสักครั้งไหม ที่ข้าราชการยกมือไหว้เราก่อนเวลาไปติดต่อราชการ ในชีวิตผมอยู่มาก็หลายสิบปี แทบไม่เคยเจอ เคยเจออยู่แค่ตอนไปติดต่อ ธนาคารเพื่อการเกษตร แทนแม่ของผมเท่านั้น ที่เจ้าหน้าที่เป็นฝ่ายยกมือไหว้ผมก่อน(ถ้านับว่า พนักงาน ธกส. เป็นข้าราชการนะ)
ทุกวันนี้ เวลาผมไปรับไปส่งลูกสาวคนเล็กไปเรียนที่โรงเรียนประถมใกล้บ้าน ซึ่งเป็นโรงเรียนรัฐ ทุกครั้งผมยังต้องเป็นฝ่ายเริ่มต้นยกมือไหว้คุณครูซึ่งดูท่าจะอ่อนวัยวุฒิกว่าผมอยู่หลายปีอยู่เลย และสิ่งที่ได้รับคือการยกมือรับไหว้ตอบอย่างเสียมิได้
นี้ยังไม่พูดถึงข้าราชการหน่วยงานอื่นๆที่มียศถาบรรดาศักดิ์นะ เพราะการไปพบแต่ล่ะครั้งนี้แทบจะต้องหมอบกราบกันเข้าหาเลย ผมเคยต้องขึ้นโรงขึ้นศาลครั้งหนึ่ง จากอุบัติเหตุทางรถยนต์ ซึ่งผมเป็นผู้เสียหาย ซึ่งการจะเข้าพบ สารวัตรสืบสวนแต่ล่ะที หรือการขอพบอัยการแต่ละครั้ง ผมนี้ต้องทำตัวให้ “ลีบ” ที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ เพราะไม่เช่นนั้น เจ้าคนนายคนเหล่านี้ จะไม่ให้การช่วยเหลือ ผมซึ่งตกเป็นผู้เสียหาย
ขอบอกเล่าประสบการณ์ส่วนตัวอีกสักกรณี เมื่อสักสิบกว่าปีก่อน สมัยผมเปิดบริษัทใหม่ๆ ปีแรกๆที่ยังเบี้ยน้อยหอยน้อยไม่มีเงินทุนมากนัก ผมทำบัญชีเอง เพราะคิดจะประหยัดค่าจ้าง หากต้องจ้างพนักงานบัญชีมาทำงานด้านนี้ แต่ผลปรากฏว่ากลับถูกเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานด้านภาษี แสดงกริยาท่าทีราวกับว่า ผมเป็นแค่สัตว์ใช้แรงงานไม่มีสมอง เพราะผมกรอกแบบฟอร์มและแสดงรายการรายได้รายจ่ายผิดประเภท ผมจำต้องแก้แล้วแก้อีกด้วยความเข้าใจของตนเอง แล้วก็พยายามยื่นขอชำระภาษีเงินได้ด้วยตัวเองต่อไป เพราะคุณเธอเอาแต่ตำหนิอย่างเดียว ไม่เคยช่วยชี้ทางแก้ไขให้ถูกต้องกับผมเลย จนในที่สุดผมก็ทนไม่ไหว เพราะใช้เวลาพยามยามจัดการปัญหาเรื่องนี้อยู่เป็นอาทิตย์ แต่ก็ไม่สำเร็จ จึงจำใจจ้างบริษัททำบัญชีให้มาช่วยจัดการแทน
ทั้งๆที่ผมเอาเงินไปจ่ายให้ กลับโดนด่าเหมือนหมูเหมือนหมา มันก็ทำให้ผมรู้สึกเหมือนกับว่า ผมกำลังไปจ้างให้คนมาโขกสับผมซะอย่างนั้นแหละทำให้ รู้สึกเสียดายเงินภาษีที่จ่ายไปเลยทีเดียว
อะไรทำให้ ข้าราชการ จึงไว้ตัวและสงวนตัวเองเช่นนี้ เกียรติยศ ศักดิ์ศรี ที่มาจากศักดินา จอมปลอมที่คนรุ่นเก่ายอมรับและก้มหัวให้มาเรื่อยมาอย่างนั้นหรือ..?
ถ้าข้าราชการบางคนเข้าใจเช่นนั้นก็ขอให้คิดเสียใหม่ด้วยนะ เพราะการจะเป็น เจ้าคนนายคน นั้น มีองค์ประกอบหลายอย่าง เช่น
การเป็นเจ้าคนนายคนแท้จริงแล้ว ต้องพร้อมที่จะเป็นคนที่ทำงานหนักกว่าลูกน้องเสมอ เวลาส่วนตัวก็ต้องพร้อมจะยอมสละเพื่อกลับมาทำงาน
การเป็นเจ้าคนนายคนแท้จริงแล้ว ต้องพร้อมที่จะแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นกับลูกน้องตลอดเวลา เพราะเมื่อเกิดปัญหาขึ้นกับลูกน้อง ความรับผิดชอบจะตกไปอยู่ที่เจ้าคนนายคนด้วยเสมอ เพราะที่สุดแล้วความคาดหวังของลูกน้องยามเมื่อเจอปัยหาที่ตนเองไม่สามารถแก้ไขได้ ความหวังทั้งหลายก็จะตกไปอยู่ที่เจ้าคนนายคนอันเป็นที่เพิ่ง
การเป็นเจ้าคนนายคนแท้จริงแล้ว ต้องพร้อมที่จะรับผิดก่อน รับชอบอาจจะทีหลัง - หากเกิดความผิดพลาดต่างๆขึ้นมา หัวหน้าจะเป็นคนแรกที่โดนสอบก่อน เพราะว่าต้องอธิบายได้ว่า ทำไมถึงปล่อยให้เกิดเหตุการณ์อย่างนี้ขึ้นได้เราพลาดอะไรตรงไหน ส่วนเมื่อทำอะไรได้สำเร็จ ความสำเร็จอาจต้องยกให้ทีมงานทั้งหมดก่อน ตนเองไว้ทีหลัง
ซึ่งสรุปก็คือ ความเสียสละ ซึ่งคนที่ไม่มีคุณสมบัตินี้ก็ไม่ควรได้รับการยกย่องให้เป็นเจ้าคนนายคน
แล้วถ้าถามว่า ข้าราชการ มีความเสียสละมากน้อยแค่ไหน สิ่งที่คนทั่วไปรับรู้ ควรเป็นแบบทำงานแบบเช้าชาม เย็นชาม เช่นนั้นหรือ..?
เหมาะสมแล้วหรือที่คนจำพวกนี้จะเป็นเจ้าคนนายคน..?
ทุกวันนี้ใครกันแน่ที่เป็นฝ่ายเสียสละ..? ข้าราชการหรือประชาชน..?
เมื่อประชาชนต้องสละรายได้ส่วนหนึ่งให้กับข้าราชการเพื่อเป็นค่าตอบแทน เพื่อแลกกับการทำงานแบบเช้าชามเย็นชาม และกริยาท่าทางยโสโอหังอย่างนั้นหรือ...?
ใครเป็นเจ้านาย ใครเป็นลูกน้อง ลองปรับมุมมองเสียใหม่นะครับ ลองลืมๆค่านิยมเก่าๆที่มันไม่เข้ากับยุคกับสมัยไปเสียบ้างก็คงดีและที่สำคัญอย่าได้ใช้กริยายโสโอหัง กับประชาชนเลย การยอมรับนับถือนั้น เกิดขึ้นเพราะการที่พวกคุณทำงานดี ทำงานเต็มที่ เสียสละให้กับประชาชนต่างหาก ถึงจะเกิดเกียรติยศศักดิ์ศรีกับตัวท่านเอง มิได้เกิดจากเครื่องแบบ ข้าราชการ ที่ท่านกำลังสวมใส่ และวางท่าทีเป็นเจ้านาย ทั้งๆที่กินเงินเดือนประชาชน
โลกมันเปลี่ยนไปแล้วครับ อย่าได้ทำเป็นไดโนเสาร์ตกยุคที่สวมใส่เครื่องแบบไปหน่อยเลย
เรื่องของชนชั้นนั้นมีเพียงคนแก่กลุ่มเล็กๆเท่านั้นที่ไม่ยอมรับความจริงว่าโลกได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว
จึงพยายามยกตัวเองให้อยู่สูงกว่าคนอื่นอยู่ร่ำไป ซึ่งอันนี้ผมหมายถึงคนที่พวกคุณๆก็รู้กันอยู่ว่า เป็นใคร
ปล.ผู้เขียนขอบอกไว้เลยว่า ข้อเขียนนี้ไม่ได้เกิดจากความ อคติ ของผู้เขียนที่มีต่อข้าราชการแต่อย่างใด เพราะชีวิตของผู้เขียนเอง ที่อยู่รอดและเติบโตขึ้น ก็เพราะได้รับอานิสงค์มาจากเงินเดือนของข้าราชการเช่นกัน พ่อของผมเป็นเจ้าหน้าที่ชลประทาน ที่แม้เสียชีวิตตั้งแต่วัยหนุ่ม แต่ก็ยังได้ทิ้งเงินบำเหน็จบำนาญไว้ให้ลูกเมียยังชีพต่อไป แม้มันจะไม่มากมายพอทำให้สุขสบาย และทำให้แม่ของผมซึ่งเป็นชาวนาเต็มขั้น ต้องตัดสินใจส่งผมมาอยู่กับป้า ผู้ซึ่งประกอบอาชีพเป็นข้าราชการเช่นกัน ให้เป็นผู้ส่งเสียให้ผมได้รับการศึกษาสูงที่สุดเท่าที่ผมจะมีความสามารถไขว่คว้าได้ ผมจึงพูดได้เต็มปากเต็มคำว่าที่ผมเติบโตมาเป็นผู้เป็นคนได้ ก็เพราะเงินราชการนั้นแหละ
ดังนั้นข้อเขียนนี้จึงมิได้มีจุดประสงค์ที่จะเหยียดหยามประณามข้าราชการแต่อย่างใด ตรงกันข้าม ข้อเขียนนี้ต้องการให้ข้าราชการมีเกียรติยศศักดิ์ศรีโดยไม่ต้องเพิ่งค่านิยมเก่าๆ เจ้าคนนายคน จอมปลอมต่างหาก
และคงดีไม่น้อยหากพวกท่าน ข้าราชการ จะสร้างค่านิยมใหม่ให้คนยอมรับนับถือ ด้วยการทำงานรับใช้ประชาชนจริงๆ
*ที่จริงวันนี้ผมเขียนเรื่องรัฐธรรมนูญใหม่ไว้ แต่ดูทรงแล้วคงไปแคล้วปลิว
และสูญเสียล็อคอินแน่ๆ เลยเปลี่ยนมาเขียนเรื่องนี้แทนนี้แหละครับ
ขอบคุณครับ
นายพระรอง