เนื่องจากเราไม่มีพ่อ แม่เลยเป็นทั้งแม่และพ่อ เป็นทั้งพี่และเพื่อน เป็นที่ปรึกษา เป็นครู เป็นทุกอย่างในชีวิต... ที่อยากจะเล่าต่อไปนี้ก็คงเป็นเรื่องของคืนสุดท้ายที่ได้เฝ้าแม่ก่อนแม่จะจากไป
คืนนั้นก่อนจะรู้ว่าต้องเฝ้าแม่ ช่วงบ่ายของวันนั้น ซึ่งเป็นวันศุกร์ ประมาณบ่ายโมงได้ หลังจาก ไปทำงานครึ่งวันเช้ากลับมา พยาบาลเดินมาบอกว่าคืนนี้ขอให้ลูกสาวเฝ้า เพราะอาการไม่ค่อยดี ความดันต่ำลงแต่หัวใจเต้นเร็ว ให้ยากระตุ้นความดันอยู่แต่ไม่รู้ว่าจะไปเมื่อไหร่ พยาบาลฝ่ายที่ดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายเรียกเราไปคุยว่าบอกไม่ได้ว่าแม่จะอยู่อีกกี่ปี เดือน วัน ชั่วโมง หรือนาที ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายคนไข้ ซึ่งก่อนหน้านี้เค้าเรียกเราไปคุยมา1 รอบถามเรื่องหากคนไข้อาการหนักกว่านี้ให้เราตัดสินใจว่าจะยื้อผู้ป่วยมั้ย ซึ่งเราเคยคุยกับแม่มาก่อยจะเข้าโรงพยาบาลว่าแม่ไม่อยากให้ยื้อเค้าไว้ ซึ่งเราก็ไม่อยากให้เค้าทรมานอีกหากเข้าสู้ภาวะนั้น จึงตัดสินใจเซ็นต์ยินยอมไม่รักษาด้วยการช่วยปั้มหัวใจหรือต่อท่อให้หายใจ เย็นวันนั้นแม่ยังคงรู้สึกตัวเป็นระยะๆ แต่ทางหมอและพยาบาลได้ให้มอร์ฟีนเพื่อลดอาการเจ็บปวด ทำให้เค้าแม่เริ่มไม่มีสติในการตอบโต้ด้วยคำพูด แต่ยังคงรับรู้และได้ยิน ค่ำวันนั้นป๊า(พ่อเลี้ยง)มาถึง แม่รับรู้ได้ว่าเค้ามาแม้จะหลับก็ตามคืนนั้นตอนค่ำ เรากลับคอนโดมาเพื่ออาบน้ำกินข้าวก่อนที่จะไปเฝ้าแม่ที่ รพ. เนื่องจากบ้านเราไม่ใช่คนร่ำรวยอะไร แม่จึงอยู่ห้องรวมของโรงพยาบาลรัฐ ซึ่งปกติแล้วเค้าจะไม่ให้ญาติเฝ้าไข้ในห้องผู้ป่วยแต่เนื่องจากอาการของแม่หนักมากจึงได้รับอนุญาตเป็นกรณีพิเศษ การเฝ้าไข้จะเป็นการนั่งเฝ้าข้างเตียงทั้งคืน เรามาถึงโรงพยาบาลตอน4ทุ่มของคืนวันศุกร์ แม่ตื่นพอดีและกำลังร้องด้วยความเจ็บปวดเรียกหมอและพยาบาลเพื่อขอมอร์ฟีนเราวิ่งเข้าไปข้างเตียงเพื่อบอกแม่ว่าเรามาแล้วและเรียกพยาบาลให้แล้ว แม่เหมือนมีสติที่ได้ยินเรา แม่หันมายิ้มซึ่งและลูบหน้าเราก่อนหลับตาลง และหลังจากนั้นแม่ไม่มีสติและลิมตาขึ้นมาอีกเลย สัมผัสแม่ตอนนั้น มือแม่เย็นเฉียบเพราะแม่เลือดน้อยมากอยู่แล้วจนต้องให้เลือดเพิ่มเติม ตลอดทั้งคืนของคืนนั้นเป็นคืนที่เราไม่สามารถหลับได้สนิท เราฟุบหลับข้างเตียงเป็นระยะๆ แม่มีอาการสำลักเสลด ซึ่งทางพยาบาลแจ้งว่าแม่มีอาการติดเชื้อภายในร่างกาย เราต้องคอยเรียกพยาบาลเกือบทุกชั่วโมงเพื่อคอยดูดเสลดที่มีแต่เลือดปนของแม่ออกมา จนถึงตอนเช้าแม่ก็ยังคงหลับตาและไม่มีสติอีกเลย ประมาณ7:30น. ได้เวลาเช็ดตัว ปกติทุกครั้งที่เช็ดตัวแม่จะตื่นมาโวยวายเพราะเจ็บไปทั้งตัว อาการของมะเร็งขั้นนี้คนไข้จะเจ็บไปในอวัยวะทุกส่วนไม่สามารถขยับร่างกายอะไรได้มากนัก แต่วันนี้แม่ไม่ตื่นขึ้นมาอีกแล้ว แต่ครางเบาๆขณะที่เราเปลี่ยนแพมเพิสและเช็ดตัวให้ 8โมงเช้าน้าสาวมาผลัดเวรเฝ้าให้เรากลับไปหลับ เราแวะซื้อข้าวฝากป๊าและกลับห้องมานอน เกือบเที่ยงวันเราอาบน้ำแต่งตัวเสร็จออกจากห้องเผื่อไปหาแม่ที่โรงพยาบาล แม่ยังคงหลับแต่เนื้อตัวสะอาดสะอ้านหลังที่เราเช็ดตัวอาบน้ำให้เมื่อเช้า สีหน้าแม่ดูสดใสมาก เราแตะที่เท้าและบอกแม่ว่าเดี๋ยวไปกินข้าวก่อนนะ เดี๋ยวมาเฝ้าต่อ หลังมื้อเที่ยงที่เราออกไปกินตอนนั้นบ่ายโมงกว่านั้นขณะที่กำลังกลับจากกินข้าว ป๊าโทรมาบอกว่าแม่ไปแล้วนะ มือที่ถือสายอยู่ชาไปทั้งหมด มันจุกอึดอัดแน่น ไม่อยากจะเชื่อว่าแม่จากไปแล้ว ลำดับความคิดเราสับสนไปหมดไม่อยากคิดว่าเป็นเรื่องจริง เมื่อมาถึงเป็นช่วงเวลาห้ามเยี่ยม แต่สำหรับครอบครัวเราทางโรงพยาบาลให้เราเข้าไปดูศพแม่ได้ เตียงของแม่ถูกคลุมด้วยม่านปิดทั้งหมด เราเดินเข้าไปคนเดียว แหวกม่านเข้าไป แม่เหมือนคนนอนหลับ สีหน้าดูอิ่มเอิบ ยิ้มน้อยๆ มือของเราเปิดผ้าห่มตรงบริเวณเท้า ก้มลงกราบเท้าแม่เป็นครั้งสุดท้าย ได้แต่พูดขอโทษในใจที่มาไม่ทัน น้ำตายังไม่มีแต่ในใจน้ำตามันล้นออกมามากมาย ตัวแม่เย็นเฉียบ แม่มีไม่ลมหายใจแล้ว แต่ตัวแม่ยังนิ่มอยู่เรากอดแม่เบาๆ ก่อนเดินออกจากม่านมาพร้อมน้ำตาที่หลั่งออกมาแบบหยุดไม่ได้ เราไม่ได้สะอื้นแต่ในใจมันเหมือนโดนใจมากระชากหัวใจเราออกไป ภาพทุกภาพตั้งแต่เด็กจนโตมันลำดับไล่เรียงมาถึงถึงวันสุดท้ายที่ได้คุยกัน วันสุดท้ายที่แม่ยังหัวเราะให้ จนถึงตอนนี้ เสียงเฝ้าไข้ของคืนนั้น เสียงสัญญาณอุปกรณ์ที่ต่อเข้าบนตัวแม่ยังคงดังก้องในหัว และภาพทุกภาพตั้งแต่เกิดจนโต จนถึงวันสุเท้ายที่อยู่กับแม่ไม่เคยเลือนจากไป... มันยังคงฝังในใจเราไปตลอดกาล... รักแม่ที่เป็นทั้งแม่และพ่อค่ะ แม่ไม่ได้จากไปไหนยังคงอยู่ในใจลูกเสมอและตลอดไป....
ทุกวันนี้ยังคงหลอกตัวเองว่าแม่ไปเที่ยวเดี๋ยวแม่ก็กลับมาทุกครั้งที่กลับมาถึงห้องยังคงเฝ้ามองข้าวของๆแม่รูปถ่ายและทุกอย่างๆที่มีเหลืออยู่... รักแม่นะ ถ้าเป็นไปได้อยากให้เราเกิดมาเจอกันอีก
คิดถึงแม่.. ในวันที่แม่จากไป
คืนนั้นก่อนจะรู้ว่าต้องเฝ้าแม่ ช่วงบ่ายของวันนั้น ซึ่งเป็นวันศุกร์ ประมาณบ่ายโมงได้ หลังจาก ไปทำงานครึ่งวันเช้ากลับมา พยาบาลเดินมาบอกว่าคืนนี้ขอให้ลูกสาวเฝ้า เพราะอาการไม่ค่อยดี ความดันต่ำลงแต่หัวใจเต้นเร็ว ให้ยากระตุ้นความดันอยู่แต่ไม่รู้ว่าจะไปเมื่อไหร่ พยาบาลฝ่ายที่ดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายเรียกเราไปคุยว่าบอกไม่ได้ว่าแม่จะอยู่อีกกี่ปี เดือน วัน ชั่วโมง หรือนาที ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายคนไข้ ซึ่งก่อนหน้านี้เค้าเรียกเราไปคุยมา1 รอบถามเรื่องหากคนไข้อาการหนักกว่านี้ให้เราตัดสินใจว่าจะยื้อผู้ป่วยมั้ย ซึ่งเราเคยคุยกับแม่มาก่อยจะเข้าโรงพยาบาลว่าแม่ไม่อยากให้ยื้อเค้าไว้ ซึ่งเราก็ไม่อยากให้เค้าทรมานอีกหากเข้าสู้ภาวะนั้น จึงตัดสินใจเซ็นต์ยินยอมไม่รักษาด้วยการช่วยปั้มหัวใจหรือต่อท่อให้หายใจ เย็นวันนั้นแม่ยังคงรู้สึกตัวเป็นระยะๆ แต่ทางหมอและพยาบาลได้ให้มอร์ฟีนเพื่อลดอาการเจ็บปวด ทำให้เค้าแม่เริ่มไม่มีสติในการตอบโต้ด้วยคำพูด แต่ยังคงรับรู้และได้ยิน ค่ำวันนั้นป๊า(พ่อเลี้ยง)มาถึง แม่รับรู้ได้ว่าเค้ามาแม้จะหลับก็ตามคืนนั้นตอนค่ำ เรากลับคอนโดมาเพื่ออาบน้ำกินข้าวก่อนที่จะไปเฝ้าแม่ที่ รพ. เนื่องจากบ้านเราไม่ใช่คนร่ำรวยอะไร แม่จึงอยู่ห้องรวมของโรงพยาบาลรัฐ ซึ่งปกติแล้วเค้าจะไม่ให้ญาติเฝ้าไข้ในห้องผู้ป่วยแต่เนื่องจากอาการของแม่หนักมากจึงได้รับอนุญาตเป็นกรณีพิเศษ การเฝ้าไข้จะเป็นการนั่งเฝ้าข้างเตียงทั้งคืน เรามาถึงโรงพยาบาลตอน4ทุ่มของคืนวันศุกร์ แม่ตื่นพอดีและกำลังร้องด้วยความเจ็บปวดเรียกหมอและพยาบาลเพื่อขอมอร์ฟีนเราวิ่งเข้าไปข้างเตียงเพื่อบอกแม่ว่าเรามาแล้วและเรียกพยาบาลให้แล้ว แม่เหมือนมีสติที่ได้ยินเรา แม่หันมายิ้มซึ่งและลูบหน้าเราก่อนหลับตาลง และหลังจากนั้นแม่ไม่มีสติและลิมตาขึ้นมาอีกเลย สัมผัสแม่ตอนนั้น มือแม่เย็นเฉียบเพราะแม่เลือดน้อยมากอยู่แล้วจนต้องให้เลือดเพิ่มเติม ตลอดทั้งคืนของคืนนั้นเป็นคืนที่เราไม่สามารถหลับได้สนิท เราฟุบหลับข้างเตียงเป็นระยะๆ แม่มีอาการสำลักเสลด ซึ่งทางพยาบาลแจ้งว่าแม่มีอาการติดเชื้อภายในร่างกาย เราต้องคอยเรียกพยาบาลเกือบทุกชั่วโมงเพื่อคอยดูดเสลดที่มีแต่เลือดปนของแม่ออกมา จนถึงตอนเช้าแม่ก็ยังคงหลับตาและไม่มีสติอีกเลย ประมาณ7:30น. ได้เวลาเช็ดตัว ปกติทุกครั้งที่เช็ดตัวแม่จะตื่นมาโวยวายเพราะเจ็บไปทั้งตัว อาการของมะเร็งขั้นนี้คนไข้จะเจ็บไปในอวัยวะทุกส่วนไม่สามารถขยับร่างกายอะไรได้มากนัก แต่วันนี้แม่ไม่ตื่นขึ้นมาอีกแล้ว แต่ครางเบาๆขณะที่เราเปลี่ยนแพมเพิสและเช็ดตัวให้ 8โมงเช้าน้าสาวมาผลัดเวรเฝ้าให้เรากลับไปหลับ เราแวะซื้อข้าวฝากป๊าและกลับห้องมานอน เกือบเที่ยงวันเราอาบน้ำแต่งตัวเสร็จออกจากห้องเผื่อไปหาแม่ที่โรงพยาบาล แม่ยังคงหลับแต่เนื้อตัวสะอาดสะอ้านหลังที่เราเช็ดตัวอาบน้ำให้เมื่อเช้า สีหน้าแม่ดูสดใสมาก เราแตะที่เท้าและบอกแม่ว่าเดี๋ยวไปกินข้าวก่อนนะ เดี๋ยวมาเฝ้าต่อ หลังมื้อเที่ยงที่เราออกไปกินตอนนั้นบ่ายโมงกว่านั้นขณะที่กำลังกลับจากกินข้าว ป๊าโทรมาบอกว่าแม่ไปแล้วนะ มือที่ถือสายอยู่ชาไปทั้งหมด มันจุกอึดอัดแน่น ไม่อยากจะเชื่อว่าแม่จากไปแล้ว ลำดับความคิดเราสับสนไปหมดไม่อยากคิดว่าเป็นเรื่องจริง เมื่อมาถึงเป็นช่วงเวลาห้ามเยี่ยม แต่สำหรับครอบครัวเราทางโรงพยาบาลให้เราเข้าไปดูศพแม่ได้ เตียงของแม่ถูกคลุมด้วยม่านปิดทั้งหมด เราเดินเข้าไปคนเดียว แหวกม่านเข้าไป แม่เหมือนคนนอนหลับ สีหน้าดูอิ่มเอิบ ยิ้มน้อยๆ มือของเราเปิดผ้าห่มตรงบริเวณเท้า ก้มลงกราบเท้าแม่เป็นครั้งสุดท้าย ได้แต่พูดขอโทษในใจที่มาไม่ทัน น้ำตายังไม่มีแต่ในใจน้ำตามันล้นออกมามากมาย ตัวแม่เย็นเฉียบ แม่มีไม่ลมหายใจแล้ว แต่ตัวแม่ยังนิ่มอยู่เรากอดแม่เบาๆ ก่อนเดินออกจากม่านมาพร้อมน้ำตาที่หลั่งออกมาแบบหยุดไม่ได้ เราไม่ได้สะอื้นแต่ในใจมันเหมือนโดนใจมากระชากหัวใจเราออกไป ภาพทุกภาพตั้งแต่เด็กจนโตมันลำดับไล่เรียงมาถึงถึงวันสุดท้ายที่ได้คุยกัน วันสุดท้ายที่แม่ยังหัวเราะให้ จนถึงตอนนี้ เสียงเฝ้าไข้ของคืนนั้น เสียงสัญญาณอุปกรณ์ที่ต่อเข้าบนตัวแม่ยังคงดังก้องในหัว และภาพทุกภาพตั้งแต่เกิดจนโต จนถึงวันสุเท้ายที่อยู่กับแม่ไม่เคยเลือนจากไป... มันยังคงฝังในใจเราไปตลอดกาล... รักแม่ที่เป็นทั้งแม่และพ่อค่ะ แม่ไม่ได้จากไปไหนยังคงอยู่ในใจลูกเสมอและตลอดไป....
ทุกวันนี้ยังคงหลอกตัวเองว่าแม่ไปเที่ยวเดี๋ยวแม่ก็กลับมาทุกครั้งที่กลับมาถึงห้องยังคงเฝ้ามองข้าวของๆแม่รูปถ่ายและทุกอย่างๆที่มีเหลืออยู่... รักแม่นะ ถ้าเป็นไปได้อยากให้เราเกิดมาเจอกันอีก