[Spoil] รีวิว ‘The Dressmaker แค้นลั่น ปังเวอร์’ ช่างเป็นหนังที่ แค้นลั่น ‘เป๊ะ’เวอร์ …หนังชาวโลกสวยห้ามดู

The dressmaker ชื่อไทยว่า แค้นลั่น ปังเวอร์ แต่ขอเปลี่ยนเป็นชื่อ แค้นลั่น ‘เป๊ะ’เวอร์ แทนนะคะ เพราะน่าจะเหมาะสมกว่า 555 และที่สำคัญเรื่องนี้ชาวโลกสวยห้ามดูเด็ดขาด

ไม่รู้นะว่าจริงๆแล้วเค้าจัดประเภทหนังไว้แบบไหน แต่จากที่ดูในเทรลเลอร์และที่ไปดูมาจริงๆ ขอจัดประเภทให้อยู่ในหมวดหนังแนวเสียดสีสังคมดราม่าปนตลกร้ายละกัน

หนังเรื่องนี้อาจไม่ใช่หนังที่สมควรได้รางวัลอะไร เพราะองค์ประกอบของหนังไม่ได้ดีขนาดนั้น ไม่ว่าจะเป็นการกำกับที่ก็ไม่ได้มีอะไรให้ตราตรึงมากมาย บทภาพยนตร์ที่เรื่อยๆมาเรียงๆ และไม่ได้ให้ความสำคัญกับตัวละครหลายตัวที่ควรมีบทบาทมากกว่านี้ เพื่อให้หนังดูมีน้ำหนักมากขึ้นแต่อย่างใด และไม่ค่อยมีการกระจายบทเลย

แต่นี้เป็นหนึ่งในหนังที่ชื่นชอบมากกกกก เพราะความปังของนางเอก ความสะใจแบบไม่ต้องพยายาม และการนำเสนอแบบตลกร้ายแสบสันจิกกัดสังคมในประเด็นที่ก็ยังคงไม่เปลี่ยนในทุกยุคทุกสมัย และอีกอย่างที่ชอบมากๆคือ เสื้อผ้าหน้าผมที่จัดเต็มมากๆ เลอค่ามั๊กๆ สมกับที่แสดงออกชัดเจนตั้งแต่ในใบปิดหนัง ในตัวอย่างหนัง และการโปรโมตหนังว่าในหนังเรื่องนี้จะมีอะไร สมกับที่คาดหวังไว้จริงๆสำหรับแฟชั่นในเรื่อง ฟินนนนอ่ะ โดยรวมให้ B+ ค่ะ แต่เรื่องนี้คือชอบมากกว่าบางเรื่องที่ให้ A อีกนะ

นางเอกคือทิลลี่ ลูกไม่มีพ่อที่ในวัยเด็ก เธอถูกกล่าวหาว่าฆ่า สจ๊วร์ต ลูกชายของอีวาน (ผู้มีตำแหน่งประมาณว่าเป็นนายอำเภอของเมืองอ่ะน่ะ) จนต้องถูกขับไล่ออกจากเมืองไป เมื่อเติบโตขึ้น เธอได้กลายเป็นช่างเย็บผ้าสาวสวยมากความสามารถที่ทำงานให้ห้องเสื้อชื่อดังและดีไซเนอร์ชื่อดังระดับโลกอยู่ที่ปารีส และคงด้วยปมบางอย่างเกี่ยวกับการที่ถูกขับไล่ออกมาที่ยังฝังใจอยู่ วันหนึ่ง เธอจึงตัดสินใจเดินทางกลับมาขุดคุ้ยความจริงและจัดการกับชาวเมืองตัวแสบทั้งหลาย และที่สำคัญ เธอเองก็จำไม่ได้ว่า วันนั้นมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ และเธอได้ฆ่าเด็กชายคนนั้นจริงๆหรือเปล่า

ระหว่างการตามล่าหาความจริง หนังก็จะพาคนดูออกไปพบเจอกับตัวละครชาวเมืองต่างๆ ตลอดจน ‘แฟชั่นระดับโอต์ กูตู (Haute Couture / High fashion)’ โดยมีฉากหลังเป็นบรรยากาศแบบแถบชนบทสุดขีดของเมืองดันกาตาร์ ประเทศออสเตรเลีย ในปี 1951  (เรียกง่ายๆว่า ไม่มีฉากไหนที่น่าเบื่อเลยอ่ะ ถึงอารมณ์หนังตอนนั้นจะน่าเบื่อ แต่ที่สุดแล้ว อย่างน้อย ‘เสื้อผ้าสุดปังเวอร์’ ในฉากนั้นก็จะมาชดเชยตรงส่วนนั้นไปได้! รอดไปนะ!)

‘มอลลี่’ คุณแม่‘ปากร้ายใจดี’และ‘ปากอย่างใจอย่าง’ของทิลลี่

‘จ่าฟาร์เร็ต’ นายตำรวจแอ๊บแมนจอมขโมยซีนประจำเรื่อง โดยมีงานอดิเรกสุดเลิฟเป็นการแอบแต่งหญิงลั้นล่าลั้นล่า

‘อีวาน’ พ่อของเด็กชายที่ตายเมื่อหลายปีก่อนคนนั้น โดยเขายังมีตำแหน่งสำคัญอะไรสักอย่างในเมืองแห่งนี้ น่าจะคล้ายๆนายอำเภออ่ะนะ เค้ามีภรรยาชื่อ ‘แมริโกลด์’ โดยหล่อนจะเพี้ยนนิดๆ และก็ยังทำใจไม่ได้กับลูกชายที่จากไป โดยสามีบอกเธอว่า สาเหตุการตายของลูกชาย คือ ตกต้นไม้ตาย

‘วิลเลียม’ หนุ่มหล่อมาดเนี้ยบผู้มีทรงผมเป๊ะเวอร์ตลอดทั้งเรื่อง และถ้านั้นยังไม่เป๊ะพอ เขายังเป็นลูกเศรษฐีประจำเมืองอีกด้วย อะไรมันจะขนาดนั้น

‘เกอร์ทรูด’ สาวอวบสุดเฉิ่มเชยลูกเจ้าของร้านชำประจำเมืองที่แอบชอบวิลเลียม แต่ถูกตั้งแง่รังเกียจโดยเศรษฐินีแม่ของวิลเลียมที่ชื่อ ‘อีลสเบ็ธ’ เพราะเธออยากให้ลูกชายสุดเลิฟได้ภรรยาที่ดูดีมีระดับ และที่สำคัญ นางอยากได้ลูกสะใภ้ร่ำรวยๆ อารมณ์ประมาณเอาเงินมาต่อเงิน อะไรงิมากกว่า

‘เท็ดดี้’ พระเอกแนวลูกทุ่งๆเซอร์ๆแมนๆที่หลงรักทิลลี่หัวปักหัวปำจนถึงขึ้นชวนให้หนีไปด้วยกัน โดยเขามีน้องชายชื่อ ‘บาร์นี่’ ผู้มีอาการคล้ายดาวน์ซินโดรม

‘อูน่า’ ช่างตัดเสื้อมาดคุณป้าหัวโบราณที่นายอำเภออีวานจ้างมาเป็นคู่แข่งของทิลลี่ เพื่อลดทอนความชื่นชอบที่ชาวเมืองเริ่มมีให้ทิลลี่มากขึ้นจากผลงานเสื้อผ้าที่เธอออกแบบและตัดเย็บให้ชาวเมือง

เมื่อทิลลี่กลับมาที่เมืองแห่งนี้เธอได้ใช้ทักษะอันเลอค่าที่นำกลับมาด้วยจากปารีส มาสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับบรรดาชาวเมืองด้วยการทำการออกแบบเสื้อผ้าและแปลงโฉมให้กับบรรดาชาวเมืองทั้งสาวเล็กสาวใหญ่ให้แต่ละคนดูราวกลับหลุดมาจากภาพยนตร์ฮอลลีวู้ดยุคทองยังไงยังงั้น

หนังมีฉากได้เสียดสีจิกกัดสังคมอยู่หลายฉากด้วยกัน เช่น ตอนแรกวิลเลียมไม่สนใจเกอร์ทรูดเลย แต่พอทิลลี่จัดการแปลงโฉมเกอร์ทรูดซะยังกะนางแอบไปเกิดใหม่ วิลเลียมก็ตกหลุมรักหล่อนเสียหัวปักหัวปำ แต่พอด้วยความที่ว่าที่แม่สามีไม่ชอบลูกสะใภ้ นางเลยให้อูน่าหัวโบราณมาเป็นคนตัดชุดเจ้าสาวให้ว่าที่ลูกสะใภ้ ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้ก็สุดแสนสยดสยองพองเกล้าสมใจว่าที่แม่สามีสุดแสบ

เกอร์ทรูดสุดชิคเลยดูกลับไปเป็นยัยเฉิ่มเบอะเหมือนเดิมในชุดน่าเกลียดสุดฟูฟ่องที่ดูสยองมากกว่าสง่า ว่าที่แม่ยายพยายามจะให้วิลเลียมเห็นสภาพเกอร์ทรูดที่ดูไม่สวยสะพรั่งในชุดดังกล่าวให้ได้ เพื่อจะให้เค้าเลิกชอบลูกเจ้าของร้านชำดังกล่าว แต่เกอร์ทรูดหนีไปได้ทางหน้าต่าง นำไปสู่ฉากไล่จับอุตลุตทั่วเมืองที่ว่าที่แม่สามีพยายามจะพาวิลเลียมไปดูสภาพเกอร์ทรูดให้ได้

แต่เกอร์ทรูดวิ่งทะลุเมืองมาหาทิลลี่ให้ทิลลี่ช่วยได้ทัน ทำให้วิลเลียมได้ให้เกอร์ทรูดตอนมาดนางพญาสง่างามเหมือนเดิม โดยมีคุณแม่ของเค้าพยายามตะโกนโวยวายว่า หล่อนไม่ได้ดูดีอย่างงั้นจริงๆซะหน่อย ชุดนั้นที่ทิลลี่แก้ไขให้ทันเวลาหลอกตาให้หล่อนออกมาดูดีเฉยๆต่างหาก!!!  

โดยฉากนี้ สะท้อนให้เห็นว่า วิลเลียมชอบเกอร์ทรูดก็เพียงเพราะตอนนี้เธอดูดีแล้ว แต่ถ้าเธอปราศจากการแปลงโฉมโดยทิลลี่ แล้วเกอร์ทรูดกลับไปดูเหมือนเดิม เขาก็คงไม่ชอบและไม่แต่งงานด้วยแน่ๆ เพราะไม่มีฉากไหนในเรื่องเลยที่แสดงให้เห็นว่าเค้าชอบเกอร์ทรูดด้วยเหตุผลอื่น

และที่น่าเศร้าพอกันก็คือเกอร์ทรูดเองก็รู้ถึงความจริงข้อนี้ตลอดเวลา เธอถึงทำทุกวิถีทางให้วิลเลียมเห็นเธอเฉพาะตอนสภาพที่ดูดีมีคลาสเท่านั้น ไม่งั้นวิลเลียมก็คงรับสภาพตัวจริงของเธอที่ก็ไม่ได้ดูดีสุดสมบูรณ์แบบไม่ได้

นอกจากนี้ ยังมีฉากจิกกัดความฟอนแฟะของสถาบันครอบครัวที่มีมาทุกยุคทุกสมัย เช่น อีแวนแต่งงานกับแมริโกลที่ค่อนข้างจะเพี้ยนก็เพียงเพราะเธอมีฐานะร่ำรวย และเขาก็วุ่นวายอยู่กับการให้เธอกินยาโน่นยานี้ที่เหมือนจะทำให้แย่ลงมากกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำ และใช้เวลาว่างไปกับการหาเศษหาเลยกับคนโน่นคนนี้ รวมทั้งสาวๆชาวเมือง ไม่ว่าจะในเวลาหรือสถานที่แบบไหน แม้แต่ในบ้านตัวเอง

จนในที่สุดเมื่อหนังเฉลยออกมาว่า ทิลลี่เองเป็นลูกสาวนอกสมรสของอีแวนนั่นเองโดยเค้าพยายามปกปิดสังคมมาตลอด เค้าจึงสนับสนุนในการไล่เธอออกจากเมือง โดยจ่าฟาร์เร็ตเองก็รู้ว่า ไม่ใช่ทิลลี่หรอกที่ทำ แต่โดนบังคับให้ปิดปากเงียบไม่งั้นจะเปิดเผยเรื่องที่เขาแอ๊บแมนมาโดยตลอด ซึ่งถ้าความจริงนี้ถูกเปิดเผย มันจะทำให้เขาเดือดร้อนอย่างนักในยุคสมัยนั้น

โดยหนึ่งในชู้รักของอีแวนเองก็เป็นตัวต้นเหตุสำคัญที่ทำให้ทิลลี่โดนขับไล่ เพราะเธอใส่ร้ายเรื่องทั้งหมดผ่านคำให้การเท็จที่เธอให้กับเจ้าหน้าที่ เธอบอกว่า เธอเห็นทิลลี่เป็นคนทำ โดยเธอคนนั้นก็คือครูไหวใจร้ายประจำเมืองนามว่า ครูบูล่าห์ นั่นเอง

และที่น่าเศร้าอีกแล้วก็คือ ที่เธอใส่ร้ายเด็กน้อยไม่ใช่เพราะว่าเธอเป็นคนทำเสียเอง และต้องการป้ายความผิด แต่เธอเองก็ไม่เห็นและไม่รู้ว่าใครทำ แต่มีเพียงทิลลี่ที่อยู่บริเวณตรงนั้นกับเด็กชายที่ตาย แล้วครูบูล่าห์เองไม่ต้องการดูไม่ดีในสายตาอีแวนชู้รักของเธอว่า เธอดูแลลูกชายเค้าไม่ดีพอ เธอจึงแต่งเรื่องโกหกป้ายสีทิลลี่

ส่วนคนเดียวที่เห็นเหตุการณ์ในวันนั้น ก็คือ บาร์นี่ น้องชายผู้มีอาการคล้ายดาวน์ซินโดรมของเท็ดดี้ พระเอกหนุ่มสุดหล่อประจำเรื่อง โดยเขามองเห็นว่า สจ๊วร์ต ที่เป็นเด็กแสบประจำโรงเรียนและชอบรังแกคนอื่น พยายามทำร้ายทิลลี่ โดยวิ่งเอาหัวชนท้องทิลลี่แบบที่เขาชอบทำเวลาแกล้งเพื่อนนักเรียน แต่ทิลลี่หลบ ผลลัพธ์ที่ได้จึงเท่ากับว่า เขาวิ่งเอาหัวโหม่งชนกำแพงจึงคอหักตาย ไม่มีใครฆาตกรรมเขาแต่อย่างใด แล้วบาร์นี่เห็นเหตุการณ์นี้จากที่อื่นผ่านกล้องส่องทางไกล แต่ไม่มีใครมาถามเขา เพราะความที่เขาป่วยดาวน์ซินโดรม แล้วเขาก็ไม่กล้าบอกใคร เพราะเขาก็กลัวโดนขับไล่ออกจากเมืองเหมือนกัน ซึ่งนี้ก็เสียดสีสังคมเหมือนกันในเรื่องการตัดสินคนจากภายนอก และการที่สังคมไม่เห็นคุณค่าคนแบบบาร์นี่

ในส่วนของความรักระหว่างทิลลี่กับเท็ดดี้ก็จบลงด้วยโศกนาฏกรรม เพราเท็ดดี้ตายหลังจากพยายามพิสูจน์ให้ทิลลี่ผู้ยังคงเศร้าหมองไม่สามารถเปลี่ยนความคิดของชาวเมืองได้ และเชื่อว่า ตนถูกสาป กลับมารู้สึกดีขึ้น ทำเอาทิลลี่เสียใจและหมดอาลัยตายอยากไปเสียนาน จนมอลลี่ คุณแม่ปากแข็งต้องเป็นฝ่ายมาดูแลทิลลี่แทน หลังจากที่เป็นฝ่ายได้รับการดูแลมาตลอดตั้งแต่ทิลลี่กลับมา และก็เป็นคุณแม่นี้แหละที่วางแผนให้ทิลลี่แก้แค้นชาวเมืองงี่เง่าเมืองนี้ โดยให้ทิลลี่ไปออกแบบเสื้อผ้าให้กับอีกเมืองที่ชื่อเมือง วินเยิร์ป เล่นเอาชาวเมืองดันกาตาร์ถึงกับตกใจและโกรธสุดๆเมื่อรู้เรื่องนี้ตอนเดินทางไปประกวดทางการแสดงที่เทศกาล Eisteddfod เช่นกัน แต่ด้วยเสื้อผ้าที่ดูแย่กว่าเดิมเข้าไปอีกเมือเทียบกับเสื้อผ้าของอีกเมืองที่ออกแบบโดยทิลลี่

และฉากที่เรียกได้ว่า อาจจะเป็นที่มาของชื่อไทยของหนังเรื่องนี้ ก็มาถึง เมื่อชาวเมืองที่น่ารังเกียจเหล่านี้เดินทางไปประกวดในเทศกาลดังกล่าวทั้งหมดเมือง (และถึงจุดนี้ มอลลี่ แม่ของทิลลี่ และเท็ดดี้ พระเอกสุดล้ำก็ตายไปแล้วทั้งคู่ และจ่าฟาร์เร็ตก็โดนจับกุมไปแล้วเพราะเขาออกรับความผิดแทนทิลลี่เกี่ยวกับขนมบราวนี่ผสมกัญชา เพื่อเสมือนเป็นการไถ่บาปที่เค้าเคยปล่อยให้เหตุการณ์ใส่ร้ายทิลลี่เกิดขึ้นเลยตามเลย แทนที่เขาจะพยายามแก้ไข) ทิลลี่จึงจัดการเผาบ้านตัวเองและเผาเมืองทั้งเมืองด้วยลีลาและเสื้อผ้าหน้าผมที่คนดูจะต้องสะใจแน่ๆกับความปังของนาง

ก่อนที่จะนั่งรถไฟเพื่อไปจากที่นี้ และกลับไปยังปารีส เพราะทิลลี่ได้เรียนรู้แล้วว่า เธออาจสามารถเปลี่ยนแปลงภายนอกของชาวเมืองเหล่านี้ได้ให้ดูดีดูเลิศ ให้มีคลาสมีระดับ ให้ดูเหมือนกลายเป็นคนละคนกันเลยทีเดียว แต่สุดท้ายเธอก็ไม่สามารถเปลี่ยน ‘สิ่งที่อยู่ภายใน’ ของชาวเมืองได้อยู่ดี และถึงเวลาแล้วที่ต้องเชิดใส่ ปล่อยมันไป อย่าได้แคร์ เพราะมันไม่สำคัญอีกต่อไปแล้วว่าใครจะคิดยังไงกับเธอ เพราะเธอรับรู้ความจริงทั้งหมดแล้ว และไม่ว่ายังไงชาวเมืองก็จะไม่ชอบเธออยู่ดี ไม่ว่าแท้จริงแล้ว ใครจะผิดจะถูก แล้วเธอเองก็ต้องไม่เอาตัวเองไปจมอยู่กับอะไรเหล่านี้อีกต่อไป อย่าไปเสียเวลากับ ‘พวกขยะ’ แต่ต้องก้าวเดินต่อไปข้างหน้า(แบบปังเว่อร์และเป๊ะเว่อร์)นั่นเอง

แล้วนี้แหละคือเหตุผลที่ชาวโลกสวยไม่ควรดูหนังเรื่องนี้ เพราะตอนจบมันเป็นแนวเผาเมืองกันวอดวาย แบบพอกันทีจบกันที ช่างมันฉันไม่แคร์อีกต่อไป จบแบบโหดๆปังๆ เรียกร้องความสะใจจากคนดูอ่ะนะ ไม่ได้จบแบบทุกคนวิ่งมาจับมือกันกลางทุ่งหญ้าสีเขียว กระโดดโลดเต้น กอดกันรักกัน เข้าใจกันดีกันอะไรงั้นอ่ะนะ




แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่