เสี้ยวหนึ่งของความทรงจำ : ตอนที่ 5 โรงแรมหลอน

กระทู้สนทนา
เรื่องนี้เป็นประสบการณ์ที่ผมพบเจอพร้อมกับกลุ่มเพื่อนของผมขณะที่เดินทางมาสอบที่กรุงเทพฯ เป็นเรื่องของโรงแรมแห่งหนึ่งในจังหวัดกรุงเทพฯนี่แหละครับ ซึ่งตอนนั้นเองผมยังเด็ก และยังเป็นเด็กบ้านนอกอีกด้วย ยอมรับจริงๆว่าผมเองไม่ทราบได้เลยว่าโรงแรมนั้นอยู่ส่วนไหน ด้วยความเป็นเด็กบ้านนอกเนอะ เรื่องนี้ผมขอไม่เกริ่นยาว มาเริ่มเรื่องกันเลยครับ


เสียงเครื่องยนต์พร้อมกับเสียงแตรดังสนั่นบนท้องถนนของกรุงเทพฯ “นักเรียนครับเข้าแถวให้เป็นระเบียบนะ เดี๋ยวพวกครูจะได้แจกกุญแจห้องพักของแต่ละคน นอนห้องละสี่คนนะ รีบจับคู่กับเพื่อนไว้” สิ้นเสียงของครูพร ครูวิชาคณิตศาสตร์ นักเรียนทุกคนรวมถึงตัวผมเองนั้นก็รีบเดินจัดแถวตอนลึกกันอย่างเร่งรีบ

“เฮ้ยแมน ยุห้องกุมั้ย มีไอ้ฉัตร ไอ้ต๊ะ ละก็กุ” แตงเพื่อนที่เรียนกับผมกล่าวเชื้อเชิญ ผมรีบตกลงโดยไม่ต้องไตร่ตรองใดๆเพราะสนิทกันอยู่พอสมควร ครูพรและครูท่านอื่นเดินแจกกุญแจ และให้นักเรียนที่อยู่ห้องเดียวกันเดินไปเข้าไปรอในห้องโถงของโรงแรมแห่งนั้น ไม่นานนักครูพรก็เดินมาพร้อมกับยื่นกุญแจให้ผม ผม แตง ฉัตร ต๊ะ ก็พร้อมใจกันลุกแล้วไปนั่งในห้องโถงที่ทางโรงแรมจัดไว้ให้เพื่อเป็นสัญญาณว่าพร้อมที่จะเข้าพักแล้ว

ภายในโรงแรมชั้นหนึ่งจะเป็นล็อบบี้และห้องโถงเหมือนโรงแรมทั่วไป แต่ชั้นสองและชั้นสามของโรงแรมนั้นจะเป็นสถานบันเทิง โต๊ะสนุ๊กเกอร์อะไรทำนองนั้น  ซึ่งทางคณะครูห้ามไม่ให้นักเรียนย่างกรายเข้าไปในพื้นที่ของชั้นสองและชั้นสามเป็นอันขาด หลังจากเสียงสัญญาณเลิกแถวผมและรูมเมทของผมเดินตรงไปตามทางเดินซึ่งมีสัญลักษณ์บอกทางไปยังลิฟท์ หลังจากเข้าไปในลิฟท์อันเก่าเคร่าครึแล้ว ผมกดเลข 6 ตามเลขตัวแรกของคีย์การ์ดที่ติดอยู่กับกุญแจห้องอันบ่งบอกว่าเป็นชั้นไหน ไม่นานนักลิฟท์ก็พาผมและคนอื่นๆมาถึงชั้น 6 ผมก็เดินตรงไปตามป้ายที่บอกว่าห้องผมอยู่ด้านขวา ทางเดินมีลักษณะไม่กว้างมากและพื้นโรงแรมแห่งนั้นถูกปูไว้ด้วยพรมสีแดง แลดูวังเวงอยู่ไม่น้อย ขณะที่ผมกำลังเพลิดเพลินกับความคิดเรื่อยเปื่อย ฉัตรก็หยุดอยู่หน้าประตู้ไม้ขนาดมาตรฐานทั่วไป ปรากฎเลขห้อง 616 ลักษณะภายในห้องพักก็เหมือนโรงแรมทั่วไป ขนาดห้องประมาณยี่สิบแปดตารางเมตร มีที่สอดคีย์การ์ดเพื่อให้เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในห้องทำงานติดอยู่ด้านข้างประตู มีห้องน้ำอยู่ด้านหน้า ถัดมาก็เป็นเตียงสามเตียง โดยลักษณะของเตียงนั้นเป็นเตียงที่นำฟูกสองชั้นมาซ้อนกันอยู่ ถัดมาอีกก็เป็นประตูกระจกพร้อมผ้าม่าน และระเบียง ปลายเตียงเป็นโต๊ะเครื่องแป้ง และทีวีอีกเครื่องหนึ่ง

ภายหลังจากจัดวางกระเป๋าเสร็จเรียบร้อย รูมเมททั้งสามของผมก็รีบวิ่งแจ้นออกไปห้องเพื่อนอีกคนนึงปล่อยให้ผมอ้างว้างเปล่าเปลี่ยวอยู่ภายในห้องสี่เหลี่ยมที่ผมไม่คุ้นเคยเอาเสียเลย ผมล็อคประตูแล้วเดินไปรูดผ้าม่านเผยให้เห็นบรรยากาศเมืองกรุงที่แออัดไปด้วยตึกรามบ้านช่อง ผมค่อยๆเลื่อนประตูกระจกเพื่อก้าวไปยังระเบียงอันคับแคบของห้องที่ผมพักอยู่ อากาศอันอับอ้าววิ่งเข้ามาปะทะตัวผม อากาศที่เต็มไปด้วยฝุ่นควัน ช่างดูอึดอัดยิ่ง ผมปิดประตูแล้วเหม่อมองทัศนียภาพของเมืองกรุงที่ผมไม่คุ้นเคย พลางคิดถึงเรื่องต่างๆนาๆ

“กุกๆๆๆๆๆ” เสียงกุกกักดังภายในห้อง ในใจผมคิดไปว่า เอ้อรูมเมทผู้น่ารักของผมคงกลับมากันแล้วล่ะ ผมจึงเปิดประตูระเบียงเข้าไปในห้อง ผมกลับพบเพียงความว่างเปล่า คีย์การ์ดยังเสียบอยู่ที่เดิม ผมเดินเข้าไปใกล้ๆเพื่อจะดูว่าเมื่อซักครู่ ผมล็อคประตูหรือเปล่าและประตูนั้นก็ล็อคอยู่ พลันผมก็นึกขึ้นได้ “กุญแจและคีย์การ์ดจะมีห้องละหนึ่งชุด ซึ่งขณะนี้มันเสียบอยู่ที่เดิม ประตูผมก็ล็อคเองกับมือ แล้วเมื่อกี้เสียงอะไร?” ผมเดินกลับมาที่เตียงพร้อมกับทบทวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ ผมเริ่มรู้สึกไม่ดีกับห้องนี้เสียแล้ว

ก็อกๆๆ “แมนโว้ย เปิดประตูหน่อย” เสียงสวรรค์ลอยเข้ามาหูของผม ในขณะที่ผมกำลังครุ่นคิดเรื่องเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ ผมรีบเดินไปเปิดประตูพร้อมกับพูดคุยตามปกติเพื่อไม่ให้เป็นการผิดสังเกตุนัก

ขณะที่คุยกันเพลินๆผมก็ถามคำถามที่ผมยังค้างคาใจอยู่ “เมื่อกี้ก่อนที่จะเปิดประตูมีใครแวะมาเอาของในห้องรึเปล่า” ทุกคนทำหน้าฉงนพร้อมกับส่ายหัว และถามผมว่า “มีอะไรหรอ” “ไม่มีอะไรหรอก พอดีเมื่อกี้กระเป๋าตกน่ะ”  ผมตอบอย่างหน้าตาเฉย แต่ในใจพลางคิดไปว่า “ผมจะไม่อยู่ห้องนี้คนเดียวอีกเด็ดขาด”
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่