โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 19 ม.ค. 2559
“การบินไทย” ทบทวนเส้นทางการบินระยะไกล นำร่องที่กรุงเทพฯ—โซล—ลอสแอนเจลิส ใหม่ หลังราคาน้ำมันโลกดิ่งวูบ รุกตลาดลูกค้า เพิ่มยอดขายเมืองปลายทาง ทำแพ็กเกจเชื่อมเมืองใหม่ หารือแอร์ฟรานซ์ ช่วยหาเอเย่นต์รายย่อย จ่อขายผ่านออนไลน์ ลุ้นเพิ่มอัตราบรรทุกผู้โดยสารเป็น 80% จากปัจจุบัน 73%
ผู้สื่อข่าวรายงานจาก บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ว่า ขณะนี้การบินไทยเตรียมทบทวนการเปิดเส้นทางบินใหม่ หลังราคาน้ำมันในตลาดโลก ซึ่งเป็นต้นทุนสำคัญเฉลี่ย 40% ของต้นทุนรวมได้ปรับตัวลดลงต่อเนื่อง โดยเส้นทางที่อยู่ในข่ายพิจารณา เช่น เส้นทางกรุงเทพฯ—โซล-ลอสแอนเจลิส ที่เพิ่งหยุดบินไปเมื่อวันที่ 26 ต.ค.2558 รวมทั้งอาจพิจารณาเส้นทางบินอื่นๆที่ยกเลิกไปก่อนหน้านี้ ส่วนจะกลับมาบินเมื่อใด ต้องดูปัจจัยสำนักงานการบริหารการบินแห่งชาติสหรัฐฯ (เอฟเอเอ) ได้ปรับลดมาตรฐานการบินของไทยจากระดับ 1 ไปอยู่ในมาตรฐานลงมาอยู่ระดับ 2 รวมถึงแนวโน้มของผู้โดยสารที่มาใช้บริการด้วย
ทั้งนี้ ปัจจัยเรื่องเอฟเอเอ เป็นเงื่อนไขสำคัญในขณะนี้ การจะกลับมาเปิดบินจึงไม่ใช่จะเกิดขึ้นในเร็วๆนี้ แต่ก็ถือว่าเป็นแนวโน้มที่ดี เพราะการที่ต้นทุนน้ำมันลดลง ทำให้เส้นทางระยะไกลหลายเส้นทาง กลับมามีศักยภาพ มีความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจที่จะทำการบินได้
นายณรงค์ชัย ว่องธนะวิโมกษ์ รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่สายการเงินและบัญชี บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า เป้าหมายปีนี้ จะเน้นเพิ่มยอดการขายในทุกช่องทางเพื่อเพิ่มอัตราบรรทุกผู้โดยสารจาก 73% เป็น 80% โดยเฉพาะการทำแพ็กเกจ เชื่อมการเดินทางไปเมืองต่างๆ เพิ่มขึ้น เช่น ที่ผ่านมาการบินไทย มีเส้นทางบิน กรุงเทพฯ-ปารีส หรือกรุงเทพฯ-แฟรงก์เฟิร์ต 70% แต่ต่อไปอาจขายตั๋วจากปารีสไปเมืองนีซ ลียง เป็นต้น ซึ่งจะช่วยเพิ่มยอดขายตั๋วของการบินไทยได้อีกทางหนึ่ง
“เดือน ธ.ค.ที่ผ่านมา ได้ทดลองขายตั๋ว จากเมืองปลายทางทุกเส้นทาง ปรากฏว่าในช่วง 2 สัปดาห์ ทำรายได้จากการขายตั๋วเพิ่ม 100-200 ล้านบาท หากคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ ถือว่าไม่มากเมื่อเทียบกับยอดขายปีละ 150,000 ล้านบาท ทำให้คาดว่าตลอดทั้งปีนี้ จะมีรายได้เพิ่มจากกรณีดังกล่าว 3,600 ล้านบาท และมีข้อดีคือจะช่วยให้อัตราบรรทุกผู้โดยสาร ในเส้นทางดังกล่าวเพิ่มจาก 72% เป็น 75-77%”
นอกจากนี้ การบินไทยยังได้หารือกับสายการบินแอร์ฟรานซ์ เรื่องการให้บริการจองตั๋วในตลาดยุโรป โดยจะเน้นหาตัวแทนจำหน่าย (เอเย่นต์) รายเล็กๆเพิ่ม เพราะบางตลาดการบินไทยไม่รู้จัก เช่น ฮัมบูร์ก เบอร์ลิน เพิ่มขึ้น รวมทั้งจัดทำแผนการประชาสัมพันธ์ใน 2560 เมืองของทวีปยุโรปด้วย ขณะเดียวกันการขายตั๋วผ่านระบบออนไลน์เป็นเป้าหมายที่ต้องเพิ่มขึ้น จากขณะนี้อยู่ที่ 14% เพิ่มเป็น 30% ภายในปี 2561 ตลอดจนการเร่งปรับปรุงเว็บไซต์การจองตั๋วเพื่ออำนวยความสะดวกให้ลูกค้า
นายณรงค์ชัยกล่าวว่า กรณีทริสเรทติ้ง ได้ลดอันดับเครดิตองค์กร และหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน ของการบินไทย หลังบริษัทมีผลการดำเนินงานขาดทุนต่อเนื่อง มีภาระหนี้ที่เพิ่มสูงขึ้น การบินไทยได้ฟื้นฟูองค์กรโดยได้จัดทำแผนปฏิรูป ซึ่งผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (คนร.) โดยเห็นได้จากผลประกอบการและสถานภาพของบริษัทที่ปรับตัวได้ดีขึ้น เมื่อเทียบกับผลประกอบการในปี 2557 ที่ผ่านมา แต่อาจมีผลกระทบจากการด้อยค่าฝูงบินที่ปลดระวาง และค่าใช้จ่ายโครงการร่วมใจจากองค์กร ซึ่งเป็นการดำเนินการตามแผนปฏิรูป
“ผมมั่นใจว่าแผนดังกล่าวจะสามารถฟื้นตัวทางธุรกิจได้อย่างแน่นอน เพราะเชื่อว่าหากดำเนินการตามแผนปฏิรูปอย่างจริงจังและต่อเนื่อง จะส่งผลให้บริษัทมีผลประกอบการที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืน”.
http://www.thairath.co.th/content/564691
ตั้งเป้าเพิ่มผู้โดยสาร 80% "การบินไทย" ทบทวนเส้นทางบินระยะไกล
“การบินไทย” ทบทวนเส้นทางการบินระยะไกล นำร่องที่กรุงเทพฯ—โซล—ลอสแอนเจลิส ใหม่ หลังราคาน้ำมันโลกดิ่งวูบ รุกตลาดลูกค้า เพิ่มยอดขายเมืองปลายทาง ทำแพ็กเกจเชื่อมเมืองใหม่ หารือแอร์ฟรานซ์ ช่วยหาเอเย่นต์รายย่อย จ่อขายผ่านออนไลน์ ลุ้นเพิ่มอัตราบรรทุกผู้โดยสารเป็น 80% จากปัจจุบัน 73%
ผู้สื่อข่าวรายงานจาก บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ว่า ขณะนี้การบินไทยเตรียมทบทวนการเปิดเส้นทางบินใหม่ หลังราคาน้ำมันในตลาดโลก ซึ่งเป็นต้นทุนสำคัญเฉลี่ย 40% ของต้นทุนรวมได้ปรับตัวลดลงต่อเนื่อง โดยเส้นทางที่อยู่ในข่ายพิจารณา เช่น เส้นทางกรุงเทพฯ—โซล-ลอสแอนเจลิส ที่เพิ่งหยุดบินไปเมื่อวันที่ 26 ต.ค.2558 รวมทั้งอาจพิจารณาเส้นทางบินอื่นๆที่ยกเลิกไปก่อนหน้านี้ ส่วนจะกลับมาบินเมื่อใด ต้องดูปัจจัยสำนักงานการบริหารการบินแห่งชาติสหรัฐฯ (เอฟเอเอ) ได้ปรับลดมาตรฐานการบินของไทยจากระดับ 1 ไปอยู่ในมาตรฐานลงมาอยู่ระดับ 2 รวมถึงแนวโน้มของผู้โดยสารที่มาใช้บริการด้วย
ทั้งนี้ ปัจจัยเรื่องเอฟเอเอ เป็นเงื่อนไขสำคัญในขณะนี้ การจะกลับมาเปิดบินจึงไม่ใช่จะเกิดขึ้นในเร็วๆนี้ แต่ก็ถือว่าเป็นแนวโน้มที่ดี เพราะการที่ต้นทุนน้ำมันลดลง ทำให้เส้นทางระยะไกลหลายเส้นทาง กลับมามีศักยภาพ มีความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจที่จะทำการบินได้
นายณรงค์ชัย ว่องธนะวิโมกษ์ รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่สายการเงินและบัญชี บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า เป้าหมายปีนี้ จะเน้นเพิ่มยอดการขายในทุกช่องทางเพื่อเพิ่มอัตราบรรทุกผู้โดยสารจาก 73% เป็น 80% โดยเฉพาะการทำแพ็กเกจ เชื่อมการเดินทางไปเมืองต่างๆ เพิ่มขึ้น เช่น ที่ผ่านมาการบินไทย มีเส้นทางบิน กรุงเทพฯ-ปารีส หรือกรุงเทพฯ-แฟรงก์เฟิร์ต 70% แต่ต่อไปอาจขายตั๋วจากปารีสไปเมืองนีซ ลียง เป็นต้น ซึ่งจะช่วยเพิ่มยอดขายตั๋วของการบินไทยได้อีกทางหนึ่ง
“เดือน ธ.ค.ที่ผ่านมา ได้ทดลองขายตั๋ว จากเมืองปลายทางทุกเส้นทาง ปรากฏว่าในช่วง 2 สัปดาห์ ทำรายได้จากการขายตั๋วเพิ่ม 100-200 ล้านบาท หากคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ ถือว่าไม่มากเมื่อเทียบกับยอดขายปีละ 150,000 ล้านบาท ทำให้คาดว่าตลอดทั้งปีนี้ จะมีรายได้เพิ่มจากกรณีดังกล่าว 3,600 ล้านบาท และมีข้อดีคือจะช่วยให้อัตราบรรทุกผู้โดยสาร ในเส้นทางดังกล่าวเพิ่มจาก 72% เป็น 75-77%”
นอกจากนี้ การบินไทยยังได้หารือกับสายการบินแอร์ฟรานซ์ เรื่องการให้บริการจองตั๋วในตลาดยุโรป โดยจะเน้นหาตัวแทนจำหน่าย (เอเย่นต์) รายเล็กๆเพิ่ม เพราะบางตลาดการบินไทยไม่รู้จัก เช่น ฮัมบูร์ก เบอร์ลิน เพิ่มขึ้น รวมทั้งจัดทำแผนการประชาสัมพันธ์ใน 2560 เมืองของทวีปยุโรปด้วย ขณะเดียวกันการขายตั๋วผ่านระบบออนไลน์เป็นเป้าหมายที่ต้องเพิ่มขึ้น จากขณะนี้อยู่ที่ 14% เพิ่มเป็น 30% ภายในปี 2561 ตลอดจนการเร่งปรับปรุงเว็บไซต์การจองตั๋วเพื่ออำนวยความสะดวกให้ลูกค้า
นายณรงค์ชัยกล่าวว่า กรณีทริสเรทติ้ง ได้ลดอันดับเครดิตองค์กร และหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน ของการบินไทย หลังบริษัทมีผลการดำเนินงานขาดทุนต่อเนื่อง มีภาระหนี้ที่เพิ่มสูงขึ้น การบินไทยได้ฟื้นฟูองค์กรโดยได้จัดทำแผนปฏิรูป ซึ่งผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (คนร.) โดยเห็นได้จากผลประกอบการและสถานภาพของบริษัทที่ปรับตัวได้ดีขึ้น เมื่อเทียบกับผลประกอบการในปี 2557 ที่ผ่านมา แต่อาจมีผลกระทบจากการด้อยค่าฝูงบินที่ปลดระวาง และค่าใช้จ่ายโครงการร่วมใจจากองค์กร ซึ่งเป็นการดำเนินการตามแผนปฏิรูป
“ผมมั่นใจว่าแผนดังกล่าวจะสามารถฟื้นตัวทางธุรกิจได้อย่างแน่นอน เพราะเชื่อว่าหากดำเนินการตามแผนปฏิรูปอย่างจริงจังและต่อเนื่อง จะส่งผลให้บริษัทมีผลประกอบการที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืน”.
http://www.thairath.co.th/content/564691