.
ผมเป็นคนหนึ่งที่ใช้เวลาคิดและตรึกตรองมาก เวลาจะตั้งกะทู้ใดๆในห้องราชดำเนิน ณ พันทิป แห่งนี้ เพราะคิดอยู่เสมอว่าข้อความหรือตัวอักษรที่ผมโพสต์ลงไปมันแสดงออกถึงภูมิปัญญาความรู้ของตัวผมเองเพราะ ผมจะไม่ยอมให้ใครดูถูกสติปัญญาเมื่ออ่านผ่านทางตัวอักษรของผม ว่าเป็นแค่คนโฉดเขลา เอาอคติเป็นที่ตั้ง มาแสดงความเห็นแบบขาดวุฒิภาวะ ที่ผมเลือกกระทำเช่นนี้มิใช่เพราะรำลึกถึงบุญคุณของครูบาอาจารย์ที่ประสิทธิประสาทวิชาความรู้ให้กับตัวผมเพียงอย่างเดียว แต่ยังระลึกถึงความรู้สึกของบุตรและภรรยาผมด้วย เขาจะรู้สึกอย่างไร หากพ่อและผัวเป็นคนไม่ได้เรื่อง ทำแต่เรื่องขลาดเขลาไปวันๆ ผมจึงใช้เวลาค่อนข้างมากในการคิดหาหัวข้อเรื่องที่เป็นสาระประโยชน์ มาเขียนถ่ายทอดบอกเล่าให้กับผู้อ่านรู้และคิดตาม แม้มีคนที่ไม่เห็นด้วยกับมุมมองในข้อเขียนของผม ก็ยังได้อ่านเนื้อหาที่มีสาระประโยชน์ไปบ้าง
แม้วันนี้ผมไม่ได้หยิบเกร็ดสาระประวัติศาสตร์ขึ้นมาอย่างที่ชอบกระทำเหมือนครั้งก่อนๆ เพราะนึกไม่ออกว่าจะเขียนเรื่องอะไร จึงขอฉีกแนวทางของตัวเองมาเขียนเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับปัจจุบันบ้าง
ขอเข้าเรื่องสักที พล่ามมาพอสมควรแล้ว
เรื่องที่ผมอยากแสดงความเห็นในวันนี้ คือหาทางออกให้กับประเทศโดยผ่านการปฏิรูป ซึ่งตรงกับสิ่งเป็นเหตุผลหลักของคณะรัฐประหาร ที่นำโดย พลเอก ประยุทธ จันทร์โอชา ใช้และอ้างตั้งแต่ต้น ว่าเป็นแนวทางหลักในการเข้ามาทำงานบริหารประเทศ แทนตัวแทนที่มาจากประชาชนโดยตรง
ตลอดระยะเวลาร่วมสิบปีมาแล้วที่ปัญหาแตกต่างทางความคิดดึงรั้งให้ประเทศของเรา ประเทศไทย ยังติดอยู่ในวังวนปัญหาจนมิอาจจะเดินก้าวต่อไปข้างหน้า ซ้ำร้ายประเทศของเราได้ใช้วิธีผิดๆเช่นนี้เรื่อยมานับตั้งแต่ใช้การปกครองระบอบประชาธิปไตยมาเป็นระบอบปกครองประเทศ ปัญหาแบบนี้ฉุดกระชากให้ถอยหลังไปจากจุดเดิมที่เคยอยู่ในสายตาของชาวโลก กลายเป็นประเทศด้อยพัฒนาที่ไม่ได้ใช้ระบบการปกครองที่มีอารยธรรม
และเมื่อประชาชนตัวเล็กๆไอย่างผม ไม่ได้มีอำนาจใดจะไปเลี่ยนแปลงแก้ไขสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว ก็คงไม่ผิดถ้าหากผมจะเห็นด้วยกับ คณะผู้มีอำนาจในตอนนี้.และพลเอก ประยุทธ ว่า
เราควรต้องปฏิรูป
แต่ผมจะไม่เสนอแนวทางปฏิรูปคิวมอเตอร์ไซต์รับจ้าง จัดระเบียบรถตู้ ควบคุมราคาสลากกินแบ่ง หรือเปลี่ยนชื่อโครงการ”รากหญ้า”มาเป็นประชารัฐ หรืออะไรทำนองนั้น เพราะสมองผมประมวลผลด้วยตัวเองแล้ว ว่านั้นไม่ใช่ทางออกของประเทศชาติ และนั้นไม่ใช่ต้นตอปัญหาที่คุมขังชาติเราไว้ไม่ให้ขยับไปไหนได้ไกล มานับตั้งแต่เราปกครองภายใต้ระบอบประชาธิปไตย
แล้วสาเหตุที่แท้จริง คืออะไร..?
ซึ่งคำตอบตามสติปัญญาของผมคือ อำนาจ................อำนาจคือตัวปัญหาสำคัญ
ไม่ว่าท่านที่เข้ามาอ่าน จะยอมรับหรือไม่ก็ตาม แต่ความเป็นจริงก็คือ "
อำนาจ"คือตัวการสร้างความแตกแยกทางการเมืองที่เรื้อรัง สร้างปัญหาให้กับการพัฒนาประเทศไม่รู้จะจบสิ้นเมื่อไรในขณะนี้ มีต้นสายปลายเหตุมาจากการช่วงชิงอำนาจกันระหว่างกลไกในระบบกับกลไกนอกระบบ “
ระบบ” ในที่นี้หมายถึง”
ประชาธิปไตย”
ในทุกครั้งที่มีปัญหา เราจะเห็นว่า จะมีฝ่ายหนึ่งที่อ้างความฉ้อฉลของนักการเมือง นำมาบิดเบือนเปลี่ยนแปลงอำนาจจากประชาชน แสวงหาช่องทางสร้างผลประโยชน์ให้กับตัวเองและพวกพ้อง ใช้วิธีและอำนาจ “
นอกระบบ” เข้ามาจัดการแก้ไขปัญหานี้
ส่วนอีกฝ่ายที่ยึดกับความถูกต้องความชอบธรรมของการดำเนินการ “
ตามระบบ” ที่มาจากประชาชน เพราะถือเป็นตัวแทนที่ชอบธรรมที่ได้รับการสนับสนุนจากประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ ก็ได้แต่มองตาปริบๆ เพราะคนกลุ่มนี้ส่วนใหญ่ เป็นประชาชนคนธรรมดา ไม่มีอาวุธยุทธโธปกรณ์มาใช้เป็นเครื่องมือในการสร้างอำนาจเข้าไปต่อต้าน
ทุกครั้งมันเป็นเช่นนี้มาโดยตลลอด
และทุกครั้งต้นตอปัญหามันอยู่ตรงนี้ ไม่ได้อยู่ที่ “
ใครโกง ใครไม่โกง” หรือ “
คนดี คนเลว” อะไรทั้งสิ้น เพราะที่กล่าวมามันเป็นแค่วาทะกรรมที่สุ่มเติมเชื้อไฟในความแตกแยกทางความคิดให้เปิดกว้างออกไปก็เท่านั้น
ถ้าอำนาจเป็นตัวปัญหา ก็สมควรที่ต้องจัดการ ปฏิรูปอำนาจ เสียใหม่เพื่อแก้ไขไม่ให้เกิดปัญหาซ้ำซากแบบนี้อีก
หากบังเอิญว่ามีคนหนึ่งคนใดในคณะผู้มีอำนาจได้เข้ามาอ่าน ก็ตามผมให้ทันนะครับ….
หัวใจสำคัญในการปฏิรูปอำนาจมีเพียงหนึ่งเดียว คือการปฏิรูปอำนาจ มิให้ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด ทั้งนักการเมือง หรือคณะรัฐประหารใดๆก็ตามเข้ามายึดกุมไว้ในมือแต่เพียงผู้เดียว เพราะเจ้าของอำนาจที่แท้จริง คือ
ประชาชน และเป็นผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนมากที่สุดในทุกครั้งที่มีการแย่งชิงอำนาจทางการเมือง
และการปฏิรูปอำนาจที่ว่านี้ ก็ไม่จำเป็นเลย ที่จะต้องเขียนรัฐธรรมนูญขึ้นใหม่ทั้งฉบับ ให้เปลืองพื้นที่รอยหยักในสมองของนักกฎหมาย ผมก็ขอบอกตามประสาช่างซ่อมคอมกิ๊กก๊อกว่า แค่หยิบเอาฉบับใดฉบับหนึ่งก็ได้ที่ดีที่สุดในสายตาพวกท่าน มาแก้ไขเพิ่มเติมสิ่งที่ผมจะนำเสนอลงไป แค่นั้นก็จบเรื่อง
ต่อให้ท่านคิดจะบัญญัติให้การปฏิวัติรัฐประหารไว้ในรัฐธรรมนูญด้วย ผมก็ไม่มีปัญหา ถ้าท่านปฏิรูปตามข้อเสนอของผม ซึ่งทำง่ายๆ มีเพียงข้อเดียว คือ
อำนาจใดๆก็แล้วแต่ที่จะเข้ามาปกครองบริหารประเทศ ต้องมาจากประชาชนผู้เป็นเจ้าของอำนาจ ซึ่งถ้าประชาชนยอมรับ การปฏิวัติรัฐประหาร ก้เป็นสิ่งที่สามารถเกิดขึ้นได้ โดยไม่เป็นวิธีนอกระบบอีกแต่ไป
เพียงแต่ต้องหาวิธีพิสูจญ์ให้ได้ ว่าประชาชนผู้เป็นเจ้าของอำนาจที่แท้จริง ยอมรับการยึดอำนาจครั้งใดจริงๆ มิใช่กล่าวจากปากคณะผู้มีอำนาจว่าประชาชนให้การยอมรับ
และเพื่อไม่ให้ต้องปวดกะโหลกมาตีความ ข้อความที่เข้าใจแสนจะง่ายของผมข้อความนี้ ผมขอยกตัวอย่างให้เห็นภาพดังนี้
คณะรัฐมนตรี มีการตรวจสอบโดยการอภิปรายไม่ไว้วางใจจากฝ่ายค้านตามปกติ แต่ผู้ลงความเห็น ตัดสินว่า รัฐมนตรีคนนั้นๆ หรือคณะรัฐบาลนั้นๆ มีความชอบธรรมจะบริหารงานต่อไปหรือไม่ ไม่ใช่ตัว สส.ในสภา แต่เป็นประชาชนผู้เป็นเจ้าของอำนาจ ใช้อำนาจลงมติผ่านทางประชามติด้วยตัวของพวกเขาเอง มิต้องมอบหมายการทำหน้าที่นี้ ที่จำกัดไว้ให้ตัวแทนของตัวเองทำหน้าที่แค่เฉพาะในสภาเท่านั้น
อภิปรายไม่ไว้วางใจเมื่อใด ก็จัดการลงประชามติจากประชาชน เพื่อเป็นการรับรองหรือคัดค้านการครองอำนาจของรัฐบาล หากประชามติลงความเห็นออกมาว่า "ไม่รับรอง" รัฐบาลนั้นๆก็หมดวาระไปตามระบบ
ในการปฏิวัติรัฐประหารก็เช่นกัน เมื่อกระทำการยึดอำนาจจากส่วนกลาง
ต้องจัดให้ประชาชนลงมติ เห็นชอบด้วยกับการรัฐประหารหรือไม่ ถ้าประชาชนเห็นชอบก็เท่ากับได้รับฉันทามติจากเจ้าของอำนาจให้สามารถโค่นล้มรัฐบาลได้
ทำเช่นนี้ จึงการปฏิรูป โดยยึดถือประชาชนอย่างแท้จริง และประชาชนจะได้รู้จักสำนึกในหน้าที่ของตัวเอง ที่จะเลือกคนดีเข้าไปเป็นตัวแทน นักการเมืองก็รู้จักตั้งใจทำงานมากกว่าคิดจะเข้าไปแสวงหาผลประโยชน์ อำนาจนอกระบบเองก็รู้จักที่จะยั้งคิดและประเมินเหตุการณ์ด้วยเหตุผล ก่อนจะทำการแย่งชิงอำนาจ
อย่าได้คิดว่าเป็นการเปลืองงบประมาณ หากต้องจัดลงประชามติกันบ่อยๆ เพราะอย่าลืมว่าเราสูญเสียมากกว่านี้ขนาดไหน หากปล่อยให้มีการทุจริตคอร์รัปชั่นในวงการผู้ถือครองอำนาจ
อย่าได้คิดว่าประชาชนโง่ ขาดจิตสำนึก ที่จะปกป้องผลประโยชน์ของประเทศชาติ ยอมตกอยู่ใต้ผลประโยชน์ที่ใครบางคนหยิบยื่นให้ ในรูปแบบต่าง เพราะนั่นเท่ากับท่านกำลังดูถูกเพื่อนร่วมชาติของตัวเองอยู่
คนไทยจำนวนไม่น้อยที่รักเกียรติรักศักดิ์ศรีของตัวเอง และรักประเทศนี้ไม่น้อยไปกว่าพวกท่าน เช่นตัวผมยังมีอยู่ แม้ว่าผมจะสารภาพตามตรงว่าไม่ชอบพวกท่าน แต่ก็ยังเสนอแนวความคิดนี้ออกมาใหท่านพิจารณา เพราะผมเห็นว่า นี้คือ ทางออกจากปัญหาของประเทศชาติ ไม่มีได้เป็นทางออกสำหรับผู้หนึ่งผู้ใดทั้งนั้น
ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับทราบข้อเสนอของผม
และหากว่าท่านใดเห็นว่าแนวทางนี้มีประโยชน์ จะเอาไปเผยแพร่ต่อ ผมก็ขอบคุณเป็นอย่างสูง
เรามาร่วมกันทำสิ่งดีๆให้บ้านเมืองเรากันเถอะครับ
ข้อเขียนนี้ไม่ได้มีเจตนาต้องการจะกล่าวโทษว่าใครเป็น “
คนผิด” แต่อย่างใด แต่ข้อเขียนนี้ต้องการเสนอแนะ “
ทางออก” ที่นำพาชาติหลุดพ้นจากวังวนปัญหา นำความสงบสุขกลับคืนมาให้คนไทยทุกคนอีกครั้ง แต่ข้อเขียนนี้ก็จะไม่ดัดจริต ใช้คำว่า “
ปรองดอง” มาสร้างความชอบธรรมและเหตุผลสนับสนุนแนวความคิดทางออกที่กำลังจะนำเสนอ เพราะผมรู้อยู่เต็มอกว่าการปรองดองไม่มีวันจะเกิดขึ้นได้ในประเทศนี้ ตราบใดที่ต่างฝ่ายต่างชักธงประจำใจ จนไม่ยอมรับฟังความคิดเห็นของอีกฝ่าย
ขอบคุณครับ
นายพระรอง
(ข้อเสนอ...นายพระรอง) ปฏิรูปอำนาจ เสนอแนวทางแก้ไขทางการเมืองโดยคนธรรมดา
ผมเป็นคนหนึ่งที่ใช้เวลาคิดและตรึกตรองมาก เวลาจะตั้งกะทู้ใดๆในห้องราชดำเนิน ณ พันทิป แห่งนี้ เพราะคิดอยู่เสมอว่าข้อความหรือตัวอักษรที่ผมโพสต์ลงไปมันแสดงออกถึงภูมิปัญญาความรู้ของตัวผมเองเพราะ ผมจะไม่ยอมให้ใครดูถูกสติปัญญาเมื่ออ่านผ่านทางตัวอักษรของผม ว่าเป็นแค่คนโฉดเขลา เอาอคติเป็นที่ตั้ง มาแสดงความเห็นแบบขาดวุฒิภาวะ ที่ผมเลือกกระทำเช่นนี้มิใช่เพราะรำลึกถึงบุญคุณของครูบาอาจารย์ที่ประสิทธิประสาทวิชาความรู้ให้กับตัวผมเพียงอย่างเดียว แต่ยังระลึกถึงความรู้สึกของบุตรและภรรยาผมด้วย เขาจะรู้สึกอย่างไร หากพ่อและผัวเป็นคนไม่ได้เรื่อง ทำแต่เรื่องขลาดเขลาไปวันๆ ผมจึงใช้เวลาค่อนข้างมากในการคิดหาหัวข้อเรื่องที่เป็นสาระประโยชน์ มาเขียนถ่ายทอดบอกเล่าให้กับผู้อ่านรู้และคิดตาม แม้มีคนที่ไม่เห็นด้วยกับมุมมองในข้อเขียนของผม ก็ยังได้อ่านเนื้อหาที่มีสาระประโยชน์ไปบ้าง
แม้วันนี้ผมไม่ได้หยิบเกร็ดสาระประวัติศาสตร์ขึ้นมาอย่างที่ชอบกระทำเหมือนครั้งก่อนๆ เพราะนึกไม่ออกว่าจะเขียนเรื่องอะไร จึงขอฉีกแนวทางของตัวเองมาเขียนเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับปัจจุบันบ้าง
ขอเข้าเรื่องสักที พล่ามมาพอสมควรแล้ว เรื่องที่ผมอยากแสดงความเห็นในวันนี้ คือหาทางออกให้กับประเทศโดยผ่านการปฏิรูป ซึ่งตรงกับสิ่งเป็นเหตุผลหลักของคณะรัฐประหาร ที่นำโดย พลเอก ประยุทธ จันทร์โอชา ใช้และอ้างตั้งแต่ต้น ว่าเป็นแนวทางหลักในการเข้ามาทำงานบริหารประเทศ แทนตัวแทนที่มาจากประชาชนโดยตรง
ตลอดระยะเวลาร่วมสิบปีมาแล้วที่ปัญหาแตกต่างทางความคิดดึงรั้งให้ประเทศของเรา ประเทศไทย ยังติดอยู่ในวังวนปัญหาจนมิอาจจะเดินก้าวต่อไปข้างหน้า ซ้ำร้ายประเทศของเราได้ใช้วิธีผิดๆเช่นนี้เรื่อยมานับตั้งแต่ใช้การปกครองระบอบประชาธิปไตยมาเป็นระบอบปกครองประเทศ ปัญหาแบบนี้ฉุดกระชากให้ถอยหลังไปจากจุดเดิมที่เคยอยู่ในสายตาของชาวโลก กลายเป็นประเทศด้อยพัฒนาที่ไม่ได้ใช้ระบบการปกครองที่มีอารยธรรม
และเมื่อประชาชนตัวเล็กๆไอย่างผม ไม่ได้มีอำนาจใดจะไปเลี่ยนแปลงแก้ไขสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว ก็คงไม่ผิดถ้าหากผมจะเห็นด้วยกับ คณะผู้มีอำนาจในตอนนี้.และพลเอก ประยุทธ ว่า เราควรต้องปฏิรูป
แต่ผมจะไม่เสนอแนวทางปฏิรูปคิวมอเตอร์ไซต์รับจ้าง จัดระเบียบรถตู้ ควบคุมราคาสลากกินแบ่ง หรือเปลี่ยนชื่อโครงการ”รากหญ้า”มาเป็นประชารัฐ หรืออะไรทำนองนั้น เพราะสมองผมประมวลผลด้วยตัวเองแล้ว ว่านั้นไม่ใช่ทางออกของประเทศชาติ และนั้นไม่ใช่ต้นตอปัญหาที่คุมขังชาติเราไว้ไม่ให้ขยับไปไหนได้ไกล มานับตั้งแต่เราปกครองภายใต้ระบอบประชาธิปไตย
แล้วสาเหตุที่แท้จริง คืออะไร..?
ซึ่งคำตอบตามสติปัญญาของผมคือ อำนาจ................อำนาจคือตัวปัญหาสำคัญ
ไม่ว่าท่านที่เข้ามาอ่าน จะยอมรับหรือไม่ก็ตาม แต่ความเป็นจริงก็คือ "อำนาจ"คือตัวการสร้างความแตกแยกทางการเมืองที่เรื้อรัง สร้างปัญหาให้กับการพัฒนาประเทศไม่รู้จะจบสิ้นเมื่อไรในขณะนี้ มีต้นสายปลายเหตุมาจากการช่วงชิงอำนาจกันระหว่างกลไกในระบบกับกลไกนอกระบบ “ระบบ” ในที่นี้หมายถึง”ประชาธิปไตย”
ในทุกครั้งที่มีปัญหา เราจะเห็นว่า จะมีฝ่ายหนึ่งที่อ้างความฉ้อฉลของนักการเมือง นำมาบิดเบือนเปลี่ยนแปลงอำนาจจากประชาชน แสวงหาช่องทางสร้างผลประโยชน์ให้กับตัวเองและพวกพ้อง ใช้วิธีและอำนาจ “นอกระบบ” เข้ามาจัดการแก้ไขปัญหานี้
ส่วนอีกฝ่ายที่ยึดกับความถูกต้องความชอบธรรมของการดำเนินการ “ตามระบบ” ที่มาจากประชาชน เพราะถือเป็นตัวแทนที่ชอบธรรมที่ได้รับการสนับสนุนจากประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ ก็ได้แต่มองตาปริบๆ เพราะคนกลุ่มนี้ส่วนใหญ่ เป็นประชาชนคนธรรมดา ไม่มีอาวุธยุทธโธปกรณ์มาใช้เป็นเครื่องมือในการสร้างอำนาจเข้าไปต่อต้าน
ทุกครั้งมันเป็นเช่นนี้มาโดยตลลอด
และทุกครั้งต้นตอปัญหามันอยู่ตรงนี้ ไม่ได้อยู่ที่ “ใครโกง ใครไม่โกง” หรือ “คนดี คนเลว” อะไรทั้งสิ้น เพราะที่กล่าวมามันเป็นแค่วาทะกรรมที่สุ่มเติมเชื้อไฟในความแตกแยกทางความคิดให้เปิดกว้างออกไปก็เท่านั้น
ถ้าอำนาจเป็นตัวปัญหา ก็สมควรที่ต้องจัดการ ปฏิรูปอำนาจ เสียใหม่เพื่อแก้ไขไม่ให้เกิดปัญหาซ้ำซากแบบนี้อีก
หากบังเอิญว่ามีคนหนึ่งคนใดในคณะผู้มีอำนาจได้เข้ามาอ่าน ก็ตามผมให้ทันนะครับ….
หัวใจสำคัญในการปฏิรูปอำนาจมีเพียงหนึ่งเดียว คือการปฏิรูปอำนาจ มิให้ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด ทั้งนักการเมือง หรือคณะรัฐประหารใดๆก็ตามเข้ามายึดกุมไว้ในมือแต่เพียงผู้เดียว เพราะเจ้าของอำนาจที่แท้จริง คือ ประชาชน และเป็นผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนมากที่สุดในทุกครั้งที่มีการแย่งชิงอำนาจทางการเมือง
และการปฏิรูปอำนาจที่ว่านี้ ก็ไม่จำเป็นเลย ที่จะต้องเขียนรัฐธรรมนูญขึ้นใหม่ทั้งฉบับ ให้เปลืองพื้นที่รอยหยักในสมองของนักกฎหมาย ผมก็ขอบอกตามประสาช่างซ่อมคอมกิ๊กก๊อกว่า แค่หยิบเอาฉบับใดฉบับหนึ่งก็ได้ที่ดีที่สุดในสายตาพวกท่าน มาแก้ไขเพิ่มเติมสิ่งที่ผมจะนำเสนอลงไป แค่นั้นก็จบเรื่อง
ต่อให้ท่านคิดจะบัญญัติให้การปฏิวัติรัฐประหารไว้ในรัฐธรรมนูญด้วย ผมก็ไม่มีปัญหา ถ้าท่านปฏิรูปตามข้อเสนอของผม ซึ่งทำง่ายๆ มีเพียงข้อเดียว คือ อำนาจใดๆก็แล้วแต่ที่จะเข้ามาปกครองบริหารประเทศ ต้องมาจากประชาชนผู้เป็นเจ้าของอำนาจ ซึ่งถ้าประชาชนยอมรับ การปฏิวัติรัฐประหาร ก้เป็นสิ่งที่สามารถเกิดขึ้นได้ โดยไม่เป็นวิธีนอกระบบอีกแต่ไป เพียงแต่ต้องหาวิธีพิสูจญ์ให้ได้ ว่าประชาชนผู้เป็นเจ้าของอำนาจที่แท้จริง ยอมรับการยึดอำนาจครั้งใดจริงๆ มิใช่กล่าวจากปากคณะผู้มีอำนาจว่าประชาชนให้การยอมรับ
และเพื่อไม่ให้ต้องปวดกะโหลกมาตีความ ข้อความที่เข้าใจแสนจะง่ายของผมข้อความนี้ ผมขอยกตัวอย่างให้เห็นภาพดังนี้
คณะรัฐมนตรี มีการตรวจสอบโดยการอภิปรายไม่ไว้วางใจจากฝ่ายค้านตามปกติ แต่ผู้ลงความเห็น ตัดสินว่า รัฐมนตรีคนนั้นๆ หรือคณะรัฐบาลนั้นๆ มีความชอบธรรมจะบริหารงานต่อไปหรือไม่ ไม่ใช่ตัว สส.ในสภา แต่เป็นประชาชนผู้เป็นเจ้าของอำนาจ ใช้อำนาจลงมติผ่านทางประชามติด้วยตัวของพวกเขาเอง มิต้องมอบหมายการทำหน้าที่นี้ ที่จำกัดไว้ให้ตัวแทนของตัวเองทำหน้าที่แค่เฉพาะในสภาเท่านั้น อภิปรายไม่ไว้วางใจเมื่อใด ก็จัดการลงประชามติจากประชาชน เพื่อเป็นการรับรองหรือคัดค้านการครองอำนาจของรัฐบาล หากประชามติลงความเห็นออกมาว่า "ไม่รับรอง" รัฐบาลนั้นๆก็หมดวาระไปตามระบบ
ในการปฏิวัติรัฐประหารก็เช่นกัน เมื่อกระทำการยึดอำนาจจากส่วนกลาง ต้องจัดให้ประชาชนลงมติ เห็นชอบด้วยกับการรัฐประหารหรือไม่ ถ้าประชาชนเห็นชอบก็เท่ากับได้รับฉันทามติจากเจ้าของอำนาจให้สามารถโค่นล้มรัฐบาลได้
ทำเช่นนี้ จึงการปฏิรูป โดยยึดถือประชาชนอย่างแท้จริง และประชาชนจะได้รู้จักสำนึกในหน้าที่ของตัวเอง ที่จะเลือกคนดีเข้าไปเป็นตัวแทน นักการเมืองก็รู้จักตั้งใจทำงานมากกว่าคิดจะเข้าไปแสวงหาผลประโยชน์ อำนาจนอกระบบเองก็รู้จักที่จะยั้งคิดและประเมินเหตุการณ์ด้วยเหตุผล ก่อนจะทำการแย่งชิงอำนาจ
อย่าได้คิดว่าเป็นการเปลืองงบประมาณ หากต้องจัดลงประชามติกันบ่อยๆ เพราะอย่าลืมว่าเราสูญเสียมากกว่านี้ขนาดไหน หากปล่อยให้มีการทุจริตคอร์รัปชั่นในวงการผู้ถือครองอำนาจ
อย่าได้คิดว่าประชาชนโง่ ขาดจิตสำนึก ที่จะปกป้องผลประโยชน์ของประเทศชาติ ยอมตกอยู่ใต้ผลประโยชน์ที่ใครบางคนหยิบยื่นให้ ในรูปแบบต่าง เพราะนั่นเท่ากับท่านกำลังดูถูกเพื่อนร่วมชาติของตัวเองอยู่
คนไทยจำนวนไม่น้อยที่รักเกียรติรักศักดิ์ศรีของตัวเอง และรักประเทศนี้ไม่น้อยไปกว่าพวกท่าน เช่นตัวผมยังมีอยู่ แม้ว่าผมจะสารภาพตามตรงว่าไม่ชอบพวกท่าน แต่ก็ยังเสนอแนวความคิดนี้ออกมาใหท่านพิจารณา เพราะผมเห็นว่า นี้คือ ทางออกจากปัญหาของประเทศชาติ ไม่มีได้เป็นทางออกสำหรับผู้หนึ่งผู้ใดทั้งนั้น
ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับทราบข้อเสนอของผม
และหากว่าท่านใดเห็นว่าแนวทางนี้มีประโยชน์ จะเอาไปเผยแพร่ต่อ ผมก็ขอบคุณเป็นอย่างสูง
เรามาร่วมกันทำสิ่งดีๆให้บ้านเมืองเรากันเถอะครับ
ข้อเขียนนี้ไม่ได้มีเจตนาต้องการจะกล่าวโทษว่าใครเป็น “คนผิด” แต่อย่างใด แต่ข้อเขียนนี้ต้องการเสนอแนะ “ทางออก” ที่นำพาชาติหลุดพ้นจากวังวนปัญหา นำความสงบสุขกลับคืนมาให้คนไทยทุกคนอีกครั้ง แต่ข้อเขียนนี้ก็จะไม่ดัดจริต ใช้คำว่า “ปรองดอง” มาสร้างความชอบธรรมและเหตุผลสนับสนุนแนวความคิดทางออกที่กำลังจะนำเสนอ เพราะผมรู้อยู่เต็มอกว่าการปรองดองไม่มีวันจะเกิดขึ้นได้ในประเทศนี้ ตราบใดที่ต่างฝ่ายต่างชักธงประจำใจ จนไม่ยอมรับฟังความคิดเห็นของอีกฝ่าย
ขอบคุณครับ
นายพระรอง