พระอาจารย์เหรียญ วรลาโภ
วัดอรัญญบรรพต
อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย
...
ถ้าเมื่อมารักษาศีลให้บริสุทธิ์เข้าไปอีกอย่างนี้
ผู้ใดอยู่ในเพศไหน ภูมิไหนก็รักษาศีลอยู่ในเพศในภูมิของตนนั้นๆ
ให้บริสุทธิ์ เช่น เป็น
"ภิกษุสามเณร" ก็พยายามสำรวมระวัง
ในศีลในวินัยที่ตนได้สมาทานมาแล้วนั้นให้บริสุทธิ์ ไม่ล่วงเกิน
เป็น
"คฤหัสถ์ผู้ครองเรือน" ก็สำรวมในวินัยที่ตนได้สมาทานมาแล้ว
เช่น ผู้รักษาศีลห้า ได้สมาทานศีลห้าจากพระไปแล้ว
ก็ต้องพยายามรักษาให้บริสุทธิ์ ไม่ล่วงเกิน
ผู้เป็น
"อุบาสกอุบาสิกา" นุ่งขาวห่มขาวรักษาศีลแปดเช่นนี้
ก็พยายามรักษาสำรวมให้บริสุทธิ์ อย่าให้มันด่างมันพร้อยอย่าให้มันขาด
เช่นนี้ก็จะนับว่าเป็นผู้ได้รับ
ความอุ่นใจมากทีเดียวแหละ
เมื่อผู้ใดได้รักษาให้บริสุทธิ์แล้ว
เพราะว่าพระพุทธเจ้าตรัสว่า "บาปมีจริง บุญมีจริง" อย่างนี้แหละ
"โลกหน้ามีจริง นรกมีจริง สวรรค์มีจริง พระนิพพานมาจริง"
บัดนี้บุคคลใดกระทำบาป มีฆ่าสัตว์เป็นต้น ตายแล้วก็จะไปตกนรก
ผู้ใดเว้นจากฆ่าสัตว์เป็นต้น ตายแล้วก็จะไปเกิดสวรรค์ มีสวรรค์เป็นที่ไป
ดังท้ายคำให้ศีลว่า
"สีเลน สุขตึ ยนฺติ" ผู้มีศีลอันบริสุทธิ์แล้วจะไปสู่สุคติโลกสวรรค์
"สีเลน โภคสมฺปทา" ผู้มีศีลบริสุทธิ์แล้วจะสมบูรณ์ด้วยโภคะสมบัติอันเป็นทิพย์
"สีเลน นิพฺพุตึ ยนฺติ" ผู้มีศีลอันบริสุทธิ์แล้วจะบรรลุถึงซึ่งพระนิพพาน
"ตสฺมา" เพราะเหตุนั้น "สีลํ วิโสธเย" พึงชำระศีลของตนให้บริสุทธิ์ดังนี้
พระศาสดาทรงแสดงอานิสงส์แห่งการรักษาศีลไว้
สามารถให้บรรลุถึงซึ่งพระนิพพานนู่นน่ะ ก็แน่นอนแหละข้อนี้
ควรพากันใคร่ครวญพิจารณาให้ดี
เพราะเมื่อบุคคลเป็น
ผู้สำรวมศีลด้วยดี ไม่ทำบาปแล้ว
ตายไปแล้วก็ไม่ได้ไปตกนรก ไม่ได้เป็นเปรต
ไม่ได้เป็นอสุรกาย ไม่ได้ไปเกิดในกำเนิดสัตว์เดรัจฉาน
มีแต่บ่ายหน้าสู่สุคติโลกสวรรค์เป็นที่ไปเบื้องหน้าเรื่อยไป
พอหมดอายุจากสวรรค์ก็กลับมาเกิดโลกนี้
ก็มารักษาศีล ทำบุญ ให้ทานไป ไม่ทำบาปอย่างนี้นะ
ตายไปแล้วก็ไปเกิดสุคติโลกสวรรค์อีกในเมื่อบุญบารมียังไม่เต็มบริบูรณ์
หมดบุญวาสนาในสวรรค์แล้วก็กลับลงมาเกิดโลกนี้อีก
ลงมาสร้างบารมีให้เพิ่มพูนบุญกุศลให้ยิ่งๆขึ้นไป
เมื่อบุญกุศลเต็มบริบูรณ์เมื่อใดก็บรรลุถึงซึ่งพระนิพพานเมื่อนั้น
นี่ที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า
เมื่อเป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์แล้วย่อมบรรลุถึงซึ่งพระนิพพานได้
นั่นหมายความว่า
บุคคลผู้ไม่มีกรรมมีเวรอันชั่วร้ายติดตามสนอง
ให้เป็นทุกข์เดือดร้อนไปในสงสารนี้ก็ย่อมที่จะสั่งสมบุญกุศลบารมีให้เต็มได้ง่าย
หมายความว่าอย่างนั้น
เมื่อบุญบารมีมันเต็มลงไปแล้วอย่างนี้
มันหากกำจัดอาสวกิเลสให้หมดสิ้นไปได้ในตัวเลยทีเดียว
...
ส่วนหนึ่งจากพระธรรมเทศนาหัวข้อ
"อานุภาพแห่งศีล"
อานิสงส์แห่งการรักษาศีล : หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ
พระอาจารย์เหรียญ วรลาโภ
วัดอรัญญบรรพต
อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย
...
ถ้าเมื่อมารักษาศีลให้บริสุทธิ์เข้าไปอีกอย่างนี้
ผู้ใดอยู่ในเพศไหน ภูมิไหนก็รักษาศีลอยู่ในเพศในภูมิของตนนั้นๆ
ให้บริสุทธิ์ เช่น เป็น "ภิกษุสามเณร" ก็พยายามสำรวมระวัง
ในศีลในวินัยที่ตนได้สมาทานมาแล้วนั้นให้บริสุทธิ์ ไม่ล่วงเกิน
เป็น "คฤหัสถ์ผู้ครองเรือน" ก็สำรวมในวินัยที่ตนได้สมาทานมาแล้ว
เช่น ผู้รักษาศีลห้า ได้สมาทานศีลห้าจากพระไปแล้ว
ก็ต้องพยายามรักษาให้บริสุทธิ์ ไม่ล่วงเกิน
ผู้เป็น "อุบาสกอุบาสิกา" นุ่งขาวห่มขาวรักษาศีลแปดเช่นนี้
ก็พยายามรักษาสำรวมให้บริสุทธิ์ อย่าให้มันด่างมันพร้อยอย่าให้มันขาด
เช่นนี้ก็จะนับว่าเป็นผู้ได้รับความอุ่นใจมากทีเดียวแหละ
เมื่อผู้ใดได้รักษาให้บริสุทธิ์แล้ว
เพราะว่าพระพุทธเจ้าตรัสว่า "บาปมีจริง บุญมีจริง" อย่างนี้แหละ
"โลกหน้ามีจริง นรกมีจริง สวรรค์มีจริง พระนิพพานมาจริง"
บัดนี้บุคคลใดกระทำบาป มีฆ่าสัตว์เป็นต้น ตายแล้วก็จะไปตกนรก
ผู้ใดเว้นจากฆ่าสัตว์เป็นต้น ตายแล้วก็จะไปเกิดสวรรค์ มีสวรรค์เป็นที่ไป
ดังท้ายคำให้ศีลว่า
"สีเลน สุขตึ ยนฺติ" ผู้มีศีลอันบริสุทธิ์แล้วจะไปสู่สุคติโลกสวรรค์
"สีเลน โภคสมฺปทา" ผู้มีศีลบริสุทธิ์แล้วจะสมบูรณ์ด้วยโภคะสมบัติอันเป็นทิพย์
"สีเลน นิพฺพุตึ ยนฺติ" ผู้มีศีลอันบริสุทธิ์แล้วจะบรรลุถึงซึ่งพระนิพพาน
"ตสฺมา" เพราะเหตุนั้น "สีลํ วิโสธเย" พึงชำระศีลของตนให้บริสุทธิ์ดังนี้
พระศาสดาทรงแสดงอานิสงส์แห่งการรักษาศีลไว้
สามารถให้บรรลุถึงซึ่งพระนิพพานนู่นน่ะ ก็แน่นอนแหละข้อนี้
ควรพากันใคร่ครวญพิจารณาให้ดี
เพราะเมื่อบุคคลเป็นผู้สำรวมศีลด้วยดี ไม่ทำบาปแล้ว
ตายไปแล้วก็ไม่ได้ไปตกนรก ไม่ได้เป็นเปรต
ไม่ได้เป็นอสุรกาย ไม่ได้ไปเกิดในกำเนิดสัตว์เดรัจฉาน
มีแต่บ่ายหน้าสู่สุคติโลกสวรรค์เป็นที่ไปเบื้องหน้าเรื่อยไป
พอหมดอายุจากสวรรค์ก็กลับมาเกิดโลกนี้
ก็มารักษาศีล ทำบุญ ให้ทานไป ไม่ทำบาปอย่างนี้นะ
ตายไปแล้วก็ไปเกิดสุคติโลกสวรรค์อีกในเมื่อบุญบารมียังไม่เต็มบริบูรณ์
หมดบุญวาสนาในสวรรค์แล้วก็กลับลงมาเกิดโลกนี้อีก
ลงมาสร้างบารมีให้เพิ่มพูนบุญกุศลให้ยิ่งๆขึ้นไป
เมื่อบุญกุศลเต็มบริบูรณ์เมื่อใดก็บรรลุถึงซึ่งพระนิพพานเมื่อนั้น
นี่ที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า เมื่อเป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์แล้วย่อมบรรลุถึงซึ่งพระนิพพานได้
นั่นหมายความว่า บุคคลผู้ไม่มีกรรมมีเวรอันชั่วร้ายติดตามสนอง
ให้เป็นทุกข์เดือดร้อนไปในสงสารนี้ก็ย่อมที่จะสั่งสมบุญกุศลบารมีให้เต็มได้ง่าย
หมายความว่าอย่างนั้น เมื่อบุญบารมีมันเต็มลงไปแล้วอย่างนี้
มันหากกำจัดอาสวกิเลสให้หมดสิ้นไปได้ในตัวเลยทีเดียว
...
ส่วนหนึ่งจากพระธรรมเทศนาหัวข้อ
"อานุภาพแห่งศีล"