สวัสดีค่ะ วันนี้เรายืมaccountเพื่อนมาล็อกอินนะคะ
วันนี้จะมานำเสนอระบบการศึกษาไทยในสภาพจริง ที่เป็นอยู่ ที่เจอกับตัว และไม่
แน่นอนค่ะ
ทุกส่วนของบทความนี้เป็นความเห็นของเราจากทุกๆอย่างที่เราพบเจอในแต่ละวัน
ยังไงก็ช่วยแชร์ให้ผู้ใหญ่วงการศึกษาได้อ่านและเข้าใจกันจริงๆเถอะค่ะ ไม่ใช่มาเดากันเองอย่างมั่วๆ
เริ่มอ่านได้เลยค่ะ
เด็กตัวเล็กๆคนหนึ่งยืนอยู่บนริมหน้าผาที่ข้างหน้าของเขาปรากฏแผ่นไม้เล็กๆทอดยาวสุดลูกหูลุกตา แต่ก็ยังพอเห็นได้นั่นแหละ ว่าสุดปลายทางนั้นคือหน้าผาอีกแห่งหนึ่ง ร่างกายเขาแบกเป้ใบใหญ่กว่าตัวไว้ใบหนึ่ง
“หนูต้องไปยังหน้าผาอีกลูกให้ได้นะ”คนคนหนึ่งพูดกับเด็กคนนั้น เด็กน้อยพยักหน้าก่อนจะก้าวเท้าแรกไปยังสะพานไม้แคบๆ แต่ทุกๆครั้งที่เขาก้าวเดินไปบนสะพานนั้นอย่างมั่นคง เขาจึงไม่ได้คำชื่นชมเลย ตรงกันข้ามกลับมีคำด่าทออกมาบ่อยครั้ง “ทำไมเดินช้า ทำไม่เดินตรงๆ ทำไมเดินเอียง ทำไมต้องหยุด เดินให้เร็วๆอีกมากสิ ช้ามาก ไม่ไหวจริงๆ”เด็กน้อยฝืนยิ้มกับคำด่าทอเหล่านั้นแล้วเดินต่อ แต่เจ้าของคำพูดเหล่านั้นกลับไม่หยุดด่าทอ แถมเขายังโยนอะไรต่อมิอะไรให้เด็กอีกมากมาย ยัดเยียดมันให้เด็กคนนั้น จับมันยัดใส่กระเป๋าเป้ทุกๆวัน ทุกๆวัน ซึ่งบางสิ่งที่เขาให้มากลับไม่มีความจำเป็นกับเด็กเลยแม้แต่น้อย เด็กน้อยพยายามปฏิเสธเมื่อเห็นว่าสิ่งนั้นคงไม่ได้ใช้ “เอาไปเถอะ ของแบบนี้เธอมีแต่คนอื่นไม่มีนะ เธอจะได้ดูพิเศษกว่าคนอื่น” มีคนตอบเด็กด้วยประโยคนี้ บางครั้งเด็กน้อยก็อยากรู้ว่าสิ่งที่เขารับมาคืออะไรจึงเอ่ยปากถาม ผู้ใหญ่ที่ให้เจ้าสิ่งนั้นส่ายหน้าและบอกเด็กเพียงแต่ว่า “มีไว้เถอะ ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันทำอะไรได้บ้าง” เด็กน้อยพยักหน้าทั้งที่ในใจคิดว่า ของพวกนี้มันไม่ได้ใช่แน่นอน
เด็กน้อยเดินมาเรื่อยๆ ก็สังเกตว่าสะพานไม้นั้นแคบลงเรื่อยๆ อีกทั้งสิ่งของที่มีคน ‘ยัดเยียด’ มาให้ก็มีมากมายและน้ำหนักเยอะ ถึงขั้นที่ทำให้หลายช่วงเด็กน้อยสูญเสียการทรงตัว
พระอาทิตย์ขึ้นแล้ว เด็กน้อยเริ่มเห็นปลายทางริบหรี่ ก่อนที่เด็กน้อยจะหันไปมองข้างๆ
ดวงตาของเด็กน้อยเบิกกว้างอย่างตกใจ ริมฝีปากน้อยๆเผยอขึ้น ถัดไปจากเขาทางซ้ายประมาณสิบเมตร เขาเห็นเด็กคนหนึ่งกำลังข้ามสะพานไปยังหน้าผาหนึ่งดั่งเช่นเขา แต่มีหลายสิ่งที่ต่างไปจากเขา
เด็กคนนั้นกำลังเดินบนสะพาน แต่เป็นสะพานคอนกรีตสุดแสนจะกว้าง รอบข้างมีดอกไม้นานาพันธุ์ มีเก้าอี้ไว้ให้พักผ่อนยามเหนื่อย มีลูกบอลไว้ให้เล่นยามเบื่อ มีพู่กันไว้ให้วาดภาพยามล้า เด็กคนนั้นมีประเป๋าเป้ใบเล็กๆติดตัวแค่ใบเดียวแถมดูจากภายนอกแล้วเป้นั่นน่าจะมีของอยู่น้อยชิ้นมาก ที่สำคัญที่สุด เด็กน้อยได้ยินเสียงผู้ใหญ่ของเด็กคนนั้นพูดกับเด็กตลอดทาง พูดคุยกันในทุกๆเรื่องบางครั้งเด็กคนนั้นก็หัวเราะชอบใจ คำถามที่ได้ยินบ่อยที่สุดจากผู้ใหญ่คนนั้นคือ “เหนื่อยไหม เดินไหวหรือเปล่า พักบ้างนะ ถ้าไม่ไหวก็หยุด ของที่ให้ไปนั้นคือของสำคัญมากๆนะ ฉันคัดสรรให้เธอมาแล้ว ส่วนของชิ้นอื่นที่มันจำเป็นน้อยหรือไม่จำเป็นฉันโยนทิ้งหมดแล้ว เธอจะได้ไม่หนักระหว่างทาง”
เด็กน้อยเบือนหน้าหนีจากภาพบาดตาเหล่านั้นจึงหันไปมองทางขวา
ภาพที่เห็นคือ เด็กคนหนึ่งกำลังปั่นจักรยานบนถนนคอนกรีตกว้างขวางข้างๆทางมีต้นไม้ ของเล่น และขนมอีกมากมาย ส่วนสัมภาระของเธอก็เหมือนกับเด็กคนนั้นคือมีน้อยมาก ขณะเธอปั่นจักรยานผมสีบลอนด์ของเธอก็ปลิวสลวยไปตามแรงลม เด็กน้อยบนสะพานไม้มองอย่างเพลิดเพลินพลางยกมือลูบผมของตนเองที่ถูกตัดจนสั้นเกรียนด้วยเหตุผลที่คนคนหนึ่งให้ว่า ‘มันเรียบร้อย’
ระยะเวลาผ่านไปหลายปี เด็กทั้งสามคนก็มาถึงฝากฝั่งของหน้าผาอีกลูกหนึ่ง
มีผู้ใหญ่มากมายยืนรอรับพวกเขาทั้งสามคน
คนที่ปั่นจักรยานมาวิ่งเข้าไปโผกอดกับผู้ใหญ่เหล่านั้น พลางถามว่า “เธอควรจะทำอะไรหลังจากนี้”
ผู้ใหญ่ยิ้มแล้วตอบว่า “ตามใจเธอเลยจ่ะ”
ส่วนเด็กอีกคนหนึ่งเมื่อเจอผู้ใหญ่ก็วิ่งไปหาแล้วพูดว่า “หลังจากนี้ผมสามารถวาดภาพได้ตลอดใช่ไหมครับ”
ผู้ใหญ่หัวเราะแล้วพูดว่า “ถ้าเธอชอบมันย่อมได้เสมอ”
ส่วนเด็กคนที่เดินมาจากสะพานไม้สุดแคบ เมื่อเจอผู้ใหญ่ก็รีบวิ่งไปหาแต่ทว่าผู้ใหญ่กลับพูดว่า “เธอมาช้าไปตั้งหลายนาที ทำไมไม่เดินเร็วๆ” เด็กคนนั้นเริ่มร้องไห้พลางบ่นว่า “เขาเดินมาตั้งไกล แบกของก็หนักกว่าคนอื่นตั้งหลายเท่า แถมเส้นทางที่ให้เดินก็แคบแสนแคบต้องอยู่ใน ‘กรอบ’ ของไม้แคบๆเสมอ เมื่อยก็ไม่ได้นั่ง ล้าก็ไม่ได้หยุด หิวก็ไม่ได้กิน ทำไมถึงต้องมาว่าผมด้วย” ผู้ใหญ่ยิ้มพลางดึงเด็กน้อยคนนั้นไปกอด เด็กน้อยหลงดีใจจึงรีบเช็ดน้ำตา ริมฝีปากเผยอขึ้นเพื่อจะพูดประโยคต่อมา แต่ก็ถูกขัดเสียก่อนกับประโยคที่ผู้ใหญ่คนนั้นพูด เขาพูดว่า “อีกฝั่งหนึ่งมีหน้าผาลูกหนึ่ง มันสวยมาก มันดีจริงๆ ฉันต้องการให้เธอเดินไปยังที่แห่งนั้น” เด็กน้อยเบิกตาโพลง ยังไม่ทันที่จะได้ปฏิเสธ ผู้ใหญ่คนนั้นก็ผลักหนูน้อยไปยังสะพานไม้แคบๆก่อนจะยัดเยียดสิ่งของมากมายที่ล้วนแต่ไม่จำเป็นให้กับเด็ก ก่อนเด็กน้อยจะเดินทางข้ามสะพานนั้นต่อ ผู้ใหญ่คนนั้นก็บอกกับเด็กว่า “เธอคือความหวังของฉัน และ ที่ของพวกเรานะ”
เด็กชายยิ้มทั้งน้ำตาก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบากับตัวเองว่า “ครับ ‘ครู’ผมคือความหวังของคุณครูและ ‘โรงเรียน’”
จบ
ผู้ใหญ่วงการศึกษาไทยที่ไม่เคยรู้สภาพชีวิตจริงของระบบการศึกษาไทยต้องมาอ่านให้ได้!! การศึกษาไทยความในใจของเด็กม.5
วันนี้จะมานำเสนอระบบการศึกษาไทยในสภาพจริง ที่เป็นอยู่ ที่เจอกับตัว และไม่แน่นอนค่ะ
ทุกส่วนของบทความนี้เป็นความเห็นของเราจากทุกๆอย่างที่เราพบเจอในแต่ละวัน
ยังไงก็ช่วยแชร์ให้ผู้ใหญ่วงการศึกษาได้อ่านและเข้าใจกันจริงๆเถอะค่ะ ไม่ใช่มาเดากันเองอย่างมั่วๆ
เริ่มอ่านได้เลยค่ะ
เด็กตัวเล็กๆคนหนึ่งยืนอยู่บนริมหน้าผาที่ข้างหน้าของเขาปรากฏแผ่นไม้เล็กๆทอดยาวสุดลูกหูลุกตา แต่ก็ยังพอเห็นได้นั่นแหละ ว่าสุดปลายทางนั้นคือหน้าผาอีกแห่งหนึ่ง ร่างกายเขาแบกเป้ใบใหญ่กว่าตัวไว้ใบหนึ่ง
“หนูต้องไปยังหน้าผาอีกลูกให้ได้นะ”คนคนหนึ่งพูดกับเด็กคนนั้น เด็กน้อยพยักหน้าก่อนจะก้าวเท้าแรกไปยังสะพานไม้แคบๆ แต่ทุกๆครั้งที่เขาก้าวเดินไปบนสะพานนั้นอย่างมั่นคง เขาจึงไม่ได้คำชื่นชมเลย ตรงกันข้ามกลับมีคำด่าทออกมาบ่อยครั้ง “ทำไมเดินช้า ทำไม่เดินตรงๆ ทำไมเดินเอียง ทำไมต้องหยุด เดินให้เร็วๆอีกมากสิ ช้ามาก ไม่ไหวจริงๆ”เด็กน้อยฝืนยิ้มกับคำด่าทอเหล่านั้นแล้วเดินต่อ แต่เจ้าของคำพูดเหล่านั้นกลับไม่หยุดด่าทอ แถมเขายังโยนอะไรต่อมิอะไรให้เด็กอีกมากมาย ยัดเยียดมันให้เด็กคนนั้น จับมันยัดใส่กระเป๋าเป้ทุกๆวัน ทุกๆวัน ซึ่งบางสิ่งที่เขาให้มากลับไม่มีความจำเป็นกับเด็กเลยแม้แต่น้อย เด็กน้อยพยายามปฏิเสธเมื่อเห็นว่าสิ่งนั้นคงไม่ได้ใช้ “เอาไปเถอะ ของแบบนี้เธอมีแต่คนอื่นไม่มีนะ เธอจะได้ดูพิเศษกว่าคนอื่น” มีคนตอบเด็กด้วยประโยคนี้ บางครั้งเด็กน้อยก็อยากรู้ว่าสิ่งที่เขารับมาคืออะไรจึงเอ่ยปากถาม ผู้ใหญ่ที่ให้เจ้าสิ่งนั้นส่ายหน้าและบอกเด็กเพียงแต่ว่า “มีไว้เถอะ ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันทำอะไรได้บ้าง” เด็กน้อยพยักหน้าทั้งที่ในใจคิดว่า ของพวกนี้มันไม่ได้ใช่แน่นอน
เด็กน้อยเดินมาเรื่อยๆ ก็สังเกตว่าสะพานไม้นั้นแคบลงเรื่อยๆ อีกทั้งสิ่งของที่มีคน ‘ยัดเยียด’ มาให้ก็มีมากมายและน้ำหนักเยอะ ถึงขั้นที่ทำให้หลายช่วงเด็กน้อยสูญเสียการทรงตัว
พระอาทิตย์ขึ้นแล้ว เด็กน้อยเริ่มเห็นปลายทางริบหรี่ ก่อนที่เด็กน้อยจะหันไปมองข้างๆ
ดวงตาของเด็กน้อยเบิกกว้างอย่างตกใจ ริมฝีปากน้อยๆเผยอขึ้น ถัดไปจากเขาทางซ้ายประมาณสิบเมตร เขาเห็นเด็กคนหนึ่งกำลังข้ามสะพานไปยังหน้าผาหนึ่งดั่งเช่นเขา แต่มีหลายสิ่งที่ต่างไปจากเขา
เด็กคนนั้นกำลังเดินบนสะพาน แต่เป็นสะพานคอนกรีตสุดแสนจะกว้าง รอบข้างมีดอกไม้นานาพันธุ์ มีเก้าอี้ไว้ให้พักผ่อนยามเหนื่อย มีลูกบอลไว้ให้เล่นยามเบื่อ มีพู่กันไว้ให้วาดภาพยามล้า เด็กคนนั้นมีประเป๋าเป้ใบเล็กๆติดตัวแค่ใบเดียวแถมดูจากภายนอกแล้วเป้นั่นน่าจะมีของอยู่น้อยชิ้นมาก ที่สำคัญที่สุด เด็กน้อยได้ยินเสียงผู้ใหญ่ของเด็กคนนั้นพูดกับเด็กตลอดทาง พูดคุยกันในทุกๆเรื่องบางครั้งเด็กคนนั้นก็หัวเราะชอบใจ คำถามที่ได้ยินบ่อยที่สุดจากผู้ใหญ่คนนั้นคือ “เหนื่อยไหม เดินไหวหรือเปล่า พักบ้างนะ ถ้าไม่ไหวก็หยุด ของที่ให้ไปนั้นคือของสำคัญมากๆนะ ฉันคัดสรรให้เธอมาแล้ว ส่วนของชิ้นอื่นที่มันจำเป็นน้อยหรือไม่จำเป็นฉันโยนทิ้งหมดแล้ว เธอจะได้ไม่หนักระหว่างทาง”
เด็กน้อยเบือนหน้าหนีจากภาพบาดตาเหล่านั้นจึงหันไปมองทางขวา
ภาพที่เห็นคือ เด็กคนหนึ่งกำลังปั่นจักรยานบนถนนคอนกรีตกว้างขวางข้างๆทางมีต้นไม้ ของเล่น และขนมอีกมากมาย ส่วนสัมภาระของเธอก็เหมือนกับเด็กคนนั้นคือมีน้อยมาก ขณะเธอปั่นจักรยานผมสีบลอนด์ของเธอก็ปลิวสลวยไปตามแรงลม เด็กน้อยบนสะพานไม้มองอย่างเพลิดเพลินพลางยกมือลูบผมของตนเองที่ถูกตัดจนสั้นเกรียนด้วยเหตุผลที่คนคนหนึ่งให้ว่า ‘มันเรียบร้อย’
ระยะเวลาผ่านไปหลายปี เด็กทั้งสามคนก็มาถึงฝากฝั่งของหน้าผาอีกลูกหนึ่ง
มีผู้ใหญ่มากมายยืนรอรับพวกเขาทั้งสามคน
คนที่ปั่นจักรยานมาวิ่งเข้าไปโผกอดกับผู้ใหญ่เหล่านั้น พลางถามว่า “เธอควรจะทำอะไรหลังจากนี้”
ผู้ใหญ่ยิ้มแล้วตอบว่า “ตามใจเธอเลยจ่ะ”
ส่วนเด็กอีกคนหนึ่งเมื่อเจอผู้ใหญ่ก็วิ่งไปหาแล้วพูดว่า “หลังจากนี้ผมสามารถวาดภาพได้ตลอดใช่ไหมครับ”
ผู้ใหญ่หัวเราะแล้วพูดว่า “ถ้าเธอชอบมันย่อมได้เสมอ”
ส่วนเด็กคนที่เดินมาจากสะพานไม้สุดแคบ เมื่อเจอผู้ใหญ่ก็รีบวิ่งไปหาแต่ทว่าผู้ใหญ่กลับพูดว่า “เธอมาช้าไปตั้งหลายนาที ทำไมไม่เดินเร็วๆ” เด็กคนนั้นเริ่มร้องไห้พลางบ่นว่า “เขาเดินมาตั้งไกล แบกของก็หนักกว่าคนอื่นตั้งหลายเท่า แถมเส้นทางที่ให้เดินก็แคบแสนแคบต้องอยู่ใน ‘กรอบ’ ของไม้แคบๆเสมอ เมื่อยก็ไม่ได้นั่ง ล้าก็ไม่ได้หยุด หิวก็ไม่ได้กิน ทำไมถึงต้องมาว่าผมด้วย” ผู้ใหญ่ยิ้มพลางดึงเด็กน้อยคนนั้นไปกอด เด็กน้อยหลงดีใจจึงรีบเช็ดน้ำตา ริมฝีปากเผยอขึ้นเพื่อจะพูดประโยคต่อมา แต่ก็ถูกขัดเสียก่อนกับประโยคที่ผู้ใหญ่คนนั้นพูด เขาพูดว่า “อีกฝั่งหนึ่งมีหน้าผาลูกหนึ่ง มันสวยมาก มันดีจริงๆ ฉันต้องการให้เธอเดินไปยังที่แห่งนั้น” เด็กน้อยเบิกตาโพลง ยังไม่ทันที่จะได้ปฏิเสธ ผู้ใหญ่คนนั้นก็ผลักหนูน้อยไปยังสะพานไม้แคบๆก่อนจะยัดเยียดสิ่งของมากมายที่ล้วนแต่ไม่จำเป็นให้กับเด็ก ก่อนเด็กน้อยจะเดินทางข้ามสะพานนั้นต่อ ผู้ใหญ่คนนั้นก็บอกกับเด็กว่า “เธอคือความหวังของฉัน และ ที่ของพวกเรานะ”
เด็กชายยิ้มทั้งน้ำตาก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบากับตัวเองว่า “ครับ ‘ครู’ผมคือความหวังของคุณครูและ ‘โรงเรียน’”
จบ