นายนิมิตร์ เทียนอุดม ผู้อำนวยการมูลนิธิเข้าถึงเอดส์ กล่าวว่า ขณะนี้สังคมไทยยังมีความไม่เข้าใจเกี่ยวกับการติดเชื้อเอชไอวี และการป่วยเป็นโรคเอดส์อยู่มาก ส่วนหนึ่งพบว่ามีการให้ข้อมูลที่ผิด โดยหลักสูตรการเรียนการสอนนั้นตนไม่ทราบว่ามีการพัฒนาไปอย่างไรบ้าง แต่จะพบว่าครูมุ่งเน้นสอนให้เด็กกลัวมากกว่าการสอนให้เด็กรู้และเข้าใจ ตรงนี้ต้องมีการปรับเปลี่ยนใหม่ วิธีคิดของหลักสูตรเรื่องโรคต้องมุ่งเน้นให้เข้าใจสาเหตุของโรค ภาวะของโรค การดูแลรักษา รวมถึงเรื่องสิทธิประโยชน์ในการรักษาโรค ถ้ามีความเข้าใจตรงนี้แล้วจะสามารถดูแลและจัดการตัวเองได้
ทั้งนี้การสอนจะแบ่งออกเป็น 2 ส่วนคือ 1. วิชาสุขศึกษาจะต้องยกเครื่องให้ทันสมัยเพราะทุกวันนี้ข้อมูลการรักษา การติดเชื้อมีพัฒนาการเร็วมาก ต้องทำให้เยาวชนมีความเข้าใจว่าเอชไอวีเป็นไวรัสที่ติดต่อได้ทางเพศสัมพันธ์เพราะปริมาณเชื้อที่อยู่ในสารคัดหลั่งมีจำนวนมากและเป็นเชื้อที่มีคุณภาพถ้าเป็นผู้ชายเชื้อก็อยู่ในอสุจิ ส่งผ่านผู้หญิงทางเยื่อบุช่องคลอด นอกจากนี้ยังติดต่อผ่านเลือดที่มาจากการใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน ส่วนน้ำลายนั้นไม่มีทางติด ขณะที่การติดต่อจากแม่สู่ลูกนั้นมีความหวังว่าจะทำให้เป็น 0ได้ ถ้าแม่ติดเชื้อก็รับประทานยาต้านไวรัสป้องกันการติดเชื้อสู่ลูก แต่ทางที่ดีคือการป้องกันไม่ให้แม่ติดเชื้อตั้งแต่แรก
นายนิมิตร์ กล่าวว่า นอกจากนี้ยังต้องเปลี่ยนความเข้าใจเรื่องอาการป่วยด้วยจากที่ว่าโรคเอดส์เป็นเพราะมีไวรัสมีเยอะทำให้ระบบภูมิคุ้มกันเสียแต่ที่จริงคือโรคที่เกิดจากภูมิคุ้มกันบกพร่องหรือเอดส์นั้นถ้าแยกเป็นรายโรคจะเรียกว่าโรคฉวยโอกาสเป็นโรคที่เกิดขึ้นเฉพาะตัวคนและสามารถรักษาให้หายได้ มีเพียงบางโรคที่เป็นโรคติดต่ออยู่เดิม เช่น วัณโรคเมื่อร่างกายคนเรามีภูมิคุ้มกันต่ำเชื้อวัณโรคจึงออกฤทธิ์ขึ้นมาได้ และ 2. เรื่องเพศศึกษา ต้องสอนควบคู่กัน เรื่องความสัมพันธ์ของผู้คน เรื่องการมีเพศสัมพันธ์ที่ปลอดภัย วิธีการจัดการต้องทำอย่างไร เป็นต้น
“ตัวครูมีผลต่อความเข้าใจในเรื่องนี้อย่างยิ่ง ที่เจ็บปวดคือครูเป็นตัวขยายความกลัว เป็นคนขยายความไม่เข้าใจไปสู่เด็ก และผู้ปกครอง เพราะครูเองก็กลัว ครูไม่รู้เรื่องนี้ ทุกโรงเรียนที่มีปัญหาเรื่องนี้เป็นเพราะครูเป็นผู้ขยายให้ใหญ่ขึ้น และปัญหาร้องเรียนที่เจอก็มีจุดเริ่มต้นมาจากครูที่ไม่รู้ ไม่เข้าใจ และไปบอกกับผู้ปกครองให้เด็กหยุดเรียน ไม่ต้องมาโรงเรียน ให้อ่านหนังสืออยู่ที่บ้าน ถึงเวลาแล้วค่อยมาสอบ เพราะกลัวผู้ปกครองคนอื่นจะรังเกียจ ก็ไม่รู้ว่าผู้ปกครองที่รังเกียจเป็นใคร แต่ที่แน่ๆ เลยคือครูเป็นผู้รังเกียจ ดังนั้นประสบการณ์เกือบ100% ปัญหานี้ขยายมาจากครู เรื่องนี้ถ้าทำให้ครูเข้าใจอย่างแท้เจริงปัญหาจะเบาลง” นายนิมิตร์ กล่าว
นอกจากนี้ ผู้สื่อข่าวถามว่ากระทรวงสาธารณสุข(สธ.) และกระทรวงศึกษาธิการ(ศธ.) ควรหารือเพื่อทำความเข้าใจ และปรับหลักสูตรการเรียนการสอนเรื่องนี้ใหม่หรือไม่ นายนิมิตร์กล่าวว่า ควรเป็นอย่างนั้น แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะกระทรวงศึกษาธิการทำหลักสูตรมามากมาย แต่ก็ยังได้เพียงเท่านี้ แต่ถ้าสำนักเอดส์ กระทรวงสาธารณสุขพูดให้ชัดเจน ไม่ทำให้คนสับสน แล้วไปคุยกับกระทรวงศึกษาให้ชัดเจนก็จะดี
ขอขอบคุณข้อมูลจาก matichon.co.th/news
Report by LIV APCO
เด็กไทยไม่เข้าใจ "เอชไอวี" รู้จักเอดส์แบบผิดๆ เอ็นจีโอแนะปรับวิธีสอน
ทั้งนี้การสอนจะแบ่งออกเป็น 2 ส่วนคือ 1. วิชาสุขศึกษาจะต้องยกเครื่องให้ทันสมัยเพราะทุกวันนี้ข้อมูลการรักษา การติดเชื้อมีพัฒนาการเร็วมาก ต้องทำให้เยาวชนมีความเข้าใจว่าเอชไอวีเป็นไวรัสที่ติดต่อได้ทางเพศสัมพันธ์เพราะปริมาณเชื้อที่อยู่ในสารคัดหลั่งมีจำนวนมากและเป็นเชื้อที่มีคุณภาพถ้าเป็นผู้ชายเชื้อก็อยู่ในอสุจิ ส่งผ่านผู้หญิงทางเยื่อบุช่องคลอด นอกจากนี้ยังติดต่อผ่านเลือดที่มาจากการใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน ส่วนน้ำลายนั้นไม่มีทางติด ขณะที่การติดต่อจากแม่สู่ลูกนั้นมีความหวังว่าจะทำให้เป็น 0ได้ ถ้าแม่ติดเชื้อก็รับประทานยาต้านไวรัสป้องกันการติดเชื้อสู่ลูก แต่ทางที่ดีคือการป้องกันไม่ให้แม่ติดเชื้อตั้งแต่แรก
นายนิมิตร์ กล่าวว่า นอกจากนี้ยังต้องเปลี่ยนความเข้าใจเรื่องอาการป่วยด้วยจากที่ว่าโรคเอดส์เป็นเพราะมีไวรัสมีเยอะทำให้ระบบภูมิคุ้มกันเสียแต่ที่จริงคือโรคที่เกิดจากภูมิคุ้มกันบกพร่องหรือเอดส์นั้นถ้าแยกเป็นรายโรคจะเรียกว่าโรคฉวยโอกาสเป็นโรคที่เกิดขึ้นเฉพาะตัวคนและสามารถรักษาให้หายได้ มีเพียงบางโรคที่เป็นโรคติดต่ออยู่เดิม เช่น วัณโรคเมื่อร่างกายคนเรามีภูมิคุ้มกันต่ำเชื้อวัณโรคจึงออกฤทธิ์ขึ้นมาได้ และ 2. เรื่องเพศศึกษา ต้องสอนควบคู่กัน เรื่องความสัมพันธ์ของผู้คน เรื่องการมีเพศสัมพันธ์ที่ปลอดภัย วิธีการจัดการต้องทำอย่างไร เป็นต้น
“ตัวครูมีผลต่อความเข้าใจในเรื่องนี้อย่างยิ่ง ที่เจ็บปวดคือครูเป็นตัวขยายความกลัว เป็นคนขยายความไม่เข้าใจไปสู่เด็ก และผู้ปกครอง เพราะครูเองก็กลัว ครูไม่รู้เรื่องนี้ ทุกโรงเรียนที่มีปัญหาเรื่องนี้เป็นเพราะครูเป็นผู้ขยายให้ใหญ่ขึ้น และปัญหาร้องเรียนที่เจอก็มีจุดเริ่มต้นมาจากครูที่ไม่รู้ ไม่เข้าใจ และไปบอกกับผู้ปกครองให้เด็กหยุดเรียน ไม่ต้องมาโรงเรียน ให้อ่านหนังสืออยู่ที่บ้าน ถึงเวลาแล้วค่อยมาสอบ เพราะกลัวผู้ปกครองคนอื่นจะรังเกียจ ก็ไม่รู้ว่าผู้ปกครองที่รังเกียจเป็นใคร แต่ที่แน่ๆ เลยคือครูเป็นผู้รังเกียจ ดังนั้นประสบการณ์เกือบ100% ปัญหานี้ขยายมาจากครู เรื่องนี้ถ้าทำให้ครูเข้าใจอย่างแท้เจริงปัญหาจะเบาลง” นายนิมิตร์ กล่าว
นอกจากนี้ ผู้สื่อข่าวถามว่ากระทรวงสาธารณสุข(สธ.) และกระทรวงศึกษาธิการ(ศธ.) ควรหารือเพื่อทำความเข้าใจ และปรับหลักสูตรการเรียนการสอนเรื่องนี้ใหม่หรือไม่ นายนิมิตร์กล่าวว่า ควรเป็นอย่างนั้น แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะกระทรวงศึกษาธิการทำหลักสูตรมามากมาย แต่ก็ยังได้เพียงเท่านี้ แต่ถ้าสำนักเอดส์ กระทรวงสาธารณสุขพูดให้ชัดเจน ไม่ทำให้คนสับสน แล้วไปคุยกับกระทรวงศึกษาให้ชัดเจนก็จะดี
ขอขอบคุณข้อมูลจาก matichon.co.th/news
Report by LIV APCO