ขอเกริ่นว่า ผมเป็นนักศึกษาครู นะครับ โดยเรื่องมีอยู่ว่า ในวันที่ 20 มีนาคม ที่ผ่านมา ซึ่งมีประกาศทางส่วนกลางและมหาวิทยาลัยแล้วครับ(มหาวิทยาลัยประกาศตั้งแต่วันที่ 18 มีนาคม) ว่าให้งดการเรียนการสอน งดกิจกรรมที่ต้องรวมกลุ่มทำ แต่ผมและเพื่อนในหลักสูตรอีกกว่า 34 คน ยังต้องไปมหาวิทยาลัยอีกครับเรื่อยมาตั้งแต่วันที่ 18 มี.ค. เพราะจะต้องเตรียมการจัดสัมมนา จัดเตรียมสถานที่ เตรียมอุปกรณ์ต่างๆ ถ่ายวิดีโอ ฯลฯ (เพื่อจัดสัมมนาออนไลน์ผ่านเฟสบุ๊ค ที่จะมีขึ้นในวันอาทิตย์ ที่ 21 มี.ค.) โดยอาจารย์ประจำวิชามอบหมายให้ทำ เพื่อนๆ ก็วิตกเรื่องไวรัส ที่เราต้องรวมกลุ่มกันและเรื่องประกาศนะครับ แต่ก็จะให้พูดอะไรได้ใช่ไหมครับ มันมีผลต่อคะแนน ก็ต้องทำไป
แต่ในวันที่เตรียมจัดสัมมนาอยู่นั้น มีอาจารย์ท่านหนึ่งที่ดูแลอาคารมาเห็นว่าพวกผมยังรวมตัวกันอยู่ จึงตำหนิไปว่าไม่ควรมาแล้วและกล่าวว่าพวกเราอีกหลายอย่าง และท่านได้บอกว่า “เราจะเห็นคะแนน 10 คะแนน มากกว่าชีวิตเราหรือเปล่า” มันจริงที่สุดใช่ไหมครับ แต่จะให้ผมทำยังไงได้
แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นคือ ผู้ปกครองของผมโทรไปหาอาจารย์ที่ดูแลอาคารท่านนี้ครับ ในขณะที่โทรไป อาจารย์คนนี้ก็อยู่กับอาจารย์ประจำวิชาสัมมนาของผมพอดี จึงได้เปิดลำโพง ผู้ปกครองผมจึงต่อว่าอาจารย์ประจำวิชาคนนี้ในหลายเรื่อง ทั้งเรื่อง เข้าสอนไม่เคยเกิน 5 ครั้ง (ผมเรียนกับแกมาหลายครั้ง เป็นแบบนี้จริงๆ สอนวิชาสัมมนานี้คาบเดียวครับ สอนเรื่องความหมายของสัมมนา จากนั้นก็ไม่เคยเข้าสอนอีก บอกว่าให้ไปจัดการ ปฏิบัติเอาเอง) เรื่องเอาข้อสอบจากอินเทอร์เน็ตมาออกข้อสอบ ที่สำคัญคือ เรื่องที่ให้พวกเรารวมตัวทำกิจกรรมจัดสัมมนานี้อีกครับ ผู้ปกครองผมจึงต่อว่าไปมากมายเพราะรับไม่ได้ที่ครูไม่เห็นถึงความปลอดภัยในชีวิตของผู้เรียนและสังคมโดยรวม และได้แจ้งคณบดีถึงปัญหาต่างๆ ของอาจารย์ท่านนี้ ด้วยครับ
จนตอนนี้ได้ข่าวว่าเรื่องถึง อธิการบดี แต่ผมไม่รู้ว่า เรื่องที่ถึงอธิการบดี แค่เรื่อง ไวรัสโคโรน่า ที่อาจารย์นัดรวมตัวนักศึกษาจัดเตรียมจัดสัมมนานี้หรือเปล่าครับ หรือว่าเรื่องอื่นด้วย ก็ไม่ทราบรายละเอียด
แต่ปัญหาคือ มีเพื่อนครูของอาจารย์วิชาสัมมนาคนนี้ ได้โพสต์ในเฟสบุคของเขา และผมคิดว่าเป็นการต่อว่าผม โดยบอกว่า คนเป็นครูแบบเรา เค้าย้ำว่า “เรา” ครับ บอกว่าสิ่งที่คิดมาก่อนคือ ลูกศิษย์ ทำเพื่อลูกศิษย์ เพื่อจะให้เค้าได้รับสิ่งดี มีภูมิคุ้มกันดี สามารถออกสู่โลกภายนอกได้ และการที่เค้าคิดแบบนี้คือ จิตอันเป็นกุศล ของคนเป็นครูครับ แล้วบอกว่า แต่ศิษย์บางคน (ผมคิดว่าเป็นผม) ไม่ได้รู้สำนึกบุญคุณ มีจิตเป็นอกุศลต่อครูที่เปรียบเสมือนบุพการี ซึ่งเค้าบอกว่าเป็นบาปกรรมหนักหนา และบอกว่าสิ่งที่ผมกระทำลงไป ที่ผู้ปกครองไปฟ้องต่อคณบดีนั้น กระทบจิตใจครู และวันหนึ่งผมจะต้องรู้ว่าบาปกรรมมีจริง โดยเน้นย้ำตรงนี้เลยครับ (ซึ่งต่อไปครูคนนี้จะเป็นครูนิเทศก์การสอน คือ จะมาดูผมเวลาผมสอนแล้วให้คะแนนครับ ไม่รู้จะเป็นบาปกรรมที่เค้าพูดถึงหรือเปล่า)
การที่ผมจะต้องมีความรับผิดชอบ ในฐานะที่เป็นพลเมืองของโลกและของสังคม โดยปฏิบัติตามมาตรการหรือตามนโยบายเหล่านั้นที่รณรงค์ให้ผู้คนปฏิบัติอย่างเคร่งครัด ปฏิบัติตามรายละเอียดของความปลอดภัยในสวัสดิภาพของชีวิต กลายเป็นสิ่งผิดในสายตาของครูคนนี้ และก็เอาเรื่อง บุญคุณมาอ้าง ให้เราเสี่ยงต่อความปลอดภัยในชีวิตและครอบครัวของเรา และเพื่อป้องกันภัยไม่ให้อาม่าอายุ 80 กว่าปีที่อยู่ที่บ้านของผมปลอดภัย ผมกลายเป็นคนผิดเพราะไปขัดกับสิ่งที่ผู้ที่อ้างถึงบุญคุณต้องการกระทำ และคนนั้นก็เอา เรื่องของการตอบแทนบุญคุณมาอ้าง แต่ไวรัสเรามองไม่เห็นมันใช่ไหมครับ เราควรปกป้องตัวเองใช่ไหมครับ แต่ผมก็ต้องไปเสี่ยง ทำผิดกฎหมาย ผิดกฎกระทรวง ผิดประกาศของจังหวัดและอื่นๆ ผมเองก็อยากจะบอกว่า ที่อาจารย์เหล่านี้ออกมาทำเช่นนี้ก็กระทบจิตใจและเป็นการคุกคามความรู้สึกปลอดภัยในการที่จะเรียนต่อในหลักสูตรนี้เช่นเดียวกัน หรือต้องให้ผม ครอบครัว และเพื่อนพ้องต้องติดเชื้อไวรัสก่อน แกถึงจะเข้าใจหรือคิดได้ว่าเป็นคนละเรื่องกันกับบุญคุณ
คำถามก็คือ การตอบแทนบุญคุณนับเป็นเรื่องส่วนตัว แต่การปฏิบัติตามมาตรการของสังคมที่เป็นเรื่องส่วนรวม มันถูกต้องหรือไม่ที่ครูคนนี้ ทวงบุญคุณในเวลานี้ ที่ทำให้เราต้องเสี่ยงต่อความปลอดภัยในชีวิตของตัวเอง ของครอบครัว ของเพื่อน ของสังคม จนตอนนี้ทำให้รู้สึกละอายมากที่ถูกป่าวประกาศ ถูกตราหน้าว่าเป็นผู้ไม่สำนึกบุญคุณ เราควรเห็นบุญคุณของผู้ที่ไม่มีจรรยาบรรณ และไม่มีสำนึกในความรับผิดชอบต่อสังคมโดยรวมได้หรือ คนที่ทำให้เราเสี่ยงติดเชื้อ ที่ให้เราทำผิดกฎหมาย ผิดกฎกระทรวง ผิดประกาศของจังหวัด และผิดต่อสังคม แบบนี้เขาเรียกว่า ผู้มีพระคุณหรือไม่
ผมควรเห็นแก่บุญคุณของเขา ไปขอขมา หรือสิ่งที่ผมทำไปนั้นถูกต้องแล้วครับ ผมสับสนมากครับ วานช่วยบอกที
บุญคุณ กับ เชื้อไวรัส ผมเลือกอะไรได้ไหม ผมควรทำยังไงดี วานชาวพันทิปช่วยบอกทีครับ
แต่ในวันที่เตรียมจัดสัมมนาอยู่นั้น มีอาจารย์ท่านหนึ่งที่ดูแลอาคารมาเห็นว่าพวกผมยังรวมตัวกันอยู่ จึงตำหนิไปว่าไม่ควรมาแล้วและกล่าวว่าพวกเราอีกหลายอย่าง และท่านได้บอกว่า “เราจะเห็นคะแนน 10 คะแนน มากกว่าชีวิตเราหรือเปล่า” มันจริงที่สุดใช่ไหมครับ แต่จะให้ผมทำยังไงได้
แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นคือ ผู้ปกครองของผมโทรไปหาอาจารย์ที่ดูแลอาคารท่านนี้ครับ ในขณะที่โทรไป อาจารย์คนนี้ก็อยู่กับอาจารย์ประจำวิชาสัมมนาของผมพอดี จึงได้เปิดลำโพง ผู้ปกครองผมจึงต่อว่าอาจารย์ประจำวิชาคนนี้ในหลายเรื่อง ทั้งเรื่อง เข้าสอนไม่เคยเกิน 5 ครั้ง (ผมเรียนกับแกมาหลายครั้ง เป็นแบบนี้จริงๆ สอนวิชาสัมมนานี้คาบเดียวครับ สอนเรื่องความหมายของสัมมนา จากนั้นก็ไม่เคยเข้าสอนอีก บอกว่าให้ไปจัดการ ปฏิบัติเอาเอง) เรื่องเอาข้อสอบจากอินเทอร์เน็ตมาออกข้อสอบ ที่สำคัญคือ เรื่องที่ให้พวกเรารวมตัวทำกิจกรรมจัดสัมมนานี้อีกครับ ผู้ปกครองผมจึงต่อว่าไปมากมายเพราะรับไม่ได้ที่ครูไม่เห็นถึงความปลอดภัยในชีวิตของผู้เรียนและสังคมโดยรวม และได้แจ้งคณบดีถึงปัญหาต่างๆ ของอาจารย์ท่านนี้ ด้วยครับ
จนตอนนี้ได้ข่าวว่าเรื่องถึง อธิการบดี แต่ผมไม่รู้ว่า เรื่องที่ถึงอธิการบดี แค่เรื่อง ไวรัสโคโรน่า ที่อาจารย์นัดรวมตัวนักศึกษาจัดเตรียมจัดสัมมนานี้หรือเปล่าครับ หรือว่าเรื่องอื่นด้วย ก็ไม่ทราบรายละเอียด
แต่ปัญหาคือ มีเพื่อนครูของอาจารย์วิชาสัมมนาคนนี้ ได้โพสต์ในเฟสบุคของเขา และผมคิดว่าเป็นการต่อว่าผม โดยบอกว่า คนเป็นครูแบบเรา เค้าย้ำว่า “เรา” ครับ บอกว่าสิ่งที่คิดมาก่อนคือ ลูกศิษย์ ทำเพื่อลูกศิษย์ เพื่อจะให้เค้าได้รับสิ่งดี มีภูมิคุ้มกันดี สามารถออกสู่โลกภายนอกได้ และการที่เค้าคิดแบบนี้คือ จิตอันเป็นกุศล ของคนเป็นครูครับ แล้วบอกว่า แต่ศิษย์บางคน (ผมคิดว่าเป็นผม) ไม่ได้รู้สำนึกบุญคุณ มีจิตเป็นอกุศลต่อครูที่เปรียบเสมือนบุพการี ซึ่งเค้าบอกว่าเป็นบาปกรรมหนักหนา และบอกว่าสิ่งที่ผมกระทำลงไป ที่ผู้ปกครองไปฟ้องต่อคณบดีนั้น กระทบจิตใจครู และวันหนึ่งผมจะต้องรู้ว่าบาปกรรมมีจริง โดยเน้นย้ำตรงนี้เลยครับ (ซึ่งต่อไปครูคนนี้จะเป็นครูนิเทศก์การสอน คือ จะมาดูผมเวลาผมสอนแล้วให้คะแนนครับ ไม่รู้จะเป็นบาปกรรมที่เค้าพูดถึงหรือเปล่า)
การที่ผมจะต้องมีความรับผิดชอบ ในฐานะที่เป็นพลเมืองของโลกและของสังคม โดยปฏิบัติตามมาตรการหรือตามนโยบายเหล่านั้นที่รณรงค์ให้ผู้คนปฏิบัติอย่างเคร่งครัด ปฏิบัติตามรายละเอียดของความปลอดภัยในสวัสดิภาพของชีวิต กลายเป็นสิ่งผิดในสายตาของครูคนนี้ และก็เอาเรื่อง บุญคุณมาอ้าง ให้เราเสี่ยงต่อความปลอดภัยในชีวิตและครอบครัวของเรา และเพื่อป้องกันภัยไม่ให้อาม่าอายุ 80 กว่าปีที่อยู่ที่บ้านของผมปลอดภัย ผมกลายเป็นคนผิดเพราะไปขัดกับสิ่งที่ผู้ที่อ้างถึงบุญคุณต้องการกระทำ และคนนั้นก็เอา เรื่องของการตอบแทนบุญคุณมาอ้าง แต่ไวรัสเรามองไม่เห็นมันใช่ไหมครับ เราควรปกป้องตัวเองใช่ไหมครับ แต่ผมก็ต้องไปเสี่ยง ทำผิดกฎหมาย ผิดกฎกระทรวง ผิดประกาศของจังหวัดและอื่นๆ ผมเองก็อยากจะบอกว่า ที่อาจารย์เหล่านี้ออกมาทำเช่นนี้ก็กระทบจิตใจและเป็นการคุกคามความรู้สึกปลอดภัยในการที่จะเรียนต่อในหลักสูตรนี้เช่นเดียวกัน หรือต้องให้ผม ครอบครัว และเพื่อนพ้องต้องติดเชื้อไวรัสก่อน แกถึงจะเข้าใจหรือคิดได้ว่าเป็นคนละเรื่องกันกับบุญคุณ
คำถามก็คือ การตอบแทนบุญคุณนับเป็นเรื่องส่วนตัว แต่การปฏิบัติตามมาตรการของสังคมที่เป็นเรื่องส่วนรวม มันถูกต้องหรือไม่ที่ครูคนนี้ ทวงบุญคุณในเวลานี้ ที่ทำให้เราต้องเสี่ยงต่อความปลอดภัยในชีวิตของตัวเอง ของครอบครัว ของเพื่อน ของสังคม จนตอนนี้ทำให้รู้สึกละอายมากที่ถูกป่าวประกาศ ถูกตราหน้าว่าเป็นผู้ไม่สำนึกบุญคุณ เราควรเห็นบุญคุณของผู้ที่ไม่มีจรรยาบรรณ และไม่มีสำนึกในความรับผิดชอบต่อสังคมโดยรวมได้หรือ คนที่ทำให้เราเสี่ยงติดเชื้อ ที่ให้เราทำผิดกฎหมาย ผิดกฎกระทรวง ผิดประกาศของจังหวัด และผิดต่อสังคม แบบนี้เขาเรียกว่า ผู้มีพระคุณหรือไม่
ผมควรเห็นแก่บุญคุณของเขา ไปขอขมา หรือสิ่งที่ผมทำไปนั้นถูกต้องแล้วครับ ผมสับสนมากครับ วานช่วยบอกที