สำหรับนักลงทุนมือใหม่และคิดจะลงทุนระยะยาว
ภาพการลงทุนวันนี้ไม่เหมือนวิกฤติปี 2540 ที่คนรวยพบกับหายนะ และปี 2008 เป็นวิกฤตินอกประเทศ
ผมได้มองเรื่องนี้มา 2 ปี ตามกระทู้นี้ คิดว่ามีประโยชน์สำหรับคนที่จะคิดลงทุน=>
http://ppantip.com/topic/31213766 ผมเชื่อในวันที่ผมเขียนว่า peak ของตลาดหุ้นรอบนี้ได้ผ่านไปแล้ว ==>
http://ppantip.com/topic/31019744
วันนี้ภาพใหญ่ทั้งโลกคือเศรษฐกิจไม่ดี ภาพภายในคือไม่มีกำลังซื้อ
ภาพทั้งโลก/ภายนอกประเทศ
- การขึ้นดอกเบี้ยซึ่งอาจจะมีผลกระทบต่อการลงทุนในระยะต่อๆไป แต่จะเป็นผลดีต่อหุ้น commodityในระยะยาว
- เศรษฐกิจจีนและประเทศใหญ่ต้องมาถึงจุดเดียวกันคือตกต่ำ
ภาพภายในประเทศ
- เรามาถึงจุดที่กำลังซื้อของผู้บริโภคหมดกำลังแล้ว
- อดีตเรารีดกำลังซื้อมาตลอด ได้แก่ การลดดอกเบี้ยเพื่อให้ผู้มีรายได้ 2 หมื่น ซื้อบ้าน 3 ล้านได้ เรายืดการผ่อนรถจาก 48 งวด เป็น 84 งวด เหตุที่ต้องทำเพราะต้องการหากลุ่มเป้าหมายที่กว้างมากขึ้น และหากำลังซื้อใหม่ๆ
- ดอกเบี้ยมาถึงระดับต่ำมากสำหรับไทย เราจะเอาอะไรกระตุ้นเศรษฐกิจต่อไป???
*** ถ้าเราสังเกตคามเสียหายของเศรษฐกิจไทยในปี 2540 จะพบว่าธนาคารมีรายได้ดอกเบี้ยพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ***
สินเชื่อของผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้นหลายๆปีต่อเนื่องบอกถึงภาวะว่าวันหนึ่งเราจะเผชิญปัญหาเศรษฐกิจ เพราะผู้บริโภคไม่มีกำลังซื้อ
วันนี้ธนาคารกำลังผ่านจุดสูงสุดของกำไร kbank/scb/bbl/ktb กำลังเพิ่มการสำรองหนี้ และกำลังดำเนินการ "ปล่อยกู้อย่างระมัดระวัง"
สิ่งที่จะตามมาของการปล่อยกู้อย่างระมัดระวังคือสินเชื่อไม่เติบโต และหนี้เสียจะมีสัดส่วนที่สูงขึ้นเรื่อยๆ ===> กำไรของธนาคารจะลดต่ำลง
ให้สังเกต Coverage ratio ของธนาคารใหญ่เริ่มลดลงแม้จะตั้งสำรองเพิ่มก็ตาม
เมื่อกำไรของธนาคารลด pe ratio ที่เคยให้ในระดับ 12-15 ก็ต้องลงมาต่ำกว่า 10 เท่า แต่มันอาจจะเป็นจุดที่น่าลงทุน ยกเว้นว่า NPL จะเพิ่มขึ้นอย่างรุนแรง (NPLแค่ 5% ก็ทำให้การขาดทุนเป็นแสนล้านได้)
ผมจึงเชื่อว่าสินเชื่อคือดัชนีตัวชี้วัดที่เราต้องติดตาม ผมขอให้สังเกตผลประกอบการย้อนหลังของ ktc/aeonts ก่อนที่จะมีการฟื้นตัวของกำไรเปรียบเทียบ แต่ยุคนั้น ktc/aeonts ฟื้นตัวพร้อมกับเศรษฐกิจที่ยังเติบโตได้
สภาวะที่เกิดขึ้นไม่ว่าจากจีน/ยุโรป/อื่นๆ จะซ้ำเติมเศรษฐกิจภายในของประเทศเราที่ขณะนี้มี "การท่องเที่ยวเป็นแหล่งรายได้ก้อนใหญ่" ถ้าจีนตกต่ำเราก็จะมีรายได้ท่องเที่ยวตกลงไปด้วย
ผมยังยืนยันมุมมองสำหรับธนาคารเหมือนเดิม ==>
http://ppantip.com/topic/31019744
**** ถ้าเราประเมินด้วยความรู้สึกระหว่างตลาดกระทิง (มองแบบระยะยาว ปี 2010-2013) ตลาดจะให้ pe สูงมาก หุ้นเติบโตจะมี pe ที่ 25-30 แต่ถ้าเราดูช่วงก่อนกระทิงในปี 2004-2009 หุ้นเติบโตจะมี pe 15-20 เท่า
ในภาวะปี 2556-2558 จึงเป็นดอยทองคำของหุ้นหลายๆตัว ==>
http://ppantip.com/topic/31386685 http://ppantip.com/topic/31500017
นับจากนี้ผมเชื่อว่าตลาดจะปรับ pe ให้ลดต่ำลงเหมือเช่นในอดีต แต่หุ้นบางตัวอาจจะไม่เติบโตเช่นในอดีตแล้วก็ได้
มุมมองนี้จะเป็นตัวทำให้ดัชนีลดต่ำลงไปอีก เราเริ่มเห็นกลุ่มสื่อสาร/กลุ่มธนาคารที่ถูกปรับมุมมอง ผมเชื่อว่าตลาดจะค่อยๆปรับกลุ่มอื่นๆลงมา
นับจากนี้เรากำลังเข้าสูงภาวะปกติของการลงทุน ที่นักลงทุนจะระวังตัวมากยิ่งขึ้น ****
สิ่งที่น่าสังเกต
- ทั้งๆที่การขาดทุนของธุรกิจเหล็กมีมานานนับ 10 ปี ทุกวันนี้ก็ยังแข่งขันกันขาดทุน ซึ่งผิดธรรมชาติของการทำธุรกิจเป็นอย่างมาก (การขาดทุนในช่วงขาลงของเหล็กเพียง 3-4 ปี น่าจะสมเหตุผลกว่า)
- ขนส่งทางเรือ BDI ก็ต่ำติดดิน และแข่งขันกันขาดทุน ไม่มีใครยอมใคร
- ดอกเบี้ยต่ำมานานทำให้การแก้ปัญหายากขึ้นเรื่อยๆ และวัฏจักรการขึ้นและลงดอกเบี้ยของสหรัฐจะสั้นไปเรื่อยๆ เพราะการขึ้นดอกเบี้ยจะสร้างปัญหาให้กับผู้บริโภคและการลดดอกเบี้ยนานเกินไปก็ไม่ได้แก้ปัญหาในระยะยาว
- การพิมพ์เงินเข้าระบบอาจจะแก้ปัญหาหนี้แต่ต้องทำกันทั่วโลกเพื่อให้มีเงินเฟ้อสูงขึ้นและรายได้ของผู้บริโภคสูงขึ้นเพื่อไปแก้ปัญหาหนี้ของผู้บริโภค ถ้าเราสมมติว่าพรุ่งนี้ให้สินค้า&บริการขึ้นราคา 2 เท่าและเงินเดือนเพิ่ม 2 เท่าเช่นกัน เราจะแก้ปัญหาหนี้ได้ทันทีเพราะผู้บริโภคจะมีกำลังต่อสู้กับหนี้ที่แบกไว้ แต่จะมีปัญหาใหม่ตามมา(เช่นธนาคารถือครองสิ่งที่ไร้ค่า/เงินเก็บไร้ค่า) ดังนั้นUSA จึงอยากจะเห็นเงินเฟ้อภายหลังจากที่พิมพ์เงินเข้าระบบและทำพร้อมกับการขึ้นดอกเบี้ยเพื่อลดการปล่อยสินเชื่อ(ก็คือการลดการบริโภคของประชาชนที่นำเงินในอนาคตมาใช้)
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ผมเชื่อว่าการทำนายภาพใหญ่ของเศรษฐกิจเป็นเรื่องยาก และอาจจะไม่ได้มีประโยชน์มากนักสำหรับนักลงทุนระยะยาว แต่ก็เป็นแนวให้เราได้เตรียมรับมือกับสิ่งที่เกิดขึ้นหากสิ่งที่เกิดขึ้นไปในทางลบและเราก็ถือหุ้นเกือบเต็มพอร์ต
ผมขอมองกลุ่มธุรกิจสื่อสาร
- ได้มีการปรับ PE ลงมาอยู่ในระดับที่สมเหตุสมผลแล้ว
- การสื่อสารคือปัจจัยที่จำเป็นต่อชีวิตประชาชน
- มันอาจจะเป็นช่องทางที่ติดต่อกับผู้บริโภคโดยง่ายที่สุด เรากำลังจะเริ่มเห็นการเสนอขายสินค้าและบริการผ่านมือถือโดย operator ซักวันหนึ่ง อย่างเช่นที่ธนาคารเสนอขายประกัน อาจจะเป็นเรื่อง สื่อโฆษณา/ความบันเทิง/ประกัน/สินค้า
- รายได้ของกลุ่มจะยังคงขยายตัวอย่างช้าๆต่อไป
- AIS จะยังคงความเป็นที่1 ปีอีกนาน... ด้วยเงินทุนที่แข็งแกร่ง
- True จะขาดทุนต่อไปเนื่องจากค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยและเงินลงทุนที่จะสูงขึ้น
- Dtac จะยังคงรักษาฐานลูกค้าเอาไว้ได้
- ในอนาคตJAS จะขายกิจการMBB ให้กับ AIS/TRUE/DTAC หรือล้มละลาย
ณ ราคานี้จึงเป็นราคาที่มันควรอยู่ตรงนี้ครับ และจะขึ้นลงตามสภาวะตลาดเหมือนที่เคยเกิดในภาวะปกติ
สำหรับมุมมองในปีถัดไป
ผมเชื่อว่าการลงทุนจะมี 2 แบบที่จะทำกำไรได้คือ
1.สำหรับนักลงทุนระยะยาว คุณจะต้องซื้อในปีนี้ 1-2 ครั้งเท่านั้นในช่วง panic sell อย่างซื้อกันเป็นรายวันหรือรายเดือน และเลือกที่จะซื้อหุ้นที่เป็นผู้นำ ฐานะการเงินที่ดี แล้วลงทุนระยะยาว
2.สำหรับผู้ที่จะตีหัวเข้าบ้าน คุณจะซื้อเมื่อมีการ panic sell และขายเมื่อราคาหุ้นเพิ่มขึ้น แต่ก็พร้อมที่จะ cut loss
เวลาหุ้นลงมันจะลงแรงและเร็ว และจะลงก่อนวิกฤติจริงๆจะเกิด เมื่อเราเข้าสู่ภาวะตกต่ำราคาหุ้นจะนิ่งๆ จึงมีอีก 2 แนวทางสำหรับนักลงทุนระยะยาวคือ ซื้อตอน panic แล้วถือยาว หรือ เข้าซื้อเมื่อ panic แล้วอีกซักระยะ 3 เดือน – 1 ปีจากนี้ ซึ่งจะเป็นช่วงที่คนที่เคยมั่นใจว่าหุ้นจะเป็นอนาคตของตัวเองจะทำให้เป็นอิสระทางการเงินคงลดลงจาก 10 คนเหลือแค่ 1-2 คน
นับจากนี้น่าจะเป็นโอกาสของนักลงทุนตัวจริง
ผิดพลาดประการใดก็ขอรับไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ
ถ้าจะ S ก็ต้องหวังระยะยาวเหมือนการลงทุนนะครับ
กำไร S ทีละ 30-50% ผมทำได้ตั้งแต่ปี 56, 57, 58 ครับ
ความเห็นผมสำหรับนักลงทุนระยะยาว
ภาพการลงทุนวันนี้ไม่เหมือนวิกฤติปี 2540 ที่คนรวยพบกับหายนะ และปี 2008 เป็นวิกฤตินอกประเทศ
ผมได้มองเรื่องนี้มา 2 ปี ตามกระทู้นี้ คิดว่ามีประโยชน์สำหรับคนที่จะคิดลงทุน=> http://ppantip.com/topic/31213766 ผมเชื่อในวันที่ผมเขียนว่า peak ของตลาดหุ้นรอบนี้ได้ผ่านไปแล้ว ==>http://ppantip.com/topic/31019744
วันนี้ภาพใหญ่ทั้งโลกคือเศรษฐกิจไม่ดี ภาพภายในคือไม่มีกำลังซื้อ
ภาพทั้งโลก/ภายนอกประเทศ
- การขึ้นดอกเบี้ยซึ่งอาจจะมีผลกระทบต่อการลงทุนในระยะต่อๆไป แต่จะเป็นผลดีต่อหุ้น commodityในระยะยาว
- เศรษฐกิจจีนและประเทศใหญ่ต้องมาถึงจุดเดียวกันคือตกต่ำ
ภาพภายในประเทศ
- เรามาถึงจุดที่กำลังซื้อของผู้บริโภคหมดกำลังแล้ว
- อดีตเรารีดกำลังซื้อมาตลอด ได้แก่ การลดดอกเบี้ยเพื่อให้ผู้มีรายได้ 2 หมื่น ซื้อบ้าน 3 ล้านได้ เรายืดการผ่อนรถจาก 48 งวด เป็น 84 งวด เหตุที่ต้องทำเพราะต้องการหากลุ่มเป้าหมายที่กว้างมากขึ้น และหากำลังซื้อใหม่ๆ
- ดอกเบี้ยมาถึงระดับต่ำมากสำหรับไทย เราจะเอาอะไรกระตุ้นเศรษฐกิจต่อไป???
*** ถ้าเราสังเกตคามเสียหายของเศรษฐกิจไทยในปี 2540 จะพบว่าธนาคารมีรายได้ดอกเบี้ยพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ***
สินเชื่อของผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้นหลายๆปีต่อเนื่องบอกถึงภาวะว่าวันหนึ่งเราจะเผชิญปัญหาเศรษฐกิจ เพราะผู้บริโภคไม่มีกำลังซื้อ
วันนี้ธนาคารกำลังผ่านจุดสูงสุดของกำไร kbank/scb/bbl/ktb กำลังเพิ่มการสำรองหนี้ และกำลังดำเนินการ "ปล่อยกู้อย่างระมัดระวัง"
สิ่งที่จะตามมาของการปล่อยกู้อย่างระมัดระวังคือสินเชื่อไม่เติบโต และหนี้เสียจะมีสัดส่วนที่สูงขึ้นเรื่อยๆ ===> กำไรของธนาคารจะลดต่ำลง
ให้สังเกต Coverage ratio ของธนาคารใหญ่เริ่มลดลงแม้จะตั้งสำรองเพิ่มก็ตาม
เมื่อกำไรของธนาคารลด pe ratio ที่เคยให้ในระดับ 12-15 ก็ต้องลงมาต่ำกว่า 10 เท่า แต่มันอาจจะเป็นจุดที่น่าลงทุน ยกเว้นว่า NPL จะเพิ่มขึ้นอย่างรุนแรง (NPLแค่ 5% ก็ทำให้การขาดทุนเป็นแสนล้านได้)
ผมจึงเชื่อว่าสินเชื่อคือดัชนีตัวชี้วัดที่เราต้องติดตาม ผมขอให้สังเกตผลประกอบการย้อนหลังของ ktc/aeonts ก่อนที่จะมีการฟื้นตัวของกำไรเปรียบเทียบ แต่ยุคนั้น ktc/aeonts ฟื้นตัวพร้อมกับเศรษฐกิจที่ยังเติบโตได้
สภาวะที่เกิดขึ้นไม่ว่าจากจีน/ยุโรป/อื่นๆ จะซ้ำเติมเศรษฐกิจภายในของประเทศเราที่ขณะนี้มี "การท่องเที่ยวเป็นแหล่งรายได้ก้อนใหญ่" ถ้าจีนตกต่ำเราก็จะมีรายได้ท่องเที่ยวตกลงไปด้วย
ผมยังยืนยันมุมมองสำหรับธนาคารเหมือนเดิม ==> http://ppantip.com/topic/31019744
**** ถ้าเราประเมินด้วยความรู้สึกระหว่างตลาดกระทิง (มองแบบระยะยาว ปี 2010-2013) ตลาดจะให้ pe สูงมาก หุ้นเติบโตจะมี pe ที่ 25-30 แต่ถ้าเราดูช่วงก่อนกระทิงในปี 2004-2009 หุ้นเติบโตจะมี pe 15-20 เท่า
ในภาวะปี 2556-2558 จึงเป็นดอยทองคำของหุ้นหลายๆตัว ==> http://ppantip.com/topic/31386685 http://ppantip.com/topic/31500017
นับจากนี้ผมเชื่อว่าตลาดจะปรับ pe ให้ลดต่ำลงเหมือเช่นในอดีต แต่หุ้นบางตัวอาจจะไม่เติบโตเช่นในอดีตแล้วก็ได้
มุมมองนี้จะเป็นตัวทำให้ดัชนีลดต่ำลงไปอีก เราเริ่มเห็นกลุ่มสื่อสาร/กลุ่มธนาคารที่ถูกปรับมุมมอง ผมเชื่อว่าตลาดจะค่อยๆปรับกลุ่มอื่นๆลงมา
นับจากนี้เรากำลังเข้าสูงภาวะปกติของการลงทุน ที่นักลงทุนจะระวังตัวมากยิ่งขึ้น ****
สิ่งที่น่าสังเกต
- ทั้งๆที่การขาดทุนของธุรกิจเหล็กมีมานานนับ 10 ปี ทุกวันนี้ก็ยังแข่งขันกันขาดทุน ซึ่งผิดธรรมชาติของการทำธุรกิจเป็นอย่างมาก (การขาดทุนในช่วงขาลงของเหล็กเพียง 3-4 ปี น่าจะสมเหตุผลกว่า)
- ขนส่งทางเรือ BDI ก็ต่ำติดดิน และแข่งขันกันขาดทุน ไม่มีใครยอมใคร
- ดอกเบี้ยต่ำมานานทำให้การแก้ปัญหายากขึ้นเรื่อยๆ และวัฏจักรการขึ้นและลงดอกเบี้ยของสหรัฐจะสั้นไปเรื่อยๆ เพราะการขึ้นดอกเบี้ยจะสร้างปัญหาให้กับผู้บริโภคและการลดดอกเบี้ยนานเกินไปก็ไม่ได้แก้ปัญหาในระยะยาว
- การพิมพ์เงินเข้าระบบอาจจะแก้ปัญหาหนี้แต่ต้องทำกันทั่วโลกเพื่อให้มีเงินเฟ้อสูงขึ้นและรายได้ของผู้บริโภคสูงขึ้นเพื่อไปแก้ปัญหาหนี้ของผู้บริโภค ถ้าเราสมมติว่าพรุ่งนี้ให้สินค้า&บริการขึ้นราคา 2 เท่าและเงินเดือนเพิ่ม 2 เท่าเช่นกัน เราจะแก้ปัญหาหนี้ได้ทันทีเพราะผู้บริโภคจะมีกำลังต่อสู้กับหนี้ที่แบกไว้ แต่จะมีปัญหาใหม่ตามมา(เช่นธนาคารถือครองสิ่งที่ไร้ค่า/เงินเก็บไร้ค่า) ดังนั้นUSA จึงอยากจะเห็นเงินเฟ้อภายหลังจากที่พิมพ์เงินเข้าระบบและทำพร้อมกับการขึ้นดอกเบี้ยเพื่อลดการปล่อยสินเชื่อ(ก็คือการลดการบริโภคของประชาชนที่นำเงินในอนาคตมาใช้)
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ผมเชื่อว่าการทำนายภาพใหญ่ของเศรษฐกิจเป็นเรื่องยาก และอาจจะไม่ได้มีประโยชน์มากนักสำหรับนักลงทุนระยะยาว แต่ก็เป็นแนวให้เราได้เตรียมรับมือกับสิ่งที่เกิดขึ้นหากสิ่งที่เกิดขึ้นไปในทางลบและเราก็ถือหุ้นเกือบเต็มพอร์ต
ผมขอมองกลุ่มธุรกิจสื่อสาร
- ได้มีการปรับ PE ลงมาอยู่ในระดับที่สมเหตุสมผลแล้ว
- การสื่อสารคือปัจจัยที่จำเป็นต่อชีวิตประชาชน
- มันอาจจะเป็นช่องทางที่ติดต่อกับผู้บริโภคโดยง่ายที่สุด เรากำลังจะเริ่มเห็นการเสนอขายสินค้าและบริการผ่านมือถือโดย operator ซักวันหนึ่ง อย่างเช่นที่ธนาคารเสนอขายประกัน อาจจะเป็นเรื่อง สื่อโฆษณา/ความบันเทิง/ประกัน/สินค้า
- รายได้ของกลุ่มจะยังคงขยายตัวอย่างช้าๆต่อไป
- AIS จะยังคงความเป็นที่1 ปีอีกนาน... ด้วยเงินทุนที่แข็งแกร่ง
- True จะขาดทุนต่อไปเนื่องจากค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยและเงินลงทุนที่จะสูงขึ้น
- Dtac จะยังคงรักษาฐานลูกค้าเอาไว้ได้
- ในอนาคตJAS จะขายกิจการMBB ให้กับ AIS/TRUE/DTAC หรือล้มละลาย
ณ ราคานี้จึงเป็นราคาที่มันควรอยู่ตรงนี้ครับ และจะขึ้นลงตามสภาวะตลาดเหมือนที่เคยเกิดในภาวะปกติ
สำหรับมุมมองในปีถัดไป
ผมเชื่อว่าการลงทุนจะมี 2 แบบที่จะทำกำไรได้คือ
1.สำหรับนักลงทุนระยะยาว คุณจะต้องซื้อในปีนี้ 1-2 ครั้งเท่านั้นในช่วง panic sell อย่างซื้อกันเป็นรายวันหรือรายเดือน และเลือกที่จะซื้อหุ้นที่เป็นผู้นำ ฐานะการเงินที่ดี แล้วลงทุนระยะยาว
2.สำหรับผู้ที่จะตีหัวเข้าบ้าน คุณจะซื้อเมื่อมีการ panic sell และขายเมื่อราคาหุ้นเพิ่มขึ้น แต่ก็พร้อมที่จะ cut loss
เวลาหุ้นลงมันจะลงแรงและเร็ว และจะลงก่อนวิกฤติจริงๆจะเกิด เมื่อเราเข้าสู่ภาวะตกต่ำราคาหุ้นจะนิ่งๆ จึงมีอีก 2 แนวทางสำหรับนักลงทุนระยะยาวคือ ซื้อตอน panic แล้วถือยาว หรือ เข้าซื้อเมื่อ panic แล้วอีกซักระยะ 3 เดือน – 1 ปีจากนี้ ซึ่งจะเป็นช่วงที่คนที่เคยมั่นใจว่าหุ้นจะเป็นอนาคตของตัวเองจะทำให้เป็นอิสระทางการเงินคงลดลงจาก 10 คนเหลือแค่ 1-2 คน
นับจากนี้น่าจะเป็นโอกาสของนักลงทุนตัวจริง
ผิดพลาดประการใดก็ขอรับไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ
ถ้าจะ S ก็ต้องหวังระยะยาวเหมือนการลงทุนนะครับ
กำไร S ทีละ 30-50% ผมทำได้ตั้งแต่ปี 56, 57, 58 ครับ