" เรื่องเล่าแอร์โฮสเตสตะวันออกกลาง ตอน 4 : ใครๆก็บอกว่า.. เราบินได้ ✈️✨ "

สวัสดีปีใหม่ค่ะทุกๆท่าน 🙏😊 วันนี้เจ้าของกระทู้กลับมาอัพเดทเรื่องเล่าภาคต่อให้ได้อ่านกันค่า หลังวันหยุดยาวที่ใครหลายคนคงได้ไปท่องเที่ยวหรือกลับภูมิลำเนากันอย่างมีความสุข หวังว่าเราคงจะมาอัพได้ถูกเวลาพอดีนะคะ กับตอน "เรื่องเล่าแอร์โฮสเตสตะวันออกกลาง: ใครๆก็บอกว่า.. เราบินได้ ✈️✨"
เชิญติดตามกันได้เลยค่าา ^^

"ในระหว่างก้มหน้าภาวนาให้ได้ตั๋วกลับอาบูดาบี
ก็ได้ยินเสียงคนเรียกชื่อเรา
"เบญจวรรณ ได้จั๊มพ์ซีท"

โอ้ว..พระเจ้า นั่งๆอยู่ เด้งเลยสิคะ ดีใจยิ่งกว่าถูกเลขท้าย 2 ตัว ยิ่งโม้กับพ่อแม่ไว้เยอะเรื่องตั๋ว ก็ยิ่งกลัวเสียหน้า
ตอนนี้นี่วิ่งลากกระเป๋าหน้าตาตื่นไปโหลดที่เคาท์เตอร์อย่างไว กลัวเค้าเปลี่ยนใจไม่ให้เรากลับ

ในระหว่างโหลดกระเป๋า อีกเคาท์เตอร์นึงก็ปิดลง
กระเป๋าเราจึงเป็นใบสุดท้ายที่ถูกโหลดลงใต้ท้องเครื่อง และเคาท์เตอร์นี้ก็คือปิดตามไป

เหลือบไปเห็นแอร์รุ่นพี่คนไทยผู้ร่วมชะตากรรมอีก 2 ท่านยืนอยู่เหมือนรอเราด้วยท่าทีละล่ำละลัก
เราจึงรีบสวัสดีทักทาย และแนะนำตัวสวยๆว่าเราคือเด็กใหม่
แต่จุดนั้นพี่รีบมาก พี่บอก"รีบไปเหอะ" แล้วพี่ก็เริ่มวิ่งเลย

ใจเสียสิคะ ในเมื่อพี่วิ่งหนูก็วิ่งตามเลย รออะไร
หันไปสวัสดีพ่อแม่แทบไม่ทัน ใบตม.ก็ยังไม่กรอก มองนาฬิกาก็รู้แต่ว่าเค้าบอร์ดผู้โดยสารไป 5 นาทีแล้ว

ถึงแม้วันนี้จะตื่นตี 5 แต่หน้าผมเราจัดเต็มไม่แพ้เข้าประกวดเดอะเฟซ คือพี่ไม่ได้มาเล่นๆ ตีกระบังผมโป่งพอง รองเท้าส้นเข็ม กระเป๋าล้อลาก อยากให้ทุกคนมองปร๊าดเดียวนี่รู้เลยว่าเป็นแอร์นอกเครื่องแบบ แต่คือไม่ได้คาดคิดว่าจะลงท้ายด้วยการวิ่งราวตั๋วแบบนี้ ไม่อย่างนั้น คงจะจัดผ้าใบมาให้ถูกงาน

พอไปถึงเกท เห็นผู้โดยสารเพิ่งเริ่มทยอยกันเข้าประตูไปยังสะพานเชื่อม เราถึงได้นั่งหายใจหายคอกันสักนิด
"เดี๋ยวเราต้องเข้าเป็นคนสุดท้ายนะ เพราะเรานั่งจั๊มพ์ซีท" และแล้วรุ่นพี่หนึ่งในสองท่านก็เอื้อนเอ่ยออกมาแนะนำเด็กใหม่อย่างเราเป็นสิ่งแรก
"รู้มั้ย นี่ถ้าไม่ได้เป็นแอร์ นั่งไม่ได้นะตรงนี้ ตกไฟลท์เลยนะ" อีกท่านก็เสริมขึ้นมา
โอ้โห จริงดิพี่ เรานี่โชคดีจริงๆ เราอมยิ้มกระหยิ่มใจในความเป็นอภิสิทธิ์ชนของตัวเอง
ในระหว่างที่ผู้โดยสารกำลังทยอยเข้าไปจนเกือบหมด เราจึงยังเพลิดเพลินกับการนั่งฟังพี่ทั้งสองคนพูดกันและพยักหน้าหงึกๆสนอกสนใจตลอดเวลา รู้สึกสนุกจริงจัง

"เดี๋ยวพี่พาหนูไปนะ หนูไม่รู้ว่านั่งตรงไหน" แล้วเราก็เดินตามพี่ไปจนถึงท้ายสุดของเครื่อง

ท้ายสุดจริงๆ เดินผ่านผู้โดยสารซึ่งนั่งแล้วกว่า 350 ชีวิต เราไม่พลาดที่จะยิ้มร่าเซย์ไฮ ทักทายแอร์สจ๊วตตั้งแต่ครัวหน้า ครัวกลาง จนมาถึงครัวหลังสุด
..เฟรนด์ลี่จริงๆเรา แอบภูมิใจในตัวเอง อิอิ

แล้วพี่ก็หยุดอยู่ตรงเก้าอี้พับของแอร์ซึ่งอยู่ระหว่างหน้าห้องน้ำทั้ง 2 ห้องพอดิบดี และหันมา
"นั่งเลยน้อง นี่ไง"
เราก็มาถึงบางอ้อ.. ก็จั๊มพ์ซีทที่เรานั่งตอนเครื่องขึ้นเครื่องลงนิ่ ต้องนั่งตรงนี้นี่เอง สบายมากแค่ 6 ชั่วโมง

ทุกอย่างดูดีเมื่อคุณมีเพื่อน เมื่อคนไทยอย่างเราได้มาเจอกัน ถึงแม้นจะเพิ่งรู้จักกัน แต่ก็ดูเหมือนเราจะมีหัวข้อสนทนาประหนึ่งรู้จักกันมาแต่ปางก่อน เมาท์มอยเล่นมุกกันสนุกสนาน แต่เมื่อเพื่อนแอร์ต่างชาติจะต้องมานั่งประจำที่ตอนเครื่องขึ้นข้างๆเรา เราก็ไม่ละเลยที่จะทักทายและชวนเค้าคุยเป็นภาษาอังกฤษกันไปตามมารยาท

หึหึ สนุก..! ดีใจมีเพื่อน
เมื่อสัญญาณรัดเข็มขัดดับ น้องแอร์ต่างชาติก็ไปปลดล็อคห้องน้ำและเปลี่ยนเป็นชุดผ้ากันเปื้อน พร้อมเริ่มงาน

วูบแรกดีใจจังได้ดูคนทำงานแต่เราไม่ต้องทำงาน สบายแฮเลยเรา
แต่ความคิดก็เริ่มเปลี่ยนไปเมื่อแอร์ทั้ง 3 ท่านที่ประจำอยู่ครัวนี้มากันพร้อมหน้า และเริ่มดึงเอาตู้อาหารออกมาจอดข้างนอกเพื่อจัดของออกไปเสิร์ฟ

เริ่มรู้สึกได้ว่าตัวเองเป็นหูดหรือติ่งเนื้อขึ้นมาทันที
เออ..เก้าอี้ก็ไม่มีให้นั่ง ต้องมานั่งเก้าอี้พับแอร์ ไหนแอร์จะใช้พื้นที่จัดของ ไหนผู้โดยสารจะต่อคิวห้องน้ำ โดยเฉพาะผู้โดยสารนี่ มองกันจังเลย คงคิดว่าอีนี่มานั่งหน้าห้องน้ำทำไม ทำไมไม่กลับที่นั่งตัวเอง หรือว่าเมา?!?

โมเมนต์นั้นเราเริ่มนอยด์ เลยคิดแกล้งหลับ เราจึงเริ่มเอนศีรษะพยายามหาล็อคให้หัวเอนหลับลงได้พอดิบพอดี
แต่เก้าอี้พับนี่ เชื่อว่าจอห์น โรเบิร์ต พาวเวอร์ยังต้องอาย เพราะคุณไม่ต้องไปเทรน เพียงนั่งปุ๊ปหลังเหยียดตรงปั๊ป รองรับสรีระที่ 180 องศาพอดี หากคิดจะห่อไหล่เยอะ อย่าลืมรัดเข็มขัดนิรภัยก่อน เพราะอาจตกเก้าอี้ได้ และขานี่เก็บชิดแบบท่านั่งสมัครแอร์คือดี ไม่งั้นอาจขัดขาคนล้มปากแตกอยู่หน้าห้องน้ำแน่นอน

"พอจะหลับละต้องทำไงอ่ะพี่?"
"ก็รัดเข็มขัดเอาไว้ไม่ให้ตกเก้าอี้ แล้วห่มผ้าห่มคลุมหัวไปเลย" อืมม.. พี่แนะนำดี หลับหนีปัญหามันซะเลย เดี๋ยวขอเวลาบิ๊วอารมณ์นิดนึงนะ

ผ่าง!! แล้วตู้อาหารก็พร้อมเสิร์ฟ
เมื่อแอร์ลากตู้ออกมา ทั้งเราและพี่ก็รีบปลดเข็มขัด ลุกขึ้นยืนหลีกกันคนละมุมด้วยความเกรงใจ กลิ่นก๋วยเตี๋ยวผัดจากตู้อุ่นอาหารก็ลอยมาจังเลย ไหนจะกลิ่นไข่ออมเลต.. ยังไม่ได้กินอะไรเลยมาตั้งแต่ตื่น เพราะกะจะมาละเลียด breakfast เอาบนไฟลท์ แถมตอนนี้ยิ่งกินไม่ได้ ทุกๆคนกำลังวิ่งวุ่นอยู่ ใครจะกล้าเอ่ยปากขออาหารมานั่งกิน จึงต้องทนต่อไป

อ่ะ..นอนก็ด้ะ เริ่มบิ๊วนับแกะหลับตาละกัน สมมติว่าเรากำลังนอนอยู่บนทุ่งหญ้าเขียวขจีนะ มีวัว 2 ตัว มีลมพัดมาเย็นๆ มี..

ติ๊งหน่อง! โทรศัพท์ข้างหัวดังขึ้น ตึก ตึก ตึก โพล๊ะ! มีคนจากในครัววิ่งมารับแล้ว "ฮัลโหลๆ ไก่หมดแล้ว" ปั่ก! อ่ะกระแทกหูเก็บโทรศัพท์อีก เก็บแรงจังนิ ตึก..ตึก.. มีคนเดินมาเข้าห้องน้ำแหง ปั้ง..ปั้ง อ่ะ พี่จะต่อยประตูอีกนานมั้ย เปิดประตูห้องน้ำก็ไม่เป็น คำว่า Push ตัวเบ้อเริ่ม ไม่เห็นรึงายย
"ปั้ง ปั้ง"

ลืมตาค่ะ
ตื่นก็ได้..ถ้าพี่จะพังประตูขนาดนี้
เราจึงตัดสินใจลืมตา และเอื้อมไปเปิดประตูห้องน้ำให้พี่แก ยืนสงบสติแป๊ป แล้วจึงนั่งลงและพยายามหลับอีกครั้ง

พอหลับตา..ไหนจะเสียงล็อค เสียงปิดประตู เสียงกดชักโครก เซอร์ราวน์ได้ใจ เห็นทีเราควรจะต้องตื่นรับชะตากรรม ดมกลิ่นห้องน้ำอย่างมีสติต่อไป

หาพวกดีกว่า.. มองไปเห็นพี่ที่นั่งตรงข้ามขมวดคิ้วพยายามหลับแบบทรมานเช่นกัน เราจึงชวนคุยแม้พี่จะหลับตา
"พี่ๆ นอนไม่หลับเหรอ" แปลว่าตื่นซะเถอะพี่ มาเล่นกับหนูเถอะ หนูนอนไม่หลับ
"อืมม เสียงดัง นอนไม่ได้" พี่ตอบเสียงงัวเงีย ดีงามพี่..เราควรคุยกันนะพี่
"พี่นั่งกลับบ้านบ่อยไหมปกติ?" เราถาม พี่เริ่มลืมตา
"ก็บ่อย หยุด 3 วันก็กลับแล่ว อยู่อาบูไม่รู้ทำไร กลับมาหาแฟน"
"อืมม..ลำบากแย่เลย" ถ้ากลับมาหาแฟนแล้วทรมานสังขารแบบนี้ เป็นหนูหนูขอเลิกไปตั้งแต่ 2 ไฟลท์แรกละ ประโยคหลังนี่คิดในใจไม่ได้พูดนะ เดี๋ยวโดนด่า อ่ะ..ลองถามพี่ดีกว่าว่าจะต้องนั่งอย่างนี้ทุกไฟลท์มั้ย
พี่ตอบ "แล้วแต่ ถ้าไฟลท์ไม่เต็มก็ได้ที่นั่ง แต่ไฟลท์กทม.อ่ะ เต็มตลอดแหละ"

เยี่ยม! แล้ววันหยุดหน้าเราควรจะกลับมั้ย?
ระหว่างตกไฟลท์กับนั่งจั๊มพ์ซีท อันไหนเลวร้ายกว่ากัน..
จุดนี้นั่งไป 2 ชั่วโมง พี่ขอโหวตเลยว่าเลวร้ายเท่ากัน

ระหว่างนั่งคุยไปก็ต้องคอยดูลาดเลาไปว่าแอร์เข็นตู้เข้ามาใกล้ยัง จะต้องหลบตอนไหน และยังคงให้บริการเปิดประตูห้องน้ำแก่ท่านผู้โดยสารเป็นพักๆ
เหลืออีกครึ่งไฟลท์ละสินะ ทนมาได้ตั้งครึ่งทาง .. เราปลอบประโลมตัวเองในใจ ตอนนี้เราคงบินอยู่เหนือน่านฟ้าอินเดียเป็นแน่ ลองมาโฟกัสที่เส้นทางการบิน เผื่อจะข่มจิตให้ลืมเวลาได้

และแล้วแอร์ก็เคลียร์ถาดเสร็จ
ผู้โดยสารหลายท่านจึงเดินประกบตามหลังเพื่อนแอร์เป็นแม่งูเอ๋ยตรงมาที่ห้องน้ำ ทั้ง 2 ฝั่งลากตู้อาหารกลับมาจอดที่หน้าครัวเพื่อจะเคลียร์ขยะ ไหนจะตู้ถังขยะในครัว ผู้คนเริ่มเดินกันขวักไขว่ บ้างก็นึกว่าเรานั่งจองคิวห้องน้ำอยู่ เลยสะกิดให้เราเข้าบ้าง บ้างก็มานั่งที่จั๊มพ์ซีทข้างๆ เพราะนึกว่าเป็นที่นั่งรอ และหนักสุดคือมีคุณป้าท่านนึงยื่นแก้วมาให้แล้วเดินเข้าห้องน้ำไป
เราก็รับมาแบบงงๆ..ขนาดยูนิฟอร์มก็ไม่ได้ใส่ ทำไมป้ารู้ว่าเราเป็นแอร์?
"มันแปะไว้ที่หัวมั้งว่าเป็นแอร์ ขนาดนั่งหลบมุมขนาดนี้แล้ว" เสียงพี่โพล่งขึ้นมา ท่านพี่คงมีญาณทิพย์เห็นสิ่งที่เรากำลังคิดในใจ พอหันไปดู สภาพพี่นั้นหน้าง่วงโทรมเต็มขั้น

อภิสิทธิ์ชนจริงๆพวกชั้น..ควรจะดีใจดีมั้ย เก้าอี้นี่สุขภาพไม่แข็งแรงจริงนี่นั่งไม่ได้นะ 6 ชั่วโมง หลังเดาะกันพอดี

แอบเหลือบไปดูพี่อีกคนที่นั่งอยู่อีกฝั่ง พี่มันหลับอ่ะ หลับลงได้ไงเนี่ย เราคิดอิจฉาในใจ เสียงนี่ดังหยั่งกะสนามม้ายังหลับได้ หากมีใครมาชกเสยคางชั้นตอนนี้จนสลบไปชั้นนี่จะไม่โกรธเลยจริงๆ จบๆปัญหาไป ทรมาน

หลังจากพลิกซ้ายขวาไปมาหลายตลบ พับขาก็แล้ว ยกขาก็แล้ว กอดเข่าก็แล้ว ก็ถึงเวลากัปตันประกาศหมดกรรมหมดเวร เอ้ย.. หมดไฟลท์ซะที

เรากับพี่อีก 2 คนนี่รีบลุกเลย แรงมาทันที รีบล้างหน้าล้างตาในห้องน้ำ มีการช่วยแอร์เก็บหูฟังเข้าตู้ด้วยความปีติ

เครื่องลง มีความสุข หลุดพ้น ตอนนี้นี่ชอบเดินขึ้นมาทันที รีบจ้ำไปเรียกแท็กซี่กลับโรงแรมในทันใด คราวนี้ล่ะ ชั้นจะขอนั่งยืดขา 180 องศาตั้งค้างไว้สัก 15 นาทีเพื่อความสะใจ

มองออกไปที่วิวทะเลทรายข้างทาง ดูเหมือนเราจะเริ่มชินกับวิวนี้ แค่เวลาเพียง 3 วันที่ได้กลับบ้าน มันช่างเติมพลังการทำงานของเราได้เยอะเลย โดยเฉพาะหมูและกะปิน้ำปลาสารพัดที่ขนมา อย่างน้อยเราก็จะได้มีอะไรทำกินแก้เหงา
..คิดขอบคุณบริษัทในใจที่ให้เราบินกลับบ้าน

กลับมาที่ห้องสวีทห้องเดิมแสนสุขใจกลางกรุงอาบูดาบี เปิดประตูไปก็เห็นม่านแบบอาหรับสูงใหญ่สีทองที่ในห้องนอนเปิดเอาไว้รับแดดยามบ่าย ดูไฮโซยิ่งนัก คงเป็นแม่บ้านเปิดไว้ให้เพราะเราไม่ได้แขวนป้าย Do Not Disturb เอาไว้ก่อนออกจากห้อง ส่วนชามที่ลืมล้างไว้อยู่ในซิงค์ก็ถูกล้างและเก็บเข้าตู้ในครัวให้เรียบร้อยเช่นกัน

เปิดกระเป๋า อุ่นใจที่มีหมู ค่อยๆหยิบของกินต่างๆแช่ตู้เย็น ..ทำไมมันเงียบจังฟระ
ถ้าเป็นตอนเมื่อวานนี้ที่อยู่บ้าน พ่อกับแม่และน้องๆคงมาช่วยเราจัดแจงทำนั่นทำนี่ เสียงพูดคุยและเสียงทีวีคงมีไม่ขาด พอมาวันนี้ ตอนนี้ มันช่างเงียบเหลือเกิน

เปิดกระเป๋าเก็บความเย็น เจอผัดกะเพราถุงที่แม่แอบผัดแช่แข็งมาให้ เลยนึกขึ้นมาได้ว่าเมื่อก่อนเราเกลียดการกินของค้างคืนแช่แข็งซะเต็มประดา ถ้าเป็นเมื่อก่อนเจอถุงนี้คงบ่นแม่ไปแล้ว แต่ตอนนี้ อยากถามแม่ ทำไมให้หนูมาแค่นี้ และแม่คงงงว่าทำไมหนูเปลี่ยนไป

จะซึมทำไมกัน! คืนนี้เรามีไฟลท์เจนีวานี่นา ตื่นเต้นมว๊าก ได้ไปครั้งแรก ประเทศสวิสเซอร์แลนด์สินะ รถมารับตั้งเที่ยงคืน ได้นอนเต็มอิ่มชดเชยที่ไม่ได้นอนมาทั้งคืนสบายๆ เดี๋ยวพอบินไปถึงนะจะออกไปชมเมืองทันที จะเที่ยวให้คุ้มสุดๆ จะทำนั่น จะทำนี่ เอ.. มีอะไรให้ไปบ้างนาา

ตอนนี้บ่ายสาม ตั้งปลุก 5 ทุ่มไว้เรยย
วิ่งไปเก็บกระเป๋า อาบน้ำ กระโดดลงเตียง

เงยหน้าเหลือบมองนาฬิกาหัวเตียง สี่โมงเย็นแล้ว ~ บิ๊วแพรพ เดี๋ยวก็หลับ เหนื่อยมาขนาดนี้แหมม..

เงยหัวขึ้นมาใหม่ ห้าโมงเย็นละ ~ ทำไมยังไม่หลับฟะ สงสัยผิดเวลา ไม่เป็นไร คนเกิดปีหมู นอนง่าย.. อีกนิดก็หลับ

เหลือบอีกที หกโมงเย็น ~ ตายห่าละตู ทำไมมันไม่หลับ ลองนอนคว่ำ เร่งแอร์เย็นๆอาจช่วย

ในใจเริ่มกระสับกระส่าย หัวนี่เริ่มตึงไปหมด เจนีวาๆ ชั้นต้องหลับ บินทั้งคืนอย่างนี้ ไฟลท์ต้องมี 6-7 ชั่วโมง ไม่หลับมีอ้วกแน่ แกะเกอะไม่ต้องนับมันละ ชั้นต้องออกมาจากฟาร์มและหลับเดี๋ยวนี้

พอกระดกหัวทีก็ผวาที ไม่กล้ามองนาฬิกา แอบเหล่ตาไปมองผ่านๆ เฮ้ย.. เร็วไปป่าวฟะ จะ 2 ทุ่มแล้ว ชั้นจะได้นอนมั้ย..
พ่อแก้วแม่แก้วช่วยหนูด้วยย

กริ๊งงงง นาฬิกาปลุก - 5 ทุ่มละรึ?
ไม่รู้หลับไปตอนไหน แต่รู้ว่านอนไม่พอเลย มึนๆ งงๆ อยากอาเจียน
แต่ถ้าไม่ลุกตอนนี้ ยาววว.. ตั้งสติบังคับตัวเองให้ขึ้นมานั่งอย่างรวดเร็ว

เอาวะ.. สู้! ที่เมืองไทยตอนนี้ก็ตีสองสินะ เราถึงได้ง่วงสุดๆไปเลย เป็นเวลาที่เราเพิ่งเข้านอนเมื่อวาน ส่วนในวันนี้ นี่คือเวลางาน.. สักพักเราก็คงจะชิน

กัดฟัน! เสียบน้ำร้อน ชงกาแฟ 2 ซองหักดิบถ่างตามันซะเลย เปิดไฟมันให้หมด โอ้ว.. ชีวิตช่างมีสีสัน เมื่อเช้าอยู่ไทย ตอนนี้จิบกาแฟอยู่อาบูดาบี พรุ่งนี้กินช็อคโกแล็ตอยู่สวิสเซอร์แลนด์

แล้วเจอกันในอีก 10 ชั่วโมงจากนี้ See you Geneva !!"
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่