ไหนก็ไปมาแล้วก็มาเล่าสู่กันฟังเผื่อเป็นแนวทางให้ใครที่จะไปเที่ยวเองได้มีข้อมูลเพื่อวางแผนท่องเที่ยวค่ะ เราเน้นข้อมูลนะ ไม่ลงรูป รูปในเว็บมีให้ดูเยอะแล้ว

จองตั๋วเครื่องบิน จองที่พักก่อน พอได้เรียบร้อยแล้วค่อยขอวีซ่าเข้า UAE อีกที ถ้าบินไปกับ Emirates สามารถขอผ่านเว็บสายการบินได้เลย วีซ่ามีแบบสั้น แบบยาว เราเลือกวีซ่า 96 ชั่วโมง ค่าวีซ่า คนละ 2,115 บาท การขอวีซ่าแบบสั้นจะขอล่วงหน้าก่อนไปถึง UAE ได้ไม่เกิน 30 วัน ดังนั้นซื้อตั๋วเครื่องบินกับจองที่พักล่วงหน้าไปแล้วก็ใจเย็นรอถึงเวลาใกล้เดินทางจึงขอวีซ่าได้ วีซ่าขอไม่ยากเราแนบไฟล์พาสปอร์ต รูปถ่าย หลักฐานการจองที่พักไปแค่นั้น 
เรื่องวีซ่า ทำเรื่องไป 2-3 วันทำการก็จะมีอีเมล์ e-visa กลับมาให้ โดยในวีซ่าจะระบุวันสุดท้ายที่เราสามารถเข้า UAE ได้ โดยระยะเวลาที่เราพำนักอยู่จะนับจากวันที่เราแสดงตัวที่ตม. UAE เป็นต้นไป 

โปรแกรมท่องเที่ยวของเรามีดังนี้
Day 1 : บินไฟลท์เช้าถึงดูไบบ่าย เข้าที่พัก เก็บของเสร็จออกมาเที่ยวต่อเลย ซื้อทัวร์ Sunset Yacht Tour ไว้
Day 2 : ซื้อทัวร์ไปเที่ยวอาบูดาบี 1 วัน รถมารับถึงที่พักตอนเช้า แล้วขนนักท่องเที่ยวลงรถบัสไปพร้อมกัน โปรแกรมเที่ยวอาบูดาบี เท่าที่เห็นมี 2-3 แบบ เราเลือกเที่ยวพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ อาบูดาบี และ Grand Mosque นอกนั้นเขาก็จอดแวะถ่ายรูปตามที่ต่างๆ กลับถึงที่พักก็ 2 ทุ่ม 
Day 3 : ชมตึก Burj Khalifa รอบ 10.00 น. ต่อด้วย Dubai Mall บ่ายไป Dubai Miracle Garden ตกค่ำไปล่องเรือกินอาหารเย็น Marina Dubai Dhow Cruise
Day 4 : เช้าไปเดินย่านเมืองเก่า Coffee Museum, Coin Museum นั่งเรือข้ามฟากไปตลาดทอง ตลาดสมุนไพร พอ 14.00 น. ก็มาที่พัก มารอรถรับไปเที่ยว Deluxe Desert Safari Experience
Day 5 : บินกลับไฟลท์ 09.30 น.

เรื่องการเดินทางในดูไบ เราใช้ 2 วิธี คือ รถไฟฟ้า กับ แท๊กซี่ ผ่านแอป Carreem
* รถไฟฟ้าเขามี 1 สายหลักสายสีแดง วิ่งจากสนามบินเข้าเมืองจนออกไปชานเมืองอีกฟากนึง วิ่งลอยฟ้ามองลงมาเห็นถนนเห็นวิวตลอดทาง และก็มีสายสีเขียว วิ่งในย่านเมืองเก่าอันนี้มุดดินเป็นหลัก และอีกอันก็รถราง วิ่งบบนถนนในย่าน The Palm การเดินทางเราใช้รถไฟฟ้าเป็นหลัก มาถึงสนามบินดูไบก็ดูป้าย Train เดินไปก็เจอตู้ขายตั๋ว ก็ซื้อเลย nol card แบบ silver ราคาคนละ 25 ดีร์แฮม แต่เขาคิดค่าบัตรน่าจะ 5-6 ดีร์แฮมนะ เพราะพอแปะบัตรเข้ารถไฟฟ้า เงินเหลืออยู่ 19 ดีร์แฮม บัตรนี้ใช้เดินทางรถไฟฟ้า รถราง รถบัส เรือได้ เรื่องซื้อบัตร nol card ถ้าไปซื้อที่เคาน์เตอร์ขายตั๋ว เขาจะขายกรณีมูลค่าเยอะเท่านั้น 50 ดีร์แฮมขึ้นไป ตู้ขายตั๋วมีราคาที่ต่ำกว่าให้เลือกซื้อ ตู้เขาใช้เติมเงินได้ด้วยนะ เราใช้วิธีค่อยๆเติมเงินเอาซึ่งไม่ควรทำนะ เพราะบัตรดันเงินไม่พอจ่ายค่ารถบัสตอนเที่ยว Miracle garden เสร็จ เลยต้องลงรถ และหาที่เติมเงินไม่ได้ด้วย เลยต้องนั่งแท๊กซี่แทน เราว่าเติมไปเยอะๆไว้ดีกว่า พอเที่ยวเสร็จค่อยไปคืนบัตรและขอเงินที่เหลือคืนได้ รถไฟฟ้าของที่นี่สะดวก ขึ้นลงมีบันไดเลื่อน มีลิฟต์ให้ครบ ใครลากกระเป๋าหนักๆไป ไม่ต้องกังวลว่าเจอบันได

* รถแท๊กซี่ ก็เรียกผ่านแอปในกรณีที่เดินไปรถไฟฟ้าไม่ไหว วิธีการก็เหมือนเราเรียก grab นั่นแหละ เราเลือกจ่ายเป็นเงินสดได้ คนขับชอบเงินสดมากกว่า ถ้าจำไม่ผิดค่าโดยสารเริ่มต้นที่ราว 120 บาทนะ

* ค่าเงิน 1 ดีร์แฮมเท่ากับ 9 บาทกว่า แต่เราคิดเอาง่าย 10 บาทไปเลย

เรื่องอาหารการกินและยา ที่นี่อาหารหลากหลายชาติมาก ถ้าเข้าห้างก็เลือกได้ตามใจชอบ แต่เราว่าที่นี่อาหารเขาเน้นแป้งหนักมาก ราคาอาหารตามฟู้ดคอร์ต เช่น แฮมเบอร์เกอร์ก็เริ่มต้นที่ 370 บาท ส่วนน้ำเปล่า ขนาด 500 cc ก็ 5 ดีร์แฮม ก็ประมาณ 50 บาท กาแฟร้อน Subway ถ้วยละ 120 บาท อย่างคาเฟ่ที่ดูไบมอลล์ กินกาแฟ 2 แก้ว เค้ก 1 ชิ้น เบ็ดเสร็จก็ราว 1000 บาท ร้านอาหารใกล้ที่พักเรา ร้านขายพิซซ่า ถาดเล็ก 6 ชิ้น ราคาเกือบ 500 บาท เรื่องเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ไม่มีขายนะจ๊ะ ใครที่ชอบดริ๊งค์ แนะนำว่าให้ซื้อจากเมืองไทยไปเลย ไม่งั้นก็ซื้อที่สนามบินดูไบ มีขายอยู่ และก็ควรกินที่โรงแรมนั่นแหละจะได้ไม่มีปัญหา อย่าถือป๋องเบียร์เดินเตร็ดเตร่กินเหมือนบ้านเราไม่ได้เด้อ ตอนเราไปทริปทะเลทรายกินอาหารเย็น ก็มีขายนะเบียร์ไฮเนเก้น คาร์สเบอร์ก บัดไวเซอร์ กระป๋องเล็กแบบบ้านเราก็ 300 บาท ถ้าเอากระป๋องใหญ่ก็ 400 บาท ไวน์ก็แก้วละ 500 บาท น้ำก๊อกที่นู่นดื่มไม่ได้ น้ำดื่มแนะว่าซื้อที่ซุปเปอร์มาร์เก็ตแบบขวดใหญ่มาเลยจะคุ้มกว่า มีผลไม้พวกสตรอเบอรี่ เชอรี่ขายนะ ราคาถูกกว่าบ้านเรา ยังไงถ้าไปเที่ยวหาประสบการณ์ก็อย่าคิดมากเรื่องใช้เงินค่ะ ไม่งั้นจะหมดสนุก เราเองคิดว่าคงมาเที่ยวครั้งเดียวแค่นั้น ถ้าอยากประหยัด เราว่าเลือกที่พักที่มีครัว แล้วทำอาหารเช้าง่ายๆกินเองก็ประหยัดไปได้เยอะ เพราะอาหารเช้าที่โรงแรมราคาหัวละ 400-500 บาท ถ้าเอาอาหารไป ห้ามเอาผลิตภัณฑ์ที่ทำจากหมูเข้าประเทศนะ ส่วนยามีข้อห้ามในกลุ่มยาบางตัว พวกทิฟฟี่ ดีคอลเจน ยานอนหลับ นี่ไม่ได้เลย เคยมีคนไทยถูกจับเพราะนำยาทรามาดอลเข้าดูไบแล้ว ก็ไม่สบาย ซื้อยาที่สนามบินสุวรรณภูมินั่นแหละ คงซื้อไปหลายแผง สุดท้ายเข้าคุกเลยจ้า พวกผลิตภัณฑ์จากกัญชาก็ไม่ได้

เรื่องที่พัก เราเลือกที่ๆใกล้รถไฟฟ้ามากที่สุด เราพักที่ The Apartments Block A เลือกห้องแบบมีครัว เราไปเที่ยวช่วงปีใหม่ ราคาที่พักจะสูงมาก ให้ทำใจเลย ถ้าคิดจะทำครัวเอง เอาน้ำยาล้างจานกับฟองน้ำไปด้วยนะ โรงแรมไม่มีให้ เครื่องครัวค่อนข้าง OK มีครบ มีด หม้อ กะทะ ทัพพี จานชาม ช้อนส้อม แก้วน้ำ ไมโครเวฟ กาต้มน้ำ ยังไงอ่านรายละเอียดที่พักตอนจองดูนะว่าเขามีอะไรให้บ้าง ของเรามีเครื่องซักผ้า ราวตากผ้า เตารีดให้

เรื่องที่เที่ยว
* ตามที่เกริ่นไว้วันแรกSunset Yacht Tour ซื้อทัวร์เอาไว้ แต่ไม่ได้ใช้จ้า สาเหตุเพราะGoogle map ปักหมุดผิดที่ ที่ดูไบมันมีท่าเรืออยู่ 2 ท่า เราป้อน Dubai Harbor แต่หมุดมันเด้งไปที่ Dubai Marina แทนซึ่งอยู่คนละที่กัน กว่าจะไปถึงท่าเรือที่ใช่ เรือมันก็ออกไปแล้ว ยังไงถ้าซื้อทริปล่องเรือ ต้อง Dubai Harbor นะ มันอยู่ใกล้รถรางสถานี Mina Seyahi ที่นั่นจะเป็นท่าใหญ่ มีทั้งเรือยอรช์ เรือทานอาหารเย็นหลากหลายยี่ห้อ ควรไปก่อนเวลาเพราะต้องเดินหาว่าอยู่ท่าหมายเลขอะไร ตอนเราไปล่องเรือกินมื้อเย็น เรือ 7-8 เจ้าใช้ท่าเดียวกันหมดเลยคือ Pier 3
* ทัวร์อาบูดาบี ตอนไป Grand mosque ผู้หญิงต้องแต่งกายมิดชิด ไกด์เขามีชุดให้เราใส่ฟรีนะ สีดำ 
* ตึก Burj Khalifa ยิ่งสายคนยิ่งเยอะมาก ต้องเข้าคิวนาน
* Dubai Miracle Garden อันนี้สวยจริง ไกลหน่อยแต่คุ้มค่าแก่การไปค่ะ 
* Deluxe Desert Safari Experience อันนี้สนุกค่ะ รถมารับถึงที่พัก แล้วขับออกตัวเมืองไปประมาณ 40 กม.พาเราแวะพักที่จุดขับรถ ATV ที่นั่นมีห้องน้ำ ที่นั่งเล่น เครื่องดื่มขาย เราสั่งน้ำมะพร้าวลูกสีส้มอ่อนมา 1 ลูก ราคาประมาณ 300 บาท กาแฟร้อนถ้วยกระดาษ 1 แก้ว 200 บาท กาแฟรสชาติพอได้ แต่น้ำมะพร้าวนี่สิ ไม่อยากจะพูด … สุดๆ 555 จากนั้นคนขับซึ่งก็คือไกด์นั่นแหละจะพาเราไปซิ่งบนทะเลทราย หนุกหนานกันใหญ่ ไกด์ถ่ายรูปให้เราด้วยนะแล้วเขาก็ส่งรูปให้เราผ่าน What's app จากนั้นก็พาไปแคมป์ทานอาหารเย็น ถ่ายรูปกับอูฐ ดูการแสดง แล้วขับรถมาส่งที่พัก
* มี Count Down ที่ตึก Burj Khalifa นะ ก็หรูหราหมาเห่าจริง หาจุดชมกันตามสะดวก จุดไหนก็ได้ที่มองไปแล้วเห็นตึก

คำแนะนำ
- เที่ยวดูไบต้องเดินเยอะมากๆ แม้เขาจะทำทางเลื่อนให้เดินแล้ว ก็เดินเยอะอยู่ดี ไม่เหมาะกับผู้สูงอายุ แข้งขาไม่ดี แต่ถ้าเน้นนั่งแท๊กซี่เป็นหลักก็ OK เลย
การสื่อสารกับตัวแทนบ.ทัวร์ เขามักใช้ What's app นะ โหลดไว้เลย นัดแนะอะไรก็บอกกันตรงนั้น

- สถานที่เที่ยว เราจองผ่าน Klook ยกเว้นทัวร์อาบูดาบี เราจองผ่าน getyourguide สำหรับการจองผ่าน Klook นั้น เราจองวันเวลาเข้าชม Burj Khalifaไปแล้ว แต่อยากเปลี่ยนเวลา สรุปเปลี่ยนไม่ได้ บางทีเราก็คิดว่าการจองไว้ล่วงหน้าบางครั้งมันก็ไม่ดี ไม่ยืดหยุ่นเลย พอพลาดก็คือเสียเงินฟรีเลย อันนี้ก็แล้วแต่ความถนัดใครถนัดมันนะคะ จองผ่าน klook ราคาก็จะถูกกว่าราคาจริง 7-10% แต่ถ้าซื้อแพคเกจเหมา Klook pass แล้วเราเลือกรายการราคาสูงๆ ก็จะคุ้มมากขึ้น 

- Museum of The Future เราจองตั๋วไม่ได้เลย คิวยาวมากๆ ขนาดจองล่วงหน้าเกือบเดือน ก็ยังเต็ม ขนาดหันไปจองพิพิธภัณฑ์อื่นแทน ก็ยังเต็ม เซ็งมาก

- ลิปสติคที่เราซื้อที่สนามบินสุวรรณภูมิราคาถูกกว่า Duty Free ที่สนามบินดูไบประมาณ 13%

- เที่ยวบินขากลับจากดูไบ ถ้านั่งรถไฟฟ้ามา ลงสถานี Terminal 3 นะ รถไฟฟ้าเขาเปิดให้บริการตั้งแต่ตี 5

- ของฝากยอดฮิตคงหนีไม่พ้นดูไบช็อคโกแลต ขายกันเยอะมากๆ ต้นตำรับยี่ห้อ Fix Dessert Chocolatier นั้น มองหาแล้วก็ไม่เห็นมีขายนะ ได้ยินว่าต้องสั่งซื้อผ่านแอป deliveree ก็เลยซื้อยี่ห้อไหนก็ได้ เอาตามสะดวกดีกว่า ราคาก็หลากหลาย โดยเฉลี่ยราคาเริ่มต้นที่ ราว 600 บาทต่อแท่ง 

ที่ไปดูไบเพราะเคยมาแวะเปลี่ยนเครื่องที่นี่หลายครั้งแล้ว ก็เลยคิดว่าน่าจะตั้งใจมาเที่ยวซะที มาให้รู้ ดูให้เห็น ก็ได้เห็นจริง ความยิ่งใหญ่ อลังการในทุกสิ่งของเขา ตึกสูงสุดในโลก ลิฟท์เร็วที่สุดในโลก น้ำพุ ชิงช้า เป็นชนชาติที่คิดใหญ่ทำใหญ่จริงๆ จากผืนทรายอันแห้งแล้งทำให้คนเขาขวนขวายดิ้นรนมาก ใช่ว่าเขาทำได้เพราะมีน้ำมันนะ เขาทำธุรกิจหลายอย่าง ส่วนบ้านเราอุดมสมบูรณ์ ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว ก็เลยสบายจนชิน เข้าใจแล้วหละว่า ทำไมเราคงยังเป็นประเทศกำลังพัฒนามาหลายสิบปี และคงเป็นตลอดไป