“ลุงกับป้าแบ็คแพ็ครอบโลก” ตะลุยจีน 21 วัน ผ่านกัมพูชา เวียดนาม สุดทางที่กำแพงเมืองจีน ขากลับล่องเรือผ่านลาว นั่งรถไฟเป็นส่วนใหญ่ ไม่นั่งเครื่องบินเลย
ตอนที่ 4 ฮานอย
05.30 น. ถึงฮานอยตามเวลา ลุกจากที่นั่งจะไปที่ประตู อ้าว! นั่นอะไร? โห... ป้าลืมเก็บบราเซียร์... เกือบไปแล้ว....อ้าว! ประตูยังถูกคล้องกุญแจอยู่! ให้ออกประตูเดียวเหมือนเครื่องบินอีกแล้ว.....อ้อ....ตรงที่ประตูเปิดมีแผ่นเหล็กพาดระหว่างประตูกับชานชาลานี่เอง
ต้องเดินขึ้นไปบนสะพานลอย เพื่อไปยังตัวสถานี แต่ประตูสถานีไม่ได้อยู่ตรงทางออก พอออกไปก็มีแต่ลานจอดรถรับจ้างกับสารถี แต่พวกเขาก็ไม่วุ่นวายแย่งกระเป๋าผู้โดยสาร ร้านค้าบนสถานีตั้งโต๊ะและเก้าเตี้ยๆ ผู้โดยสารนั่งตามขอบกำแพงต้องเดินไปอีกด้านจึงมีทางเข้าสู่ที่สำหรับผู้โดยสารนั่งรอ ประตูที่จะออกไปชานชาลายังไม่เปิด คงจะรอจนกว่าจะได้เวลาให้ขึ้นรถเหมือนที่โฮจิมินห์ เพราะดูเหมือนสิ่งที่จัดไว้เป็นสัดส่วนห้ามผู้ใดรุกล้ำ ผู้คนที่ฮานอยดูเหมือนไม่ค่อยมีชีวิตชีวิตชีวา ดูเหมือนว่าจะดำเนินชีวิตตามกลไกหรือโปรแกรมที่ตั้งไว้
จากสถานีรถไฟฮานอย มีอาคารโบราณที่รอดจากการถูกบอมบ์ เดินผ่านธนาคารที่พนง.ต้องยืนเคารพธงชาติตอน 07.00 น. ผ่านร้านน้ำชาที่มีทั้งก้อนอิฐและกล่องใส่คุกกี้เป็นเก้าอี้ ผ่านพิพิธภัณฑ์ที่เป็นอาคารทรงโบราณยิ่งใหญ่ ไปนั่งกิน Bun ngan กับ Mien moc ใช้เก้าอี้พลาสติกหัวโล้นเป็นโต๊ะ มีหนุ่มสาวออฟฟิศนั่งกินกันอย่างเอร็ดอร่อย มีคนรอให้เก้าอี้ว่าง เราจึงลองบ้าง Bun เป็นเส้นหมี่คล้ายขนมจีนส่วน Mien เป็นวุ้นเส้นในซุป ใสเหมือนต้มเลือดหมูแต่ไม่มีเลือดมีแต่หมูสับกับเครื่อง ใช้หน่อไม้เป็นผัก ใช้ส้มจี๊ดแทนมะนาวราคาชามละ 30,000 ดอง แสดงให้เห็นว่าค่าครองชีพต่ำกว่าไซ่ง่อน
เสร็จจากอาหารเช้า เดินไปทะเลสาบ ระหว่างทางพบว่ามีอาหารแบบที่ผ่านๆมาตลอดทาง เรานั่งเขียนรายงานอยู่ริมทะเลสาบ Hoan Kien ลมพัดเย็นชื่นใจ
ฮานอยมีพื้นที่ 3,345 ตร.กม. 2 เท่าของกทม. มีประชากร 8 ล้าน รายได้เฉลี่ยต่อหัวต่อปี 41,600 บาท ต่ำกว่าไซ่ง่อนที่ใกล้เคียงกับกทม.
เราเช่ามอเตอร์ไซด์ เพื่อขับเอง เที่ยวรอบฮานอย เจ้าของร้านขอพาสปอร์ตเราเป็นประกันเราต่อรองว่าต้องเอาพาสปอร์ตไปซื้อตั๋วรถไฟ ร้านก็บอกว่าซื้อตั๋วรถไฟที่นี่ก็ได้ แต่เราต้องการผจญภัยไปซื้อตั๋วเองที่สถานีรถไฟเกียลัมซึ่งอยู่คนละฝั่งแม่น้ำกับสถานีรถไฟฮานอย ไกลกันกว่า 10 กม. จึงยื่นใบขับขี่สากลของป้า ที่ทำมาจากกรมการขนส่งจ่ายค่าทำคนละ 550 บาท ส่วนใบขับขี่ของลุงพกติดตัว แต่พนักงานสาวเวียดบอกว่า ตำรวจฮานอยไม่เคยเรียกใบขับขี่ใครมาตรวจ ค่าเช่ารถเกียร์ธรรมดาวันละ $7 เกียร์ออโต้ $10
เราขับรถวนรอบทะเลสาบหลายรอบ ตัวเมืองไม่กว้างเหมือนกทม. ได้เที่ยวชมทะเลสาบโฮได พิพิธภัณฑ์โฮจิมิน โบสถ์เซนต์โจเซฟ อนุสาวรีย์ของนักต่อสู้เพื่อชาวนา ตลาดที่ใหญ่ที่สุดของฮานอยชื่อตลาดดงซวน มีของขายสารพัดมีทั้งของสด โชห่วย ของมีระดับ ราคาน่าซื้อมากๆ แต่เราไปยังไม่ถึงครึ่งทางจึงต้องอดใจไว้ เราไม่ทราบว่าเฉพาะวันนี้หรือทุกๆวัน ทุกๆที่เต็มไปด้วยจนท.รักษาความปลอดภัย หลายแห่งห้ามเข้า ทำให้เราได้แต่ชะโงกทัวร์และถ่ายรูปจากที่ไกล บางที่เข้าไปได้แต่ต้องจอดรถไกลมาก เราเคยดูคลิป เขาบอกว่าระวังรถหาย เราจึงไม่กล้าทิ้งรถเพื่อเดินไปถ่ายรูปใกล้ๆ โดยเฉพาะที่จัตุรัสมีหน่วยอารักขาห้ามจอดรถรอบบริเวณ
โบสถ์พระแม่มารีและหอวรรณคดี ซึ่งอยู่เยื้องกัน ที่โบสถ์ไม่หวงถ่ายรูป แต่แสงไม่อำนวย ส่วนที่หอฯวันนี้ไม่เปิด ก่อนถึงหอเป็นอนุสาวรีย์ทหารผ่านศึก อารักขาเข้มข้นมากๆ นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติขยาดแบบไม่กล้าเข้าใกล้เลยทีเดียว
มีอนุสาวรีย์นักปราชญ์ นักต่อสู้ และนักวิชาการสายสังคมนิยมอยู่ทั่วเมือง
ตอนที่เราไปซื้อตั๋วรถไฟ เราเข้าผิดทาง พนง.งงกันใหญ่ ว่าเข้ามาได้ไง เราจอดมอเตอร์ไซด์ เดินอ้อมข้ามทางรถไฟไปสถานี เพราะเราไม่เห็นป้ายบอกชื่อสถานี ไม่รู้ว่าทางเข้าอยู่ที่ใด
หลังจากเที่ยวรอบเมือง และอาหารกลางวัน ที่ซื้อมาจากตลาด มานั่งกินริมทะเลสาบ แล้วก็ไปเอาสัมภาระที่ฝากไว้ที่ร้านมอ'ไซด์ ลุงไปส่งป้าที่สถานีเกียลัม เพื่อรอเวลารถออกไปหนานหนิงคืนนี้ 21.40 น. ตั๋วนั่งเต็ม มีแต่ตั๋วนอน ราคาตั๋วคนละ $38 เราจ่ายทั้งเงินดอลและเงินหยวน ได้เงินทอนเป็นเงินดอง รถไฟจะถึงหนานหนิง จีน พรุ่งนี้เวลา 10.10 น. แล้วลุงก็ขับรถมาคืน แล้วจะนั่งรถเมล์กลับไปสถานีรถไฟ
ที่สถานีเกียแลม มีห้องสำหรับรอรถไฟระหว่างประเทศแยกจากสายในประเทศ เหมือนกับสถานีไซ่ง่อนและฮานอย ถ้ายังไม่ถึงเวลาไม่เปิดให้เข้าไปในชานชาลา
เราออกเสียงชื่อสถานีที่ชายแดนเวียดนาม-จีน Dong Dang ว่า ดองแดง จนท.ไม่เข้าใจ จึงเขียนให้ดู เธอออกเสียงว่า ดงดัง และออกเสียงเวลา o'clock ว่า โอกะล็อก
ลุงเอารถไปส่งตั้งแต่ 15.40 น. เวลา 18.00 น. ก็ยังไม่โผล่ ป้ารู้สึกกังวลมากๆ เพราะตอนขี่รอบเมืองป้าก็ต้องคอยบอก ว่าชิดขวาไว้ เผลอไม่ได้ออกซ้ายทุกที เครื่องมือสื่อสารก็ไม่มี เครียดหนักเลย ไลน์ไปหาลูก ลูกบอกว่าอย่าอยู่ว่างๆ ไลน์คุยกับลูกไปเรื่อยๆ จนกว่าพ่อจะไปถึง ก่อน 18.30 น. ดีใจที่ลุงกลับมา คำอธิบายของลุงคือ น้ำมันรถเติมไว้มากเกินไป จึงขี่วนเล่นๆ ชมสาวเวียดเพลินๆ ครึ่งชั่วโมง แล้วก็นั่งรถเมล์ผิดข้าง กว่าจะได้ถามสาวเวียด ก็เผลอนั่งไปตั้งไกล เพราะมัวแต่เพลินกับความสวยของสาวเวียด ไม่มีใครพูดภาษาอังกฤษได้เลย กว่าจะตัดสินใจว่าลงดีกว่า ก็เย็นแล้ว.... ต้องข้ามถนนไปรอรถอีกครึ่ง ชม. แถมรถคันที่ขึ้นใหม่ ก็ไปไม่ถึง ต้องต่ออีกคัน
เงินดองเหลือจำกัด ค่ำนี้ต้องกินข้าวคนละครึ่งกล่อง ขนมปังคนละก้อน เพราะเงินดองหมดไปกับค่ารถเมล์ที่ทั้งนุ่ม เย็น และสวย แถวนั้นไม่รับเงินดอล...เฮ้อ....ลุงน้อ....ยังนั่งเล่าไปหัวเราะไปอีกนะ....ป้านี่หิวจนจะกินช้างได้ทั้งตัว อยู่แล้ว!
ตอนนี้เราสารภาพแล้วว่า คำนวณพลาดตรงที่ ลืมคิดว่าค่ารถด่วนจากไซ่ง่อนถึงฮานอยก็ต้องใช้เงินดองด้วย คิดว่าใช้เงินดอลได้เลย....กว่าจะถึงหนานหนิง ถ้าบนรถไฟไม่รับเงินดอลอีก คงหิวจนนอนไม่หลับแน่ๆ แล้วก็เดาไม่ได้อีกว่าจะมีสภาพอย่างไรเพราะที่คิดไว้ไม่เคยถูกเลย!
การสุขาภิบาลของเวียดนามเหนือกับเวียดนามใต้ต่างกันมาก ผู้คนก็ต่างกัน ถึงหน้าตาผิวพรรณจะเหมือนกัน แต่ความมีชีวิตชีวาต่างกันมาก คนเวียดนามใต้ยิ้มแย้มแจ่มใส แต่คนเวียดนามเหนือเอาจริงเอาจัง ห้องน้ำที่สถานีรถไฟทั้งฮานอยและสถานีเกียแลมต้องทำใจ ทั้งๆที่จนท.ก็ใช้ที่เดียวกัน แต่ที่ไซ่ง่อนมีพนักงานดูแลต่างหาก ที่สวนสาธารณะในไซ่ง่อนห้องน้ำฟรี สะอาด มีรองเท้าให้เปลี่ยน ตรงทางเข้ามีจนท.นั่งขายกระดาษชำระ แต่ในฮานอย ห้องน้ำสาธารณะนอกจากเก็บเงินแล้ว ยังล็อคไม่ได้ และมีแต่น้ำจากสายชำระให้ใช้ ใครอาการหนักคงต้องตัวใครตัวมัน
ถนนก็เช่นเดียวกัน ร้านค้าต้องทำความสะอาดหน้าร้านกันเอาเอง ตรงไหนไม่มีร้านค้าก็มีใบไม้เกลื่อน การทิ้งขยะก็ยังไม่มีวินัย แต่ก็ไม่สกปรกเท่ากัมพูชาหรืออินเดีย เพราะคนเวียดนามไม่ค่อยสูบบุหรี่ และยังไม่เห็นคนเคี้ยวหมาก ทั้งๆที่เห็นมีต้นหมากอยู่มากมาย
[CR] ลุงกับป้าแบ็คแพ็ครอบโลก ตะลุยจีน21วัน ไปกัมพูชา เวียดนาม จีน (รถไฟ) ล่องเรือกลับทางลาว ตอนที่ 4 ฮานอย
ตอนที่ 4 ฮานอย
05.30 น. ถึงฮานอยตามเวลา ลุกจากที่นั่งจะไปที่ประตู อ้าว! นั่นอะไร? โห... ป้าลืมเก็บบราเซียร์... เกือบไปแล้ว....อ้าว! ประตูยังถูกคล้องกุญแจอยู่! ให้ออกประตูเดียวเหมือนเครื่องบินอีกแล้ว.....อ้อ....ตรงที่ประตูเปิดมีแผ่นเหล็กพาดระหว่างประตูกับชานชาลานี่เอง
ต้องเดินขึ้นไปบนสะพานลอย เพื่อไปยังตัวสถานี แต่ประตูสถานีไม่ได้อยู่ตรงทางออก พอออกไปก็มีแต่ลานจอดรถรับจ้างกับสารถี แต่พวกเขาก็ไม่วุ่นวายแย่งกระเป๋าผู้โดยสาร ร้านค้าบนสถานีตั้งโต๊ะและเก้าเตี้ยๆ ผู้โดยสารนั่งตามขอบกำแพงต้องเดินไปอีกด้านจึงมีทางเข้าสู่ที่สำหรับผู้โดยสารนั่งรอ ประตูที่จะออกไปชานชาลายังไม่เปิด คงจะรอจนกว่าจะได้เวลาให้ขึ้นรถเหมือนที่โฮจิมินห์ เพราะดูเหมือนสิ่งที่จัดไว้เป็นสัดส่วนห้ามผู้ใดรุกล้ำ ผู้คนที่ฮานอยดูเหมือนไม่ค่อยมีชีวิตชีวิตชีวา ดูเหมือนว่าจะดำเนินชีวิตตามกลไกหรือโปรแกรมที่ตั้งไว้
จากสถานีรถไฟฮานอย มีอาคารโบราณที่รอดจากการถูกบอมบ์ เดินผ่านธนาคารที่พนง.ต้องยืนเคารพธงชาติตอน 07.00 น. ผ่านร้านน้ำชาที่มีทั้งก้อนอิฐและกล่องใส่คุกกี้เป็นเก้าอี้ ผ่านพิพิธภัณฑ์ที่เป็นอาคารทรงโบราณยิ่งใหญ่ ไปนั่งกิน Bun ngan กับ Mien moc ใช้เก้าอี้พลาสติกหัวโล้นเป็นโต๊ะ มีหนุ่มสาวออฟฟิศนั่งกินกันอย่างเอร็ดอร่อย มีคนรอให้เก้าอี้ว่าง เราจึงลองบ้าง Bun เป็นเส้นหมี่คล้ายขนมจีนส่วน Mien เป็นวุ้นเส้นในซุป ใสเหมือนต้มเลือดหมูแต่ไม่มีเลือดมีแต่หมูสับกับเครื่อง ใช้หน่อไม้เป็นผัก ใช้ส้มจี๊ดแทนมะนาวราคาชามละ 30,000 ดอง แสดงให้เห็นว่าค่าครองชีพต่ำกว่าไซ่ง่อน
เสร็จจากอาหารเช้า เดินไปทะเลสาบ ระหว่างทางพบว่ามีอาหารแบบที่ผ่านๆมาตลอดทาง เรานั่งเขียนรายงานอยู่ริมทะเลสาบ Hoan Kien ลมพัดเย็นชื่นใจ
ฮานอยมีพื้นที่ 3,345 ตร.กม. 2 เท่าของกทม. มีประชากร 8 ล้าน รายได้เฉลี่ยต่อหัวต่อปี 41,600 บาท ต่ำกว่าไซ่ง่อนที่ใกล้เคียงกับกทม.
เราเช่ามอเตอร์ไซด์ เพื่อขับเอง เที่ยวรอบฮานอย เจ้าของร้านขอพาสปอร์ตเราเป็นประกันเราต่อรองว่าต้องเอาพาสปอร์ตไปซื้อตั๋วรถไฟ ร้านก็บอกว่าซื้อตั๋วรถไฟที่นี่ก็ได้ แต่เราต้องการผจญภัยไปซื้อตั๋วเองที่สถานีรถไฟเกียลัมซึ่งอยู่คนละฝั่งแม่น้ำกับสถานีรถไฟฮานอย ไกลกันกว่า 10 กม. จึงยื่นใบขับขี่สากลของป้า ที่ทำมาจากกรมการขนส่งจ่ายค่าทำคนละ 550 บาท ส่วนใบขับขี่ของลุงพกติดตัว แต่พนักงานสาวเวียดบอกว่า ตำรวจฮานอยไม่เคยเรียกใบขับขี่ใครมาตรวจ ค่าเช่ารถเกียร์ธรรมดาวันละ $7 เกียร์ออโต้ $10
เราขับรถวนรอบทะเลสาบหลายรอบ ตัวเมืองไม่กว้างเหมือนกทม. ได้เที่ยวชมทะเลสาบโฮได พิพิธภัณฑ์โฮจิมิน โบสถ์เซนต์โจเซฟ อนุสาวรีย์ของนักต่อสู้เพื่อชาวนา ตลาดที่ใหญ่ที่สุดของฮานอยชื่อตลาดดงซวน มีของขายสารพัดมีทั้งของสด โชห่วย ของมีระดับ ราคาน่าซื้อมากๆ แต่เราไปยังไม่ถึงครึ่งทางจึงต้องอดใจไว้ เราไม่ทราบว่าเฉพาะวันนี้หรือทุกๆวัน ทุกๆที่เต็มไปด้วยจนท.รักษาความปลอดภัย หลายแห่งห้ามเข้า ทำให้เราได้แต่ชะโงกทัวร์และถ่ายรูปจากที่ไกล บางที่เข้าไปได้แต่ต้องจอดรถไกลมาก เราเคยดูคลิป เขาบอกว่าระวังรถหาย เราจึงไม่กล้าทิ้งรถเพื่อเดินไปถ่ายรูปใกล้ๆ โดยเฉพาะที่จัตุรัสมีหน่วยอารักขาห้ามจอดรถรอบบริเวณ
โบสถ์พระแม่มารีและหอวรรณคดี ซึ่งอยู่เยื้องกัน ที่โบสถ์ไม่หวงถ่ายรูป แต่แสงไม่อำนวย ส่วนที่หอฯวันนี้ไม่เปิด ก่อนถึงหอเป็นอนุสาวรีย์ทหารผ่านศึก อารักขาเข้มข้นมากๆ นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติขยาดแบบไม่กล้าเข้าใกล้เลยทีเดียว
มีอนุสาวรีย์นักปราชญ์ นักต่อสู้ และนักวิชาการสายสังคมนิยมอยู่ทั่วเมือง
ตอนที่เราไปซื้อตั๋วรถไฟ เราเข้าผิดทาง พนง.งงกันใหญ่ ว่าเข้ามาได้ไง เราจอดมอเตอร์ไซด์ เดินอ้อมข้ามทางรถไฟไปสถานี เพราะเราไม่เห็นป้ายบอกชื่อสถานี ไม่รู้ว่าทางเข้าอยู่ที่ใด
หลังจากเที่ยวรอบเมือง และอาหารกลางวัน ที่ซื้อมาจากตลาด มานั่งกินริมทะเลสาบ แล้วก็ไปเอาสัมภาระที่ฝากไว้ที่ร้านมอ'ไซด์ ลุงไปส่งป้าที่สถานีเกียลัม เพื่อรอเวลารถออกไปหนานหนิงคืนนี้ 21.40 น. ตั๋วนั่งเต็ม มีแต่ตั๋วนอน ราคาตั๋วคนละ $38 เราจ่ายทั้งเงินดอลและเงินหยวน ได้เงินทอนเป็นเงินดอง รถไฟจะถึงหนานหนิง จีน พรุ่งนี้เวลา 10.10 น. แล้วลุงก็ขับรถมาคืน แล้วจะนั่งรถเมล์กลับไปสถานีรถไฟ
ที่สถานีเกียแลม มีห้องสำหรับรอรถไฟระหว่างประเทศแยกจากสายในประเทศ เหมือนกับสถานีไซ่ง่อนและฮานอย ถ้ายังไม่ถึงเวลาไม่เปิดให้เข้าไปในชานชาลา
เราออกเสียงชื่อสถานีที่ชายแดนเวียดนาม-จีน Dong Dang ว่า ดองแดง จนท.ไม่เข้าใจ จึงเขียนให้ดู เธอออกเสียงว่า ดงดัง และออกเสียงเวลา o'clock ว่า โอกะล็อก
ลุงเอารถไปส่งตั้งแต่ 15.40 น. เวลา 18.00 น. ก็ยังไม่โผล่ ป้ารู้สึกกังวลมากๆ เพราะตอนขี่รอบเมืองป้าก็ต้องคอยบอก ว่าชิดขวาไว้ เผลอไม่ได้ออกซ้ายทุกที เครื่องมือสื่อสารก็ไม่มี เครียดหนักเลย ไลน์ไปหาลูก ลูกบอกว่าอย่าอยู่ว่างๆ ไลน์คุยกับลูกไปเรื่อยๆ จนกว่าพ่อจะไปถึง ก่อน 18.30 น. ดีใจที่ลุงกลับมา คำอธิบายของลุงคือ น้ำมันรถเติมไว้มากเกินไป จึงขี่วนเล่นๆ ชมสาวเวียดเพลินๆ ครึ่งชั่วโมง แล้วก็นั่งรถเมล์ผิดข้าง กว่าจะได้ถามสาวเวียด ก็เผลอนั่งไปตั้งไกล เพราะมัวแต่เพลินกับความสวยของสาวเวียด ไม่มีใครพูดภาษาอังกฤษได้เลย กว่าจะตัดสินใจว่าลงดีกว่า ก็เย็นแล้ว.... ต้องข้ามถนนไปรอรถอีกครึ่ง ชม. แถมรถคันที่ขึ้นใหม่ ก็ไปไม่ถึง ต้องต่ออีกคัน
เงินดองเหลือจำกัด ค่ำนี้ต้องกินข้าวคนละครึ่งกล่อง ขนมปังคนละก้อน เพราะเงินดองหมดไปกับค่ารถเมล์ที่ทั้งนุ่ม เย็น และสวย แถวนั้นไม่รับเงินดอล...เฮ้อ....ลุงน้อ....ยังนั่งเล่าไปหัวเราะไปอีกนะ....ป้านี่หิวจนจะกินช้างได้ทั้งตัว อยู่แล้ว!
ตอนนี้เราสารภาพแล้วว่า คำนวณพลาดตรงที่ ลืมคิดว่าค่ารถด่วนจากไซ่ง่อนถึงฮานอยก็ต้องใช้เงินดองด้วย คิดว่าใช้เงินดอลได้เลย....กว่าจะถึงหนานหนิง ถ้าบนรถไฟไม่รับเงินดอลอีก คงหิวจนนอนไม่หลับแน่ๆ แล้วก็เดาไม่ได้อีกว่าจะมีสภาพอย่างไรเพราะที่คิดไว้ไม่เคยถูกเลย!
การสุขาภิบาลของเวียดนามเหนือกับเวียดนามใต้ต่างกันมาก ผู้คนก็ต่างกัน ถึงหน้าตาผิวพรรณจะเหมือนกัน แต่ความมีชีวิตชีวาต่างกันมาก คนเวียดนามใต้ยิ้มแย้มแจ่มใส แต่คนเวียดนามเหนือเอาจริงเอาจัง ห้องน้ำที่สถานีรถไฟทั้งฮานอยและสถานีเกียแลมต้องทำใจ ทั้งๆที่จนท.ก็ใช้ที่เดียวกัน แต่ที่ไซ่ง่อนมีพนักงานดูแลต่างหาก ที่สวนสาธารณะในไซ่ง่อนห้องน้ำฟรี สะอาด มีรองเท้าให้เปลี่ยน ตรงทางเข้ามีจนท.นั่งขายกระดาษชำระ แต่ในฮานอย ห้องน้ำสาธารณะนอกจากเก็บเงินแล้ว ยังล็อคไม่ได้ และมีแต่น้ำจากสายชำระให้ใช้ ใครอาการหนักคงต้องตัวใครตัวมัน
ถนนก็เช่นเดียวกัน ร้านค้าต้องทำความสะอาดหน้าร้านกันเอาเอง ตรงไหนไม่มีร้านค้าก็มีใบไม้เกลื่อน การทิ้งขยะก็ยังไม่มีวินัย แต่ก็ไม่สกปรกเท่ากัมพูชาหรืออินเดีย เพราะคนเวียดนามไม่ค่อยสูบบุหรี่ และยังไม่เห็นคนเคี้ยวหมาก ทั้งๆที่เห็นมีต้นหมากอยู่มากมาย
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น