[CR] ลุงกับป้าแบ็คแพ็ครอบโลก ตะลุยจีน21วัน ไปกัมพูชา เวียดนาม จีน (รถไฟ) ล่องเรือกลับทางลาว ตอนที่ 5 หนานหนิง จีน

“ลุงกับป้าแบ็คแพ็ครอบโลก” ตะลุยจีน 21 วัน ผ่านกัมพูชา เวียดนาม สุดทางที่กำแพงเมืองจีน ขากลับล่องเรือผ่านลาว นั่งรถไฟเป็นส่วนใหญ่ ไม่นั่งเครื่องบินเลย

ตอนที่ 5 จากฮานอย เวียดนาม ถึงหนานหนิง จีน

พนง.รถไฟที่ฮานอยแต่งตัวเหมือนกัปตันบนเครื่องบิน แต่การบริการต่างกันมาก ผู้โดยสารรอขึ้นรถแต่จนท.ยังไม่พร้อมให้บริการ....เพื่อนร่วมห้องโดยสารของเรา เป็นครอบครัวชาวจีนน่ารักน่าชัง!
                                  
หนีห่าวจงกว๋อเริ๋น....จากด่านดงดังเวียดนาม ที่จนท.มีท่าทีเหมือนถูกบังคับให้ทำงาน เราเป็นคู่สุดท้ายที่ให้พาสปอร์ตตอนได้ยินคำว่า "ไท่กว๋อ" เพราะลงทีหลังเนื่องจากฟังไม่รู้เรื่อง และแม่เจ้าตัวเล็กสัมภาระเยอะ ทำให้เราออกห้องไม่ได้ขนาดคอยสังเกตก็ไม่เห็นว่าเขาให้พาสปอร์ตกันตอนไหน แต่ก็ไม่ได้ทำให้คนอื่นต้องรอ จากด่านดงดังกว่าจะจอดที่ด่านชายแดนจีนก็หลับได้อีก 1 ตื่นเล็กๆ คราวนี้รู้ว่าต้องทำอะไร แต่ก็ต้องเสียเวลากรอกใบผ่านแดน ในขณะที่ผู้โดยสารเกือบทั้งหมดไม่ต้องคนที่บอกให้เรากรอกคือคนที่ถือโอกาสแซงคิวแบบหน้าตาเฉย โดยแค่ทักเราว่า"ไท่กว๋อ" ทำให้เราชะงัก แล้วก็แทรกคิว ลุงบอกว่า ปล่อยไปเถอะ ถึงแซงได้ก็ต้องรอจนกว่าจะเสร็จ และไปรถไฟขบวนเดียวกันอยู่ดี
                                  
เมื่อสัมภาระทุกชิ้นผ่านเครื่องสแกนแล้ว ต้องเจอทหารรื้อของดูอีก ก่อนที่จะได้เช็คอิน และผ่านเครื่องสแกนอีกครั้ง จีนดูจริงจังมาก ทุกประตูมีทหารยืนระวัง ห้ามผ่านจนกว่าจะได้รับอนุญาต แต่ก็แค่ทำตามระเบียบ ไม่ได้ดูเกร็งเท่าด่านดงดังทีเค้าน์เตอร์เช็คอินมีสัญญาณให้ประเมินผลการบริการของจนท.ด้วย
ห้องน้ำที่ด่านก็อยู่ในสภาพที่น่าพอใจกว่าที่ดงดังมากมาย ห้องที่ไม่ชักโครกคงเป็นผู้โดยสารทริปเดียวกันที่ใช้ก่อนหน้าเพราะพฤติกรรมนี้ เห็นตั้งแต่ที่สถานีเกียลัมแล้ว
ตั้งแต่รถจอดจนถึงเสร็จขั้นตอนขึ้นรถ ใช้เวลาไป 2 ชม. (02.00-04.00) 06.50 น. รถจอดสถานีแรกของจีนฟังชื่อไม่ชัด....จงจั๋ว? คงต้องรอน้องแน็ต สาวแพร่ที่เรียนอยู่กวางโจว ที่เรากำลังจะไปเยี่ยม บอกว่าที่ถูกต้องคืออะไร เสียงจากลำโพงบอกให้ผู้โดยสารระวังสมบัติส่วนตัวสถานีต่อไปหนานหนิงเวลา 10.10 น.

จากการสังเกต เราน่าจะคิดผิด ที่คิดว่าเพื่อนร่วมห้องไปเป็นครอบครัว เพราะชายหนุ่มเป็นชาวสิงคโปร์ ขอแลกให้ป้านอนเตียงบน โดยให้เหตุผลว่าอยากอยู่กับเพื่อนที่มาด้วยกันที่อยู่ข้างล่าง
แต่เราปฏิเสธ เพราะเราจ่ายค่าตั๋วที่ไม่รู้ว่าเขาถัวกันหรือไม่ระหว่างเตียงล่างกับเตียงบนพอขึ้นรถ ก็ให้เราอยู่ข้างล่างกับข้างบน เราก็ไม่เข้าใจ เพราะมันงงตั้งแต่ตอนซื้อตั๋ว ที่เราขอหันหน้าไปทางหนานหนิง และจนท.โอกะล็อค ชี้ทิศตรงข้ามทำให้เราเข้าใจว่าตู้สุดท้ายเป็นตู้แรก ตอนก่อนจะขึ้น พอเดินไปถามจนท.ที่ต้องไปกับรถไฟ ก็ไม่มีท่าทีที่เป็นมิตร ได้แต่ชี้ส่งๆ จนเราเห็นตัวเลข 2 อารบิค และเดาเอาเองว่า ทุกคนต้องขึ้นตรงนั้น แล้วเดินไปที่ตู้ของตัวเอง ซึ่งดูเหมือนว่าทั้งขบวนมีผู้โดยสารเพียง 2 ตู้ คือ ตู้ที่ 1 กับตู้ที่ 2
การอยู่ในตู้นอนที่หันหลังให้หัวรถไฟ ทำให้คนขี้เมารถอย่างเราไม่สามารถซึบซับบรรยากาศข้างทางได้เต็มที่ แม้จะสว่างแล้วก็ตาม เท่าที่สังเกตพบว่า บ้านเรือนสองข้างทางแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับเวียดนาม ไม่มีศิลปะ ความจำกัดของวัสดุก่อสร้างและประโยชน์ใช้สอย บ้านจึงมีลักษณะเหมือนกล่องสี่เหลี่ยมตั้งขึ้นมา เห็นจากไกลๆไม่แน่ใจว่าคือปล่องไฟหรือแท้งค์น้ำ สภาพภูมิประเทศก็ดูแห้งแล้ง มีทุ่งนาที่ผ่านการเก็บเกี่ยว มีควายที่กำลังกินตอฟางแห้งอยู่อย่างเหงาๆ กับภูเขาดินแห้งๆ และภูเขาหินที่มีต้นไม้เล็กๆ ที่ราบบางแห่งเห็นมีต้นกล้าเล็กๆโผล่ขึ้นมาจากแผ่นพลาสติกใส อาศัยความชื้นจากน้ำค้าง ดูไม่ออกว่าเป็นต้นอะไร สลับกับไร่อ้อย รถไฟที่วิ่งเรียบจนแทบจะไม่มีผู้โดยสารตื่น จะเปิดหวูดไปตลอดทาง
                                  
จนถึงตอนนี้ก็ยังงงอยู่ว่าทำไมห้องอื่นๆปิดได้หมด แต่ห้องเราเปิดอ้าซ่าและปิดไม่ได้ ตั้งแต่ขึ้นมาจากด่านตอนตี 4 แล้ว แต่ก็ถือว่าดีเพราะทำให้มีแสงเข้าผ่านม่านผ้าโปร่งทั้ง 2 ด้าน
เพิ่งนึกออกว่าทำไมจึงเชื่อมต่อเครือข่ายไวไฟไม่ได้ เพราะอยู่ในเขตจีนแต่ยังใช้ซิมเวียดนามนั่นเอง คงต้องหยุดพิมพ์ไปก่อนจนกว่าจะได้ซิมใหม่ที่หนานหนิง ตอนนี้ปรับเวลาในนาฬิกาให้เร็วขึ้นครึ่งชม.ตามเวลาท้องถิ่น จะได้ไม่ตกค้างอยู่บนรถถ้าหนานหนิงไม่ใช่สถานีสุดท้าย

หลังจากผ่านอาคารบ้านเรือนที่อยู่ใกล้ทางรถไฟ จึงได้คำตอบว่า สิ่งที่อยู่บนกล่องสี่เหลี่ยมที่ซ้อนๆกัน มันคือแท็งค์น้ำสแตนเลส ส่วนต้นกล้าที่ทะลุแผ่นพลาสติกใสขึ้นมาคือกระเทียม เมื่อเข้าเขตที่มีความอุดมสมบูรณ์จึงเห็นว่ามีแหล่งน้ำอยู่ประปราย ทำให้มีสวนผักไร่กล้วยต้นเตี้ยๆ ที่ปลูกถี่มากจนไม่แน่ใจว่าปลูกขายต้นหรือเอาผล มีแปลงข้าวโพดแปลงเล็กๆสลับกับพืชผักอื่นๆ ส่วนที่ดอนมีต้นยูคาฯ ไร่มันสำปะหลัง และไร่อ้อยสลับกัน เริ่มเห็นค้างถั่วลันเตา ถั่วฝักยาว พริก และแตงกวา ที่น่าแปลกใจคือ ป่าข้างทางรถไฟมีต้นงวม ซึ่งเป็นพืชประจำถิ่นบางที่ของภาคเหนือของไทย แทรกอยู่กับต้นไม้อื่นๆด้วย มีฝนพรำๆ ตั้งแต่สถานีที่ 2 ได้ยินเสียงประกาศว่า สถานีปลายทางคือหนานหนิง

ลงจากรถไฟ 10.30 น. ช้ากว่ากำหนด 20 นาที สถานีรถไฟหนานหนิงกว้างใหญ่มาก ถามหาที่ขายตั๋วไปกวางโจวเย็นนี้ ก็ไม่มีใครพูดภาษาอังกฤษได้ จนจนท.คนหนึ่งทำมือบอกให้เดินตามเขาไป จนไปโผล่ออกถนนใหญ่ แล้วก็ชี้ให้เราเข้ามาซื้อตั๋วอีกด้านหนึ่งของชานชาลาสถานี ที่แยกไว้คนละด้านเพราะผู้โดยสารจีนมีจำนวนมากมากยั้วเยี้ย ที่ซื้อตั๋วกับที่รอขึ้นรถไฟจึงต้องอยู่คนละด้านกัน
                             
หลังจากได้ตั๋วไปกวางโจวคืนนี้แล้ว ฝากเป้ไว้ใกล้ๆที่ขายตั๋ว ไม่แพง แต่จำค่าฝากไม่ได้ ข้ามถนนไปหาซื้อซิมจีน คนขายฟังไม่รู้เรื่อง เลยพิมพ์ภาษาอังกฤษที่เครื่องของเขา แล้วเขาใช้โปรแกรมแปลภาษา ส่วนเขาเขียนตอบเรารเป็นภาษาจีน แล้วแปลเป็นภาษาอังกฤษให้เราอ่าน ลูกค้ารุมกันหลายคน รอให้เขาขายคนอื่นก่อน ถามราคาแล้วเขาตอบไม่ได้ต้องรอ รู้แต่ 180 หยวน แต่ในนั้นบอกว่า ฟรี 50 หยวนแรก ป้าถามว่าต้องจ่ายเท่าไร 180-50 หรือเต็มราคา
ลุงไปศึกษาสายรถเมล์ที่ป้ายรถประจำทาง จะนั่งรถเมล์สายที่วนรอบหนานหนิง จักรยานหรือมอ'ไซด์ไฟฟ้า ถามแล้วแถวนี้ไม่มีให้เช่า ถึงมีก็ไม่สะดวก ตอนนี้ฝนตกปรอยๆ เราต้องการใช้เวลาให้คุ้มเพราะต้องรอรถขบวน K366 ออก 22.35 ถึงกวางโจว 10.56 น.

ที่หนานหนิงอากาศเย็นกว่าฮานอยมากๆ หนานหนิงได้ชื่อว่าเป็นเมืองสีเขียวพื้นที่ 20,189 ตร.กม. ใหญ่กว่ากทม.ราว 12 เท่า เป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษกว่างซีจ้วง ประชากร 7 ล้าน แสดงว่าไม่หนาแน่น รายได้เฉลี่ยต่อหัวต่อคนต่อปี 104,600 บาท เฉพาะในเมืองที่มีประชากรหนาแน่น 2.5 ล้านคน รายได้เฉลี่ย 181,115 บาท ต่อหัวในขณะที่รายได้เฉลี่ยต่อหัว 82,560 บาท

ถังขยะของเมืองสีเขียวนี้มี 4 ประเภท คือ 1. สีเขียวเข้ม ย่อยสลายได้ 2. สีฟ้ารีไซเคิลได้ 3. สีเขียวอ่อนรีไซเคิลไม่ได้ 4. สีดำเป็นพวกแบ็ตเตอรี่ แต่เราสังเกต คนที่ทิ้งขยะก็ไม่เห็นว่าจะแยกประเภททิ้งกันเลย ยิ่งที่สถานีรถไฟนั่งหรือยืนตรงไหนทิ้งตรงนั้น ที่ร้ายยิ่งกว่านั้นห้องน้ำก็ใช้ได้บางห้อง เพราะใช้แล้วไม่เหยียบชักโครก หรือนั่งไม่ตรง ชักโครกแล้วก็ยังเลอะเทอะ ห้องที่กลอนใช้ได้มี 2 ห้อง แต่คนที่อาการหนักก็ไม่ได้ใส่ใจ ถลกกางเกงนั่งถ่ายให้คนเห็นอายไปเอง

เรานั่งรถเมล์เที่ยวจนสุดตัวเมือง แล้วนั่งกลับมา เปลี่ยนสายไปอีกด้านหนึ่ง ท่ามกลางฝนตกปรอยๆ ถนนในหนานหนิงสมกับเป็นเมืองสีเขียวจริงๆ ทุกสายเต็มไปด้วยต้นไม้ มีต้นมะม่วงใบเล็กมากกำลังออกลูกเท่าหัวแมลงวันเต็มไปหมด

เราลงรถเมล์มานั่งรอเวลาให้ถนนสายอาหารเปิด อุณหภูมิลดลงเรื่อยๆ จากในรถปรับอากาศเป็น 25 ข้างนอก 18 เราถ่ายรูปคนรอรถตอนเลิกงาน ดูการแต่งกาย อยู่ข้างนอกไม่ไหวแล้ว ลมแรงขึ้นทุกทีขอหลบเข้าห้าง Parkson ก่อน
อยู่ข้างนอกหนาวลมและเย็นฝนอากาศต้นฤดูใบไม้ผลิเพิ่งผ่านหนาวมาหมาดๆ ต้องเข้าไปในรถหรือตัวอาคารจึงจะสบาย ถ้าใส่ชุดกันหนาวก็กำลังดีเชียว
                                                           
ในเมืองนี้คนนั่งรถไฟฟ้ากันมาก เวลาเลิกงานมีรถจักรยานและจักรยานยนต์ไฟฟ้าเป็นแสนเลย เป็นนโยบายส่งเสริมการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม มีไบค์เลน ไม่ต้องไปกลับรถที่ทางแยกหรือยูเทิร์น สามารถขี่ข้ามถนนพร้อมคนเดินได้เลย ทางขึ้นลงสะพานลอย มีทางลาดให้จูงรถขึ้นเหมือนลากกระเป๋าเดินทางอีกด้วย รถไฟฟ้านอกจากไม่มีมลพิษแล้ว ยังเงียบมาก รถเมล์จะชะลอตรงทางม้าลาย และจอดให้คนเดินข้ามเสมอ ความเร็วของรถคงที่ และรถไม่ติดเพราะขับขี่ตามๆกัน เราสามารถคำนวณเวลาเดินทางบนถนนได้ ตอนนั่งรถออกนอกเมืองไป-กลับเที่ยวละ 1 ชม. ขึ้นประตูหน้าลงประตูกลางจ่ายเงินตอนขึ้นในกล่องคนละ 2 หยวน
ผู้คนก็มีจิตอาสาในการให้บริการคงเป็นเพราะเมืองนี้เป็นเขตปกครองพิเศษมานานทำให้พวกเขาเห็นว่านักท่องเที่ยวคือคนนำเงินไปให้พวกเขาใช้ มีคนพูดภาษาอังกฤษได้ไม่มาก แต่พวกเขาก็มีวิธีการสื่อสาร เพื่อจะให้นักท่องเที่ยวถึงจุดหมายปลายทางหลายวิธี

คนขับรถประจำทางเคร่งครัดในวินัยมาก พวกเขาไม่เปิดประตูรถให้คนขึ้นหรือลง ถ้ารถยังเข้าป้ายไม่ได้ พวกเรานั่งรถที่มีคนขับทั้งชายและหญิง คนขับชายขับนิ่ม และเบรคนิ่มกว่าผู้หญิง
รถไฟก็ขับนิ่มมาก ตอนเข้าออกสถานีไม่มีกระชากเลย คนนอนในตู้นอนนอนหลับสนิท แม้พนง.ไปปลุกก็ยังไม่อยากจะลุกกัน รางรถไฟในจีนเป็นรางที่แข่งแกร่งมั่นคงมาก รางวางบนหมอนปูนขันน็อตจนแน่นบนพื้นหินที่อัดแน่นจนไม่มีการโคลงเคลง แต่ละสถานีมีรางประมาณ 10 รางจนเวลาเปลี่ยนหัวรถ ผู้โดยสารไม่รู้สึกเลย
                                  
คนขึ้นรถประจำทางต้องเตรียมเงินให้พอดีเพราะต้องหย่อนลงตู้ ตอนขากลับเข้าเมืองเราเหลือเงินแค่ 3 หยวน และสุดสายรถเมล์ก็ไม่มีร้านค้า เราเดินข้ามไปอีกฟากของถนน เพื่อขึ้นรถกลับ ไม่รู้จะทำอย่างไรจึงขอแลกเงินจากหนุ่ม 3 คนที่รอรถอยู่พวกเขาไม่มีเงินให้เราแลกเราจึงเอาเงิน 3 หยวนให้เขาดู 1 ใน 3 คนควักเงินให้เรา 1 หยวน แล้วเขาก็ขึ้นรถคันเดียวกับเรานั่นแหละ ซึ้งนำใจชาวหนานหนิงจริงๆ
ขณะที่กำลังถามทางเที่ยวรอบเมือง เกิดข้าศึกโจมตีลุงอย่างรุนแรงจนอยู่ไม่ได้ จึงให้โอกาสไปใช้ภาษาเอาตัวรอดด้วยตัวเอง โดยให้ไปซื้อกระดาษชำระแล้วไปก่อนได้เลย ลุงหายไปนานมากยืนมองก็ยังไม่เห็นข้ามถนน จึงตัดสินใจข้ามถนนไปยืนรอครู่ใหญ่ได้ยินเสียงลุงโวยวาย ให้ข้ามกลับไปช่วยด้วย คนปลอดข้าศึกเลยต้องเสี่ยงชีวิตข้ามถนนกลับไป....คิดว่าเกิดอะไรขึ้นที่แท้เห็นมีแต่กระดาษชำระแพ็คใหญ่ แต่จะซื้อแค่ม้วนเดียว ลุงไม่รู้จะสื่อสารอย่างไร คนขายก็ไม่ยอมขายให้ ข้าศึกก็ยิ่งโจมตีจนหูอื้อตาลาย คิดอะไรไม่ออก พอป้าไปถึง แค่ยกแพ็คออกมาวาง แล้วชู 1 นิ้วก็จบแล้ว ไม่เห็นต้องคิดประโยคให้วุ่นวายเลย 555555

พอเสร็จศึกใหญ่ ลุงไชโย ดีใจสุดๆ ....แล้วบอกว่า....รอดชีวิตได้อย่างหวุดหวิด ถ้าไปคนเดียวสงสัยถูกทะลุทะลวงจนเละเทะเต็มร้านสะดวกซื้อกลางเมืองหนานหนิงแน่ๆ

ค่ำนี้เราได้ชิมก๋วยจั๊บจีน ที่ต้องรอคิวกันจนแม่ค้าทำไม่ทัน ที่ถนนคนเดินหนานหนิง เขาเอาถุงก๊อบแก๊บรองชาม จะได้ไม่ต้องล้าง มีแต่ตะเกียบให้ ไม่มีช้อน ลุงบอกว่ามันอร่อยจนห้ามใจไม่ได้ เหลียวซ้ายแลขวา เห็นเขายกชามซดโฮ่กๆ ลุงเลยเอาบ้าง คืนนี้จะได้นั่งรถไฟนั่งชั้นธรรมดา เพราะอยากศึกษาวิถีชีวิตผู้คน ไม่น่าจะมีที่ชาร์จแบ็ตให้ หนานหนิงเป็นเมืองที่ยิ่งใหญ่ราวพญามังกรทะยานฟ้าเลยทีเดียว
                                  
ชื่อสินค้า:   หนานหนิง จีน
คะแนน:     
**CR - Consumer Review : ผู้เขียนรีวิวนี้เป็นผู้ซื้อสินค้าหรือเสียค่าบริการเอง ไม่มีผู้สนับสนุนให้สินค้าหรือบริการฟรี และผู้เขียนรีวิวไม่ได้รับสิ่งตอบแทนในการเขียนรีวิว
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่