ทริปปักกิ่งนี้มีจุดเริ่มต้นมาจากห้องพักสองคืนที่ Grand Millennium Beijing ที่น้องในแผนกคนนึงให้มาก่อนที่ผมจะย้ายมาอยู่ที่นี่ นั่นเป็นจุดเริ่มต้นจริงๆครับ เพราะตั้งแต่ไหนแต่ไรมา ปักกิ่งไม่เคยอยู่ในหัวมาก่อน
การไปปักกิ่งจริงๆแล้วมันก็ไม่ได้ยากสักเท่าไหร่ แต่การจะไปคนเดียวมันก็กะไรอยู่ ภาษาจีนผมเองก็ไม่แข็งแรงเอาซะเลย งูๆปลาๆไปวันๆ ก็เลยตัดสินใจเพื่อนเก่าเพื่อนแก่ไปอีกสองคน เพื่อนของเพื่อนอีกคน รวมทั้งสิ้นทริปนี้เราก็จะมีด้วยกันสี่ชีวิต
ผมจัดการจองห้องพักด้วย free voucher ที่ได้มา และแลกแต้มของ Priority Club Rewards เพิ่มอีกสองคืน รวมแล้วก็ได้ที่พักฟรีทั้งหมดสี่คืน จริงๆก็ไม่ฟรีทั้งสี่คืนหรอกครับเพราะอีกคืนนึงแต้มมีไม่เพราะเพราะใช้ที่ฮ่องกงไปแล้ว ก็เลยต้องใช้แต้มแค่ครึ่งเดียวบวกกับเงินอีก 70 USD ก็ถือว่าไม่แพงแต่อย่างใด หารกันแล้วก็คนละสามร้อยกว่าบาท
ทริปนี้เราออกเดินทางกันจากมาเก๊า เพื่อนอีกสามคนก็จองตั๋วเครื่องบินแล้วก็บินมาสมทบกันที่มาเก๊า กำหนดเดินทางของเราก็วันที่ 2 พฤษภาคม
เพื่อนๆบินมามาเก๊ากันตั้งแต่วันที่ 30 เมษาก็เลยได้มีโอกาสพาเพื่อนๆไปตระเวณรอบๆมาเก๊ากันก่อน ซึ่งทริปที่ผมจัดให้ก็ไม่มีอะไรมาก ก็แค่พาไปไฮไลท์ที่ผมชอบ เริ่มจาก Venetian, ทาร์ตไข่ที่หมู่บ้าน Coloane, ถ่ายรูปเล่นที่ Lisboa, Senado Square, St. Paul, กินหูฉลามร้านเด็ดแถวๆ San Ma Lo, แล้วปิดท้ายด้วย SKy 21
ที่ว่ามาทั้งหมดใช้เวลาหนึ่งวันครึ่ง โดยให้เพื่อนๆทั้งหมดพักกันที่บ้าน ผมว่าที่ไปมาก็น่าจะทั่วมาเก๊าแล้วแหละครับ ประเทศนี้มันเล็ก ที่เที่ยวก็ไม่มีอะไรมาก นอกจากว่าอยากช้อปปิ้ง
วันที่สองเราออกเดินทางกันเช้ามืด จากบ้านก็เรียกแท็กซี่ไปด่านชายแดนจีนกงเป่ย ซึ่งจริงๆแล้วเดิน 15 นาทีจากที่บ้านก็ถึง แต่ด้วยว่ารีบเพราะกลัวว่าคนที่ด่านจะเยอะเพราะเป็นช่วงวันหยุดแรงงานของจีนอยู่ ที่ด่านคนเยอะก็จริงครับแต่ส่วนใหญ่เป็นขาเข้าจากจีนมามาเก๊าๆ เพราะคนจีนมาขายแรงงานอยู่ที่นี่เยอะ รออยู่แป๊บเดียวทุกคนก็ผ่านด่านมาเก๊ากันหมด
ผมกดเงินจากตู้เอทีเอ็มเป็นเงินหยวนจากฝั่งมาเก๊า เรตดีใช้ได้ ดีกว่าไปแลกตามเค้าท์เตอร์แลกเงินข้างนอก แนะนำไว้เผื่อว่าใครเดินทางแล้วยังไม่ได้แลกเงิน แต่ถ้าเป็นบัตรจากเมืองไทย ค่าธรรมเนียมการกดแต่ละครั้ง 100 บาทนะครับ ลองคำนวณดูดีๆว่าคุ้มรึเปล่า ส่วนของผมเป็นบัตร ICBC Macau ไม่มีค่าธรรมเนียมชาร์จเพิ่ม
สถานีรถไฟจูไห่ Zhuhai
ผ่านด่านมาเก๊ามาได้เราก็มาต่อคิวเข้าด่านจีน ซึ่งโชคดีที่มีช่องสำหรับนักท่องเทียวต่างชาติที่ไม่ใช่คนจีน เราก็เลยไม่ต้องรอนานสักเท่าไหร่ แป๊บเดียวเจ้าหน้าที่ก็ตีตราประทับ เป็นอันว่าทุกคนผ่านด่านเข้าเมืองจีนเป็นที่เรียบร้อย เมืองที่เรากำลังเหยียบคือ จูไห่ ไข่มุกแห่งทะเลใต้ของจีนครับ สำหรับใครที่ยังไม่ได้แลกเงินมานะครับ ออกมานอกสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองของจีน จะมีอาคารช้อปปิ้งใต้ดิน เดินลงไปเลยครับ ซ้ายมือมีร้านรับแลกเงินอยู่เยอะครับ แต่ต้องดูเรตดีๆหน่อยนะครับ
ร้านอาหารข้างทางในจูไห่ น่ากินใช้ได้ทีเดียว
ออกจากสำนักงานตรวนคนเข้าเมืองเรียบร้อยแล้วเราก็เลี้ยวซ้าย จะเห็นอาคารสถานีรถไฟฟ้าซึ่งใหญ่โตอลังการมาก เราสี่คนก็ตรงไปห้องขายตั๋วซึ่งอยู่ด้านล่างของตึก ถ้าเป็นคนท้องที่สามารถซื้อตั๋วผ่านตู้อัติโนมัติได้แต่ต้องใช้ ID Card แปะให้เครื่องแสกน ส่วนเราคนไทย ซื้อได้ผ่านช่องขายตั๋วอย่างเดียว และต้องใช้พาสปอร์ตในการซื้อด้วย ตั๋วทุกใบก็จะมีหมายเลขพาสปอร์ตระบุ และต้องยื่นพาสปอร์ตอีกครั้งตอนที่เข้าอาคารผู้โดยสารขาออก คือใครไม่มีตั๋วหรือตั๋วไม่ตรงกับพาสปอร์ตก็เข้าอาคารไม่ได้ครับ
แป้งบางๆ แต่อร่อย
เราต้องนั่งรถไฟจากจูไห่ไปกวางโจว แต่เราชะล่าใจไม่ได้ซื้อตั๋วรถไฟไว้ รถเที่ยวแรกตอนเจ็ดโมงครึ่งและเที่ยวที่สองตอนแปดโมงครึ่งเต็ม เราก็เลยต้องซื้อตั๋วรอบที่สามตอนสิบโมงตรง โชคดีที่เราซื้อตั๋วรถไฟจากกวางโจวไปปักกิ่งไว้เที่ยว 12.43 น. เราก็เลยยังสามารถไปถึงกวางโจวทันเวลาได้
บนรถไฟ First Class จาก Zhuhai->Guangzhou เบาะกว่าง นิ่ม สบายมาก
เราออกมาด้านนอกสถานีรถไฟจูไห่ก็จะเจอสถานีรถประจำทาง มีป้ายบอกอย่างชัดเจน จอดที่นี่กันทุกสาย ใครจะไปไหนในจูไห่นี่สะดวกมากจริงๆ เราข้ามถนนไปฝั่งตรงข้ามหาอาหารเช้าทาน เนื่องจากว่าเป็นช่วงวันหยุด ร้านรวงปิดเกือบหมด โชคดีที่เจอร้านนึงเปิด เราก็เลยตรงเข้าไปสั่งทันที อาหารก็มีหลากหลายอย่างครับ มีเสี่ยวหลงเปา บะหมีน้ำและแห้ง และที่อร่อยจนติดใจคือซุปไก่ดำซึ่งรสชาดกลมกล่อมอย่างที่สุด หม่อมถนัดแดกซึ่งมากับเราพูดเลยว่า อร่อยไร้รอยต่อ
สถานีรถไฟกวางโจวหนาน
กินเสร็จเราก็ลากกระเป๋ากลับมาที่สถานีรถไฟซึ่งหญ่พอๆกับสนามบินภูเก็ต นั่งรอซักพักเกตเราเปิด เราก็ไปเข้าคิวเพื่อบอร์ดขึ้นรถไฟ รถไฟที่นี่ตรงเวลามากกกกก และหรูหรามาก เราจองตั๋วเฟิร์สคลาสเพราะอยากนั่งสบายๆ เบาะใหญ่ กว้าง นึกอิจฉาเมืองจีนขึ้นมาทันที ประเทศเราถ้ามีระบบรถไฟอย่างนี้ การเดินทางคงสะดวกขึ้นเยอะ ขบวนรถไฟที่เรานั่งวิ่งด้วยความเร็วสูงสุด 196 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งเราจะถึงกวางโจวที่อยู่ห่างออกไปเกือบๆสองร้อยกิโลเมตรใช้เวลาเพียงแค่ 70 นาทีเอง ไม่แปลกใจที่เห็นคนจีนใช้บริการกันเยอะ และถนนเบื้องล่างที่เรามองเห็น โล่งมากกก
ตู้รถไฟแบบ Second Class
ราคาค่าตั๋วรถไฟเฟิร์สคลาสจากจูไห่ไปกวางโจว 90 หยวน ตั๋วธรรมดาราคา 70 หยวน
ถึงกวางโจวตอน 11.10 น. ตามกำหนด ใครที่ขึ้นรถไฟห้ามทำตั๋วหายนะครับเพราะต้องใช้ตั๋วใบเดิมแสกนออกตอนถึงกวางโจวด้วย สถานีรถไฟกวางโจวใหญ่มาก ใหญ่กว่าดอนเมืองอีก เพราะนี่เป็นชุมทางรถไฟสายใต้ของจีน สถานีชื่อว่า Guangzhounan กว่างโจวหนาน
ตั๋วรถไฟหน้าตาอย่างนี้นะ มุมขวาบนคือตู้ที่ 4 แถวที่ 6 ที่นั่ง C
จากอาคารผู้โดยสารขาออก เราต้องขึ้นบันไดเลื่อนไปชั้นสองเพื่อเช็คอินขึ้นรถไฟขบวนถัดไป ส่วนใครที่ยังไม่ซื้อตั๋วสามารถซื้อได้ที่เค้าเตอร์ซื้อตั๋วที่อยู่ด้านนอกอาคาร ออกมาแล้วก็เลี้ยวขวาโลด เค้าเตอร์จะไม่มีภาษาอังกฤษซักนิด แถวไหนสั้นสุดก็ต่อได้เลย เพราะแต่ละเคาท์เตอร์ขายตั๋วทุก route
สถานีรถไฟกวางโจว
รถไฟความเร็วสูงจากกวางโจวไปปักกิ่งก็จะมีวันละสามเที่ยว ราคาตั๋วก็เท่ากันทุกเที่ยว 862 หยวนสำหรับที่นั่งธรรมดา และ 1300 หยวนกว่าๆสำหรับเฟิร์สคลาส พวกเราคิดว่า ตั๋วธรมดาก็คงเพียงพอ ส่วนรถไฟธรรมดาไปปักกิ่งนั้น มีวันละหลายเที่ยวมากๆแต่มันใช้เวลาประมาณ 22 ชั่วโมงบนรถไฟ ขบวนที่เรานั่งออกตอน 12.43 น. จะใช้เวลาเพียงแค่ 9 ชั่วโมง 40 นาที เป็นรถไฟความเร็วสูงขบวนสุดท้ายที่ออกจากกวางโจว เที่ยวแรกแปดโมงกว่า เที่ยวที่สองสิบโมงกว่า ซึ่งถ้าใครได้เที่ยวที่สองจะโชคดีไปเพราะว่าจะใช้เวลาบนรถไฟแค่เจ็ดชั่วโมงกว่า รถไฟวิ่งด้วยความเร็วเท่ากันครับ แต่จำนวนสถานีที่จอดต่างกัน ก็เลยถึงเร็วกว่า
รถไฟความเร็วสูงจากกวางโจวถึงปักกิ่งเป็นรถไฟความเร็วสูงขบวนล่าสุดของจีน เพิ่งจะเปิดใช้ไปเมื่อ 26 ธันวาคม 2012 ที่ผ่านมา รถไฟขบวนนี้จะวิ่งด้วยความเร็วสูงสุด 310 กิโลเมตรต่อชั่วโมง (จากในเว็บแจ้งว่า 350 กม/ชม.) แต่จากที่นั่งจ้องมอนิเตอร์ตลอดทาง ก็ไม่เห็นมันจะถึง 350 กม/ชม. รถไฟขบวนนี้ ยังเป็นรถไฟความเร็วสูงที่มีระยะวิ่งยาวที่สุดในโลก ณ ปัจจุบัน วิ่งผ่านห้ามณฑลและอีกหนึ่งกรุงของจีน
ขบวนรถไฟ ภาพจากเว็บ
เรามีเวลาชั่วโมงนิดๆที่สถานีรถไฟกวางโจว เราก็เลยขึ้นไปชั้นสามของอาคารซึ่งเป็นร้านอาหาร เรากินโซบะร้อนๆรองท้อง รสชาดคนไทยชอบแน่นอน ซึ่งนอกจากร้านโซบะแล้วยังมีอาหารต่างๆมากมาย สำหรับคนที่สูบบุหรี่ ที่อาคารนี้มีที่สูบบุหรี่จุดเดียว นั่นก็คือชั้นสองของอาคารไกล้ๆกับลิฟท์ตัวที่สองที่ใช้ขึ้นไปฟู้ดคอร์ท จะมีห้องสูบบุหรี่ซ่อนอยู่ครับ
พนักงานรถไฟจีน เป๊ะมาก ที่เห็นคือตู้ Second Class ที่นั่งเป็นแบบ 2-3 แถว
อิ่มท้องแล้วเราก็มาต่อคิวขึ้นรถไฟ second class ที่เรานั่ง ที่นั่งหนึ่งแถวจะมีห้าที่นั่งด้วยกัน แบ่งเป็นสามและสอง ใครที่ชอบนั่งติดทางเดินสามารถระบุตอนซื้อตั๋วได้เลยนะครับว่าต้องการที่นั่ง C และ D ส่วนติดหน้าต่างก็ต้อง A และ E เบาะนั่งสะดวกสบายมาก เอนได้เต็มที่ ใหญ่และกว้างกว่าเบาะแอร์เอเชียมาก
นางฟ้ารถไฟ
บนขบวนรถไฟก็จะมีตู้เสบียงซึ่งเป็นตู้หมายเลข 9 สามารถไปนั่งทานชมวิวคลายเบื่อได้ ส่วนใครที่ไม่อยากลุก น้อง train hostess ซึ่งหน้าตาแต่ละนางเป๊ะมากก็จะเข็นมาขายเหมือนแอร์เอเชีย มีอาหารหลายอย่างให้เลือก เบียร์ก็มีขายแหละ เปรี้ยวปากขึ้นมาทันที บนรถไฟก็จะมีน้ำร้อนให้บริการฟรี ส่วนห้องน้ำเป๊ะเวอร์ เป็นชักโครกกด มีกระดาษรองก้อนแบบใช้แล้วทิ้งด้วย ที่ไม่ชอบที่สุดเห็นจะเป็น รถไฟขบวนนี้ไม่มีตู้สูบบุหรี่ เพราะฉะนั้นเวลารถไฟจะถึงสถานีอื่นๆก็จะเห็นสิงห์รมควันไปยืืน รอตรงประตู เพื่อที่ประตูเปิดปุ๊บก็จะได้ลงไปสูบบุหรี่ทันที ซึ่งก็จะมีเวลาสูบประมาณสามถึงห้านาทีแล้วแต่สถานี รอฟังนกหวีดแล้วก็วิ่งกลับขึ้นรถไฟ ใครพลาดตกรถนะจ๊ะ ตื่นเต้นสุดๆ ผมเองลองมาแล้ว
ระยะทาง กว่า 2300 กม. ผ่านห้าเมืองใหญ่ เราหลับๆตื่นๆ ตื่นก็กิน กินแล้วก็หลับต่อ รถไฟจีนนิ่มมากๆ เสียงรบกวนน้อยมาก ประทับใจอีกแล้ว(เสียงรบกวนจากคนในขบวนเนี่ย แล้วแต่ดวงนะครับ)
วิวจากหน้าต่างที่ความเร็ว 309 km/h
บรรยากาศอาหารค่ำบนตู้เสบียง
เราถึงสถานีรถไฟปักกิ่งกันตอนสี่ทุ่มกว่าๆเกือบห้าทุ่ม ตั้งใจหาแท็กซี่ไปโรงแรมแต่โดนโขกราคาถึง 200 หยวนบอกว่าไกล เราก็เลยยอมเดินลากกระเป๋าออกถนนใหญ่ เดินไปทางซ้ายมือซักสิบนาทีก็ถึงโรงแรมหนึ่ง (เสียดายจำชื่อไม่ได้) เราขอความช่วยเหลือกับน้องดอร์แมนที่ประตู ถามทางถามระยะทาง น้องผู้ชายสองคนที่หน้าตาดีช่วยเราสุดๆ โทรไปถามที่โรงแรมถึงที่ตั้ง แล้วก็ออกไปเรียกแท็กซี่ตรงสี่แยกให้ ซึ้งและประทับใจมาก เห็นเด็กหนุ่มหน้าตาดีนิสัยดีเราก็อยากทิป ให้เงินไปนิดหน่อยแต่น้องมันไม่เอา สรุปเราเป็นหนี้บุญคุณน้องเขา
จากโรงแรมที่เราถามทางถึงโรงแรมที่เราจอง Holiday Inn Haidian ใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมง ไกลพอสมควร ค่าแท็กซี่ 50 หยวน ถือว่าไม่แพง ถึงโรงแรมก็เที่ยงคืนกว่า เข้าห้องเรียบร้อยแล้วผมก็ออกมาตามหาร้านข้าวเนื่องจากหิว จากโรงแรมเดินออกมา เลี้ยวขวา ถึงไฟแดงแรกเลี้ยวซ้าย ถึงอีกหนึ่งไฟแดงก็เลี้ยวขวา เดินไปนิดนึงก็เห็นร้านอาหารเรียงรายอยู่ฝั่งตรงข้ามทางด้านซ้ายมือ มีอยู่ร้านนึงที่เปิด 24 ชม. มันอร่อยอย่างเหลือเชื่อ
กินเสร็จก็เดินกลับโรงแรม พักผ่อน
ปล. ต้องขออภัยอย่างแรงที่ทริปนี้ไม่มีกล้องโปรไปเก็บภาพ ภาพส่วนใหญ่เป็นภาพจาก Iphone ซึ่งไม่มีคุณภาพ ทนระคายตาหน่อยนะครับ
พบกับตอนต่อไป เร็วๆนี้
[CR] นั่งรถไฟจากมาเก๊า ถึงปักกิ่ง ตอน 1
การไปปักกิ่งจริงๆแล้วมันก็ไม่ได้ยากสักเท่าไหร่ แต่การจะไปคนเดียวมันก็กะไรอยู่ ภาษาจีนผมเองก็ไม่แข็งแรงเอาซะเลย งูๆปลาๆไปวันๆ ก็เลยตัดสินใจเพื่อนเก่าเพื่อนแก่ไปอีกสองคน เพื่อนของเพื่อนอีกคน รวมทั้งสิ้นทริปนี้เราก็จะมีด้วยกันสี่ชีวิต
ผมจัดการจองห้องพักด้วย free voucher ที่ได้มา และแลกแต้มของ Priority Club Rewards เพิ่มอีกสองคืน รวมแล้วก็ได้ที่พักฟรีทั้งหมดสี่คืน จริงๆก็ไม่ฟรีทั้งสี่คืนหรอกครับเพราะอีกคืนนึงแต้มมีไม่เพราะเพราะใช้ที่ฮ่องกงไปแล้ว ก็เลยต้องใช้แต้มแค่ครึ่งเดียวบวกกับเงินอีก 70 USD ก็ถือว่าไม่แพงแต่อย่างใด หารกันแล้วก็คนละสามร้อยกว่าบาท
ทริปนี้เราออกเดินทางกันจากมาเก๊า เพื่อนอีกสามคนก็จองตั๋วเครื่องบินแล้วก็บินมาสมทบกันที่มาเก๊า กำหนดเดินทางของเราก็วันที่ 2 พฤษภาคม
เพื่อนๆบินมามาเก๊ากันตั้งแต่วันที่ 30 เมษาก็เลยได้มีโอกาสพาเพื่อนๆไปตระเวณรอบๆมาเก๊ากันก่อน ซึ่งทริปที่ผมจัดให้ก็ไม่มีอะไรมาก ก็แค่พาไปไฮไลท์ที่ผมชอบ เริ่มจาก Venetian, ทาร์ตไข่ที่หมู่บ้าน Coloane, ถ่ายรูปเล่นที่ Lisboa, Senado Square, St. Paul, กินหูฉลามร้านเด็ดแถวๆ San Ma Lo, แล้วปิดท้ายด้วย SKy 21
ที่ว่ามาทั้งหมดใช้เวลาหนึ่งวันครึ่ง โดยให้เพื่อนๆทั้งหมดพักกันที่บ้าน ผมว่าที่ไปมาก็น่าจะทั่วมาเก๊าแล้วแหละครับ ประเทศนี้มันเล็ก ที่เที่ยวก็ไม่มีอะไรมาก นอกจากว่าอยากช้อปปิ้ง
วันที่สองเราออกเดินทางกันเช้ามืด จากบ้านก็เรียกแท็กซี่ไปด่านชายแดนจีนกงเป่ย ซึ่งจริงๆแล้วเดิน 15 นาทีจากที่บ้านก็ถึง แต่ด้วยว่ารีบเพราะกลัวว่าคนที่ด่านจะเยอะเพราะเป็นช่วงวันหยุดแรงงานของจีนอยู่ ที่ด่านคนเยอะก็จริงครับแต่ส่วนใหญ่เป็นขาเข้าจากจีนมามาเก๊าๆ เพราะคนจีนมาขายแรงงานอยู่ที่นี่เยอะ รออยู่แป๊บเดียวทุกคนก็ผ่านด่านมาเก๊ากันหมด
ผมกดเงินจากตู้เอทีเอ็มเป็นเงินหยวนจากฝั่งมาเก๊า เรตดีใช้ได้ ดีกว่าไปแลกตามเค้าท์เตอร์แลกเงินข้างนอก แนะนำไว้เผื่อว่าใครเดินทางแล้วยังไม่ได้แลกเงิน แต่ถ้าเป็นบัตรจากเมืองไทย ค่าธรรมเนียมการกดแต่ละครั้ง 100 บาทนะครับ ลองคำนวณดูดีๆว่าคุ้มรึเปล่า ส่วนของผมเป็นบัตร ICBC Macau ไม่มีค่าธรรมเนียมชาร์จเพิ่ม
สถานีรถไฟจูไห่ Zhuhai
ผ่านด่านมาเก๊ามาได้เราก็มาต่อคิวเข้าด่านจีน ซึ่งโชคดีที่มีช่องสำหรับนักท่องเทียวต่างชาติที่ไม่ใช่คนจีน เราก็เลยไม่ต้องรอนานสักเท่าไหร่ แป๊บเดียวเจ้าหน้าที่ก็ตีตราประทับ เป็นอันว่าทุกคนผ่านด่านเข้าเมืองจีนเป็นที่เรียบร้อย เมืองที่เรากำลังเหยียบคือ จูไห่ ไข่มุกแห่งทะเลใต้ของจีนครับ สำหรับใครที่ยังไม่ได้แลกเงินมานะครับ ออกมานอกสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองของจีน จะมีอาคารช้อปปิ้งใต้ดิน เดินลงไปเลยครับ ซ้ายมือมีร้านรับแลกเงินอยู่เยอะครับ แต่ต้องดูเรตดีๆหน่อยนะครับ
ร้านอาหารข้างทางในจูไห่ น่ากินใช้ได้ทีเดียว
ออกจากสำนักงานตรวนคนเข้าเมืองเรียบร้อยแล้วเราก็เลี้ยวซ้าย จะเห็นอาคารสถานีรถไฟฟ้าซึ่งใหญ่โตอลังการมาก เราสี่คนก็ตรงไปห้องขายตั๋วซึ่งอยู่ด้านล่างของตึก ถ้าเป็นคนท้องที่สามารถซื้อตั๋วผ่านตู้อัติโนมัติได้แต่ต้องใช้ ID Card แปะให้เครื่องแสกน ส่วนเราคนไทย ซื้อได้ผ่านช่องขายตั๋วอย่างเดียว และต้องใช้พาสปอร์ตในการซื้อด้วย ตั๋วทุกใบก็จะมีหมายเลขพาสปอร์ตระบุ และต้องยื่นพาสปอร์ตอีกครั้งตอนที่เข้าอาคารผู้โดยสารขาออก คือใครไม่มีตั๋วหรือตั๋วไม่ตรงกับพาสปอร์ตก็เข้าอาคารไม่ได้ครับ
แป้งบางๆ แต่อร่อย
เราต้องนั่งรถไฟจากจูไห่ไปกวางโจว แต่เราชะล่าใจไม่ได้ซื้อตั๋วรถไฟไว้ รถเที่ยวแรกตอนเจ็ดโมงครึ่งและเที่ยวที่สองตอนแปดโมงครึ่งเต็ม เราก็เลยต้องซื้อตั๋วรอบที่สามตอนสิบโมงตรง โชคดีที่เราซื้อตั๋วรถไฟจากกวางโจวไปปักกิ่งไว้เที่ยว 12.43 น. เราก็เลยยังสามารถไปถึงกวางโจวทันเวลาได้
บนรถไฟ First Class จาก Zhuhai->Guangzhou เบาะกว่าง นิ่ม สบายมาก
เราออกมาด้านนอกสถานีรถไฟจูไห่ก็จะเจอสถานีรถประจำทาง มีป้ายบอกอย่างชัดเจน จอดที่นี่กันทุกสาย ใครจะไปไหนในจูไห่นี่สะดวกมากจริงๆ เราข้ามถนนไปฝั่งตรงข้ามหาอาหารเช้าทาน เนื่องจากว่าเป็นช่วงวันหยุด ร้านรวงปิดเกือบหมด โชคดีที่เจอร้านนึงเปิด เราก็เลยตรงเข้าไปสั่งทันที อาหารก็มีหลากหลายอย่างครับ มีเสี่ยวหลงเปา บะหมีน้ำและแห้ง และที่อร่อยจนติดใจคือซุปไก่ดำซึ่งรสชาดกลมกล่อมอย่างที่สุด หม่อมถนัดแดกซึ่งมากับเราพูดเลยว่า อร่อยไร้รอยต่อ
สถานีรถไฟกวางโจวหนาน
กินเสร็จเราก็ลากกระเป๋ากลับมาที่สถานีรถไฟซึ่งหญ่พอๆกับสนามบินภูเก็ต นั่งรอซักพักเกตเราเปิด เราก็ไปเข้าคิวเพื่อบอร์ดขึ้นรถไฟ รถไฟที่นี่ตรงเวลามากกกกก และหรูหรามาก เราจองตั๋วเฟิร์สคลาสเพราะอยากนั่งสบายๆ เบาะใหญ่ กว้าง นึกอิจฉาเมืองจีนขึ้นมาทันที ประเทศเราถ้ามีระบบรถไฟอย่างนี้ การเดินทางคงสะดวกขึ้นเยอะ ขบวนรถไฟที่เรานั่งวิ่งด้วยความเร็วสูงสุด 196 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งเราจะถึงกวางโจวที่อยู่ห่างออกไปเกือบๆสองร้อยกิโลเมตรใช้เวลาเพียงแค่ 70 นาทีเอง ไม่แปลกใจที่เห็นคนจีนใช้บริการกันเยอะ และถนนเบื้องล่างที่เรามองเห็น โล่งมากกก
ตู้รถไฟแบบ Second Class
ราคาค่าตั๋วรถไฟเฟิร์สคลาสจากจูไห่ไปกวางโจว 90 หยวน ตั๋วธรรมดาราคา 70 หยวน
ถึงกวางโจวตอน 11.10 น. ตามกำหนด ใครที่ขึ้นรถไฟห้ามทำตั๋วหายนะครับเพราะต้องใช้ตั๋วใบเดิมแสกนออกตอนถึงกวางโจวด้วย สถานีรถไฟกวางโจวใหญ่มาก ใหญ่กว่าดอนเมืองอีก เพราะนี่เป็นชุมทางรถไฟสายใต้ของจีน สถานีชื่อว่า Guangzhounan กว่างโจวหนาน
ตั๋วรถไฟหน้าตาอย่างนี้นะ มุมขวาบนคือตู้ที่ 4 แถวที่ 6 ที่นั่ง C
จากอาคารผู้โดยสารขาออก เราต้องขึ้นบันไดเลื่อนไปชั้นสองเพื่อเช็คอินขึ้นรถไฟขบวนถัดไป ส่วนใครที่ยังไม่ซื้อตั๋วสามารถซื้อได้ที่เค้าเตอร์ซื้อตั๋วที่อยู่ด้านนอกอาคาร ออกมาแล้วก็เลี้ยวขวาโลด เค้าเตอร์จะไม่มีภาษาอังกฤษซักนิด แถวไหนสั้นสุดก็ต่อได้เลย เพราะแต่ละเคาท์เตอร์ขายตั๋วทุก route
สถานีรถไฟกวางโจว
รถไฟความเร็วสูงจากกวางโจวไปปักกิ่งก็จะมีวันละสามเที่ยว ราคาตั๋วก็เท่ากันทุกเที่ยว 862 หยวนสำหรับที่นั่งธรรมดา และ 1300 หยวนกว่าๆสำหรับเฟิร์สคลาส พวกเราคิดว่า ตั๋วธรมดาก็คงเพียงพอ ส่วนรถไฟธรรมดาไปปักกิ่งนั้น มีวันละหลายเที่ยวมากๆแต่มันใช้เวลาประมาณ 22 ชั่วโมงบนรถไฟ ขบวนที่เรานั่งออกตอน 12.43 น. จะใช้เวลาเพียงแค่ 9 ชั่วโมง 40 นาที เป็นรถไฟความเร็วสูงขบวนสุดท้ายที่ออกจากกวางโจว เที่ยวแรกแปดโมงกว่า เที่ยวที่สองสิบโมงกว่า ซึ่งถ้าใครได้เที่ยวที่สองจะโชคดีไปเพราะว่าจะใช้เวลาบนรถไฟแค่เจ็ดชั่วโมงกว่า รถไฟวิ่งด้วยความเร็วเท่ากันครับ แต่จำนวนสถานีที่จอดต่างกัน ก็เลยถึงเร็วกว่า
รถไฟความเร็วสูงจากกวางโจวถึงปักกิ่งเป็นรถไฟความเร็วสูงขบวนล่าสุดของจีน เพิ่งจะเปิดใช้ไปเมื่อ 26 ธันวาคม 2012 ที่ผ่านมา รถไฟขบวนนี้จะวิ่งด้วยความเร็วสูงสุด 310 กิโลเมตรต่อชั่วโมง (จากในเว็บแจ้งว่า 350 กม/ชม.) แต่จากที่นั่งจ้องมอนิเตอร์ตลอดทาง ก็ไม่เห็นมันจะถึง 350 กม/ชม. รถไฟขบวนนี้ ยังเป็นรถไฟความเร็วสูงที่มีระยะวิ่งยาวที่สุดในโลก ณ ปัจจุบัน วิ่งผ่านห้ามณฑลและอีกหนึ่งกรุงของจีน
ขบวนรถไฟ ภาพจากเว็บ
เรามีเวลาชั่วโมงนิดๆที่สถานีรถไฟกวางโจว เราก็เลยขึ้นไปชั้นสามของอาคารซึ่งเป็นร้านอาหาร เรากินโซบะร้อนๆรองท้อง รสชาดคนไทยชอบแน่นอน ซึ่งนอกจากร้านโซบะแล้วยังมีอาหารต่างๆมากมาย สำหรับคนที่สูบบุหรี่ ที่อาคารนี้มีที่สูบบุหรี่จุดเดียว นั่นก็คือชั้นสองของอาคารไกล้ๆกับลิฟท์ตัวที่สองที่ใช้ขึ้นไปฟู้ดคอร์ท จะมีห้องสูบบุหรี่ซ่อนอยู่ครับ
พนักงานรถไฟจีน เป๊ะมาก ที่เห็นคือตู้ Second Class ที่นั่งเป็นแบบ 2-3 แถว
อิ่มท้องแล้วเราก็มาต่อคิวขึ้นรถไฟ second class ที่เรานั่ง ที่นั่งหนึ่งแถวจะมีห้าที่นั่งด้วยกัน แบ่งเป็นสามและสอง ใครที่ชอบนั่งติดทางเดินสามารถระบุตอนซื้อตั๋วได้เลยนะครับว่าต้องการที่นั่ง C และ D ส่วนติดหน้าต่างก็ต้อง A และ E เบาะนั่งสะดวกสบายมาก เอนได้เต็มที่ ใหญ่และกว้างกว่าเบาะแอร์เอเชียมาก
นางฟ้ารถไฟ
บนขบวนรถไฟก็จะมีตู้เสบียงซึ่งเป็นตู้หมายเลข 9 สามารถไปนั่งทานชมวิวคลายเบื่อได้ ส่วนใครที่ไม่อยากลุก น้อง train hostess ซึ่งหน้าตาแต่ละนางเป๊ะมากก็จะเข็นมาขายเหมือนแอร์เอเชีย มีอาหารหลายอย่างให้เลือก เบียร์ก็มีขายแหละ เปรี้ยวปากขึ้นมาทันที บนรถไฟก็จะมีน้ำร้อนให้บริการฟรี ส่วนห้องน้ำเป๊ะเวอร์ เป็นชักโครกกด มีกระดาษรองก้อนแบบใช้แล้วทิ้งด้วย ที่ไม่ชอบที่สุดเห็นจะเป็น รถไฟขบวนนี้ไม่มีตู้สูบบุหรี่ เพราะฉะนั้นเวลารถไฟจะถึงสถานีอื่นๆก็จะเห็นสิงห์รมควันไปยืืน รอตรงประตู เพื่อที่ประตูเปิดปุ๊บก็จะได้ลงไปสูบบุหรี่ทันที ซึ่งก็จะมีเวลาสูบประมาณสามถึงห้านาทีแล้วแต่สถานี รอฟังนกหวีดแล้วก็วิ่งกลับขึ้นรถไฟ ใครพลาดตกรถนะจ๊ะ ตื่นเต้นสุดๆ ผมเองลองมาแล้ว
ระยะทาง กว่า 2300 กม. ผ่านห้าเมืองใหญ่ เราหลับๆตื่นๆ ตื่นก็กิน กินแล้วก็หลับต่อ รถไฟจีนนิ่มมากๆ เสียงรบกวนน้อยมาก ประทับใจอีกแล้ว(เสียงรบกวนจากคนในขบวนเนี่ย แล้วแต่ดวงนะครับ)
วิวจากหน้าต่างที่ความเร็ว 309 km/h
บรรยากาศอาหารค่ำบนตู้เสบียง
เราถึงสถานีรถไฟปักกิ่งกันตอนสี่ทุ่มกว่าๆเกือบห้าทุ่ม ตั้งใจหาแท็กซี่ไปโรงแรมแต่โดนโขกราคาถึง 200 หยวนบอกว่าไกล เราก็เลยยอมเดินลากกระเป๋าออกถนนใหญ่ เดินไปทางซ้ายมือซักสิบนาทีก็ถึงโรงแรมหนึ่ง (เสียดายจำชื่อไม่ได้) เราขอความช่วยเหลือกับน้องดอร์แมนที่ประตู ถามทางถามระยะทาง น้องผู้ชายสองคนที่หน้าตาดีช่วยเราสุดๆ โทรไปถามที่โรงแรมถึงที่ตั้ง แล้วก็ออกไปเรียกแท็กซี่ตรงสี่แยกให้ ซึ้งและประทับใจมาก เห็นเด็กหนุ่มหน้าตาดีนิสัยดีเราก็อยากทิป ให้เงินไปนิดหน่อยแต่น้องมันไม่เอา สรุปเราเป็นหนี้บุญคุณน้องเขา
จากโรงแรมที่เราถามทางถึงโรงแรมที่เราจอง Holiday Inn Haidian ใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมง ไกลพอสมควร ค่าแท็กซี่ 50 หยวน ถือว่าไม่แพง ถึงโรงแรมก็เที่ยงคืนกว่า เข้าห้องเรียบร้อยแล้วผมก็ออกมาตามหาร้านข้าวเนื่องจากหิว จากโรงแรมเดินออกมา เลี้ยวขวา ถึงไฟแดงแรกเลี้ยวซ้าย ถึงอีกหนึ่งไฟแดงก็เลี้ยวขวา เดินไปนิดนึงก็เห็นร้านอาหารเรียงรายอยู่ฝั่งตรงข้ามทางด้านซ้ายมือ มีอยู่ร้านนึงที่เปิด 24 ชม. มันอร่อยอย่างเหลือเชื่อ
กินเสร็จก็เดินกลับโรงแรม พักผ่อน
ปล. ต้องขออภัยอย่างแรงที่ทริปนี้ไม่มีกล้องโปรไปเก็บภาพ ภาพส่วนใหญ่เป็นภาพจาก Iphone ซึ่งไม่มีคุณภาพ ทนระคายตาหน่อยนะครับ
พบกับตอนต่อไป เร็วๆนี้