คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 9
เห็นด้วยครับว่า รถเมล์ ช่วยแก้ปัญหาจรจรได้ครับ
การเปรียบเทียบระหว่างรถเมล์-รถยนต์ส่วนบุคคล นั่นรถเมล์ชนะโดยไม่ต้องพิสูจน์อยู่แล้วครับ (มีนักวิชาการเขาวิจัยไว้แล้ว เราไม่ต้องไปค้นพบ wheel ใหม่ครับ)
อย่างไรก็ตาม
การแก้ปัญาจราจร ต้องมององค์รวมของการจราจร + ทัศนคติและวินัยของผู้ใช้รถใช้ถนนด้วยครับ
ปัญหาการขนคนจากที่หนึ่งไปยังที่หนึ่งเป็นปัญหาด้าน transportation ที่มีการขบคิดกันมานานแล้วและมีข้อสรุปที่ค่อนข้างดี สามารถนำไปใช้ได้ดีในเมืองใหญ่ของประเทศพัฒนาแล้ว
การขนคนไปมาในเมืองใหญ่ อย่ามองมิติเดียวแค่ขนผ่านสี่แยก เพราะยังมีทางเลือกอีกมาก เช่น ทางราง ทางน้ำ และทางเท้า
หากไปนั่งสังเกตการณ์ ณ เมืองหลวงแห่งหนึ่ง แล้วจะเห็นซีนาริโอแปลก ๆ
ถนนกว้างมาก น่าขับรถเล่นด้วยความเร็ว 200 km/h สักพักมีมนุษย์โผล่จากรู(รถไฟใต้ติน)มาเป็นหมื่น เดินข้ามถนน ปรากฎว่า ณ แยกนั้น ปริมาณคนมากกว่ารถ สักพักคนนนับหมื่นหายไป เหลือเพียงหลักร้อย ครึ่งหนึ่งทยอยขึ้นลงรถประจำทาง ที่ทยอยจอดและออกไปโดยไม่มีการติดขัด ส่วนที่เหลือเดินไป ณ จุดหมายบริเวณนั้น เลยออกไปดูที่เลนสองเลนสาม มีรถยนต์ส่วนบุคคลแล่นประปราย มีการชะงักบ้างตามจังหวะไฟจราจร ซึ่งไม่เคยต้องหยุดนานเกินกว่า 70 วิ พอได้ไฟเขียว รถที่วิ่งเร็วสุดไม่เกิน 50 km/h
คิดอะไรจากภาพที่เห็น
-รถไฟฟ้า/รถใต้ดิน เป็นการขนส่งทางราง ไม่มีการตัดกับถนน จึงไม่ต้องรอจังหวะกับรถยนต์/รถเมล์ ขนคนไปได้ปริมาณหลักพัน-หลักหมื่น/นาที
-รถเมล์/รถราง วิ่งบนถนน ขนคนไปได้หลักสิบ-ร้อย/นาที แต่ต้องรอจังหวะกับรถยนต์ส่วนบุคคล/รถบรรทุก/คนข้ามถนน
-เรือ วิ่งไปในแม่น้ำ ขนคนไปได้หลักร้อย-พัน/ครั้ง อาจแล่นไม่เร็ว แต่ข้ามฝั่งได้เร็วกว่ารถยนต์แน่นอน
-รถบรรทุกหายไปจากสมการ เพราะสินค้าถูกส่งทางราง ทางน้ำแทน
-คนเดินถนน ข้ามทางม้าลายตามจังหวะจราจร หรือข้ามทางลอย หรือทางลอด ไม่มีวิ่งตัดเลน
-ไม่มีมอเตอร์ไซค์วิ่งย้อนศร วิ่งบนทางม้าลาย วิ่งเลนขวา
-ไม่มีรถเข็น แผงลอยล้ำถนน
ต้องขอโทษที่ อ้อมประเด็นไปไกล
การแก้ปัญหาโครงสร้าง คือ มองภาพให้เป็นภาพรวม
เครื่องบินขนคนระหว่างประเทศ/เมืองที่อยู่ไกลมาก ๆ
รถไฟขนคนระหว่างเมือง
รถไฟฟ้าคนขนระหว่าง จุดสำคัญ ๆ ในการท่องเที่ยว/เศรษฐกิจ
รถเมล์เสริมส่วนที่รถไฟฟ้าไปไม่ถึง
เรือเสริมในส่วนที่รถยนต์ไปไม่สะดวก
มอเตอร์ไซค์/ตุ๊ก ๆ รถตู้ เสริมส่วนที่รถเมล์ไปไม่ถึง
ทางเดินติดแอร์เสริมระหว่างจุดเศรษฐกิจ เพื่อดึงดูดให้คนเดนและช้อปไปด้วย
ทางเลื่อนติดตั้งระหว่างgate ในอาคารผู้โดยสารสนามบิน
ฯลฯ
ผู้บริหารต้องมองอัตราการคน/พื้นที่สำคัญ ตลอดเวลา และใส่วิธีการขนคนเข้าไปเพื่อลดการแออัด
ต้องหาวิธีการใหม่ ๆ มาใช้อย่างถูกที่ถูกเวลา ไม่ใช่ดักดานอยู่กับวัตถุโบราณ ครับ
เราบังคับคนไปขึ้นรถเมล์ไม่ได้ครับ แต่เมื่อไหร่ที่เราวางสมการ รถไฟฟ้า รถเมล์ แท็กซี่ มอเตอร์ไซค์ ทางเดิน/ทางเลื่อน ได้เหมาะสม คนเห็นว่ารถเมล์ตอบโจทย์ และหันไปใช้รถเมล์ครับ
Scenario ผมเดินทางจากสำเหร่ (ประเทศไทย) ไป Unterhacking (เยอรมนี) ผมเลือกพาหนะดังนี้ครับ
-นั่งแท็กซี่ไปขึ้น bts สถานีวงเวียนใหญ่ (ไม่ขึ้นรถเมล์เพราะมาเวลาไม่แน่นอน และรถอาจแน่นไม่มีที่ให้วางกระเป๋า)
-ลง bts สถานีพญาไท ไปขึ้น แอร์พอร์ตลิ้ง มุ่งสู่สุวรรณภูมิ
-นั่งไทยแอร์เวย์ไปลงมิวนิค (ไดเร็คไฟล์ท)
-นั่งรถไฟฟ้า U-Bahn อีกสองสายไปลง Unterhacking
-ขึ้นรถเมล์ไปลงป้ายใกล้อพาตเม้นต์ ลากกระเป๋าไปอีกห้าสิบเมตรขึ้นห้องพัก (ขึ้นรถเมล์เพราะตรงเวลา และมีที่ว่างเสมอ)
ที่เยอรมัน ผมไม่เรียกแท็กซี่ และไม่ขับรถยนต์ส่วนตัว เพราะมันสบายมากกกกกกกกกกก
การเปรียบเทียบระหว่างรถเมล์-รถยนต์ส่วนบุคคล นั่นรถเมล์ชนะโดยไม่ต้องพิสูจน์อยู่แล้วครับ (มีนักวิชาการเขาวิจัยไว้แล้ว เราไม่ต้องไปค้นพบ wheel ใหม่ครับ)
อย่างไรก็ตาม
การแก้ปัญาจราจร ต้องมององค์รวมของการจราจร + ทัศนคติและวินัยของผู้ใช้รถใช้ถนนด้วยครับ
ปัญหาการขนคนจากที่หนึ่งไปยังที่หนึ่งเป็นปัญหาด้าน transportation ที่มีการขบคิดกันมานานแล้วและมีข้อสรุปที่ค่อนข้างดี สามารถนำไปใช้ได้ดีในเมืองใหญ่ของประเทศพัฒนาแล้ว
การขนคนไปมาในเมืองใหญ่ อย่ามองมิติเดียวแค่ขนผ่านสี่แยก เพราะยังมีทางเลือกอีกมาก เช่น ทางราง ทางน้ำ และทางเท้า
หากไปนั่งสังเกตการณ์ ณ เมืองหลวงแห่งหนึ่ง แล้วจะเห็นซีนาริโอแปลก ๆ
ถนนกว้างมาก น่าขับรถเล่นด้วยความเร็ว 200 km/h สักพักมีมนุษย์โผล่จากรู(รถไฟใต้ติน)มาเป็นหมื่น เดินข้ามถนน ปรากฎว่า ณ แยกนั้น ปริมาณคนมากกว่ารถ สักพักคนนนับหมื่นหายไป เหลือเพียงหลักร้อย ครึ่งหนึ่งทยอยขึ้นลงรถประจำทาง ที่ทยอยจอดและออกไปโดยไม่มีการติดขัด ส่วนที่เหลือเดินไป ณ จุดหมายบริเวณนั้น เลยออกไปดูที่เลนสองเลนสาม มีรถยนต์ส่วนบุคคลแล่นประปราย มีการชะงักบ้างตามจังหวะไฟจราจร ซึ่งไม่เคยต้องหยุดนานเกินกว่า 70 วิ พอได้ไฟเขียว รถที่วิ่งเร็วสุดไม่เกิน 50 km/h
คิดอะไรจากภาพที่เห็น
-รถไฟฟ้า/รถใต้ดิน เป็นการขนส่งทางราง ไม่มีการตัดกับถนน จึงไม่ต้องรอจังหวะกับรถยนต์/รถเมล์ ขนคนไปได้ปริมาณหลักพัน-หลักหมื่น/นาที
-รถเมล์/รถราง วิ่งบนถนน ขนคนไปได้หลักสิบ-ร้อย/นาที แต่ต้องรอจังหวะกับรถยนต์ส่วนบุคคล/รถบรรทุก/คนข้ามถนน
-เรือ วิ่งไปในแม่น้ำ ขนคนไปได้หลักร้อย-พัน/ครั้ง อาจแล่นไม่เร็ว แต่ข้ามฝั่งได้เร็วกว่ารถยนต์แน่นอน
-รถบรรทุกหายไปจากสมการ เพราะสินค้าถูกส่งทางราง ทางน้ำแทน
-คนเดินถนน ข้ามทางม้าลายตามจังหวะจราจร หรือข้ามทางลอย หรือทางลอด ไม่มีวิ่งตัดเลน
-ไม่มีมอเตอร์ไซค์วิ่งย้อนศร วิ่งบนทางม้าลาย วิ่งเลนขวา
-ไม่มีรถเข็น แผงลอยล้ำถนน
ต้องขอโทษที่ อ้อมประเด็นไปไกล
การแก้ปัญหาโครงสร้าง คือ มองภาพให้เป็นภาพรวม
เครื่องบินขนคนระหว่างประเทศ/เมืองที่อยู่ไกลมาก ๆ
รถไฟขนคนระหว่างเมือง
รถไฟฟ้าคนขนระหว่าง จุดสำคัญ ๆ ในการท่องเที่ยว/เศรษฐกิจ
รถเมล์เสริมส่วนที่รถไฟฟ้าไปไม่ถึง
เรือเสริมในส่วนที่รถยนต์ไปไม่สะดวก
มอเตอร์ไซค์/ตุ๊ก ๆ รถตู้ เสริมส่วนที่รถเมล์ไปไม่ถึง
ทางเดินติดแอร์เสริมระหว่างจุดเศรษฐกิจ เพื่อดึงดูดให้คนเดนและช้อปไปด้วย
ทางเลื่อนติดตั้งระหว่างgate ในอาคารผู้โดยสารสนามบิน
ฯลฯ
ผู้บริหารต้องมองอัตราการคน/พื้นที่สำคัญ ตลอดเวลา และใส่วิธีการขนคนเข้าไปเพื่อลดการแออัด
ต้องหาวิธีการใหม่ ๆ มาใช้อย่างถูกที่ถูกเวลา ไม่ใช่ดักดานอยู่กับวัตถุโบราณ ครับ
เราบังคับคนไปขึ้นรถเมล์ไม่ได้ครับ แต่เมื่อไหร่ที่เราวางสมการ รถไฟฟ้า รถเมล์ แท็กซี่ มอเตอร์ไซค์ ทางเดิน/ทางเลื่อน ได้เหมาะสม คนเห็นว่ารถเมล์ตอบโจทย์ และหันไปใช้รถเมล์ครับ
Scenario ผมเดินทางจากสำเหร่ (ประเทศไทย) ไป Unterhacking (เยอรมนี) ผมเลือกพาหนะดังนี้ครับ
-นั่งแท็กซี่ไปขึ้น bts สถานีวงเวียนใหญ่ (ไม่ขึ้นรถเมล์เพราะมาเวลาไม่แน่นอน และรถอาจแน่นไม่มีที่ให้วางกระเป๋า)
-ลง bts สถานีพญาไท ไปขึ้น แอร์พอร์ตลิ้ง มุ่งสู่สุวรรณภูมิ
-นั่งไทยแอร์เวย์ไปลงมิวนิค (ไดเร็คไฟล์ท)
-นั่งรถไฟฟ้า U-Bahn อีกสองสายไปลง Unterhacking
-ขึ้นรถเมล์ไปลงป้ายใกล้อพาตเม้นต์ ลากกระเป๋าไปอีกห้าสิบเมตรขึ้นห้องพัก (ขึ้นรถเมล์เพราะตรงเวลา และมีที่ว่างเสมอ)
ที่เยอรมัน ผมไม่เรียกแท็กซี่ และไม่ขับรถยนต์ส่วนตัว เพราะมันสบายมากกกกกกกกกกก
แสดงความคิดเห็น
คุณ (รัฐและราษฎร์) คิดว่าวิธีแก้ปัญหารถติด โดยใช้รถเมล์ ในวีดีโอนี้ มีค่าประมาณเท่าไหร่ ?
เรื่องบางเรื่องไม่สามารถใช้เสียงส่วนใหญ่มาตัดสินถูกผิดได้ เช่น
ถ้าเมื่อ 5 ปีก่อน ถามว่า GT 200 สามารถตรวจหาวัตถุระเบิด และ ยาเสพติด ได้ตามโฆษณา หรือไม่ ?
ไม่ว่าจะถามใคร (ศ. หรือ ดร. หรือนักวิชาการ หรือชาวบ้านร้านตลาด และ รวมถึงตัวผมเองด้วย) ก็จะตอบว่า "ได้" เกือบ 100 % (ประมาณ 99.999999 %) เพราะแทบไม่มีใครเห็นแย้ง (ผ่านสื่ออย่างชัดเจน) อีกทั้งฝ่ายทหารก็บอกว่าใช้ได้ (ในภาคใต้)
แต่เมื่อ ดร. เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ (และ Geneticist PastelSalad จากหว้ากอ ในพันทิป ในปี 2552) พิสูจน์ ทดลองซ้ำแล้วซ้ำอีก (จนสิ้นสงใส) จนทุกคนหายโง่ (รวมทั้งตัวผมเองด้วย)
หมายเหตุ ผมลองค้นเรื่อง GT 200 ในพันทิป หัวข้อ GT 200 คนแรกที่รู้ว่ามันคืออุปกรณดัมมี่คือคุณPastelSalad
ดังนั้นถ้าปัจจุบันถามว่า GT 200 ใช้งานได้ตามโฆษณาหรือไม่ ? คำตอบที่ได้ (99.999999 %) ก็จะตอบว่า "ไม่ได้" อย่างแน่นอน
ดังนั้น คำตอบที่ถูก ต้องได้จากการพิสูจน์ และ ทดลอง ซ้ำแล้วซ้ำอีก จนสิ้นสงใส (ตามหลักวิทยาศาสตร์) ไม่ใช่ได้จากเสียงส่วนใหญ่ (เสียงส่วนน้อย ไม่ว่าจะเป็น 1 ใน 100 หรือ 1 ใน 1000000 ถ้ามันถูก มันก็ต้องถูก)
สรุป คนส่วนใหญ่จะเชื่อ ในสิ่งที่สังคมส่วนใหญ่ และนักวิชาการเชื่อ แต่เมื่อมีการแก้ไข และพิสูจน์ (ตามหลักวิทยาศาสตร์) ที่ผ่านการทดลองอย่างถูกต้องแล้ว ก็สามารถเปลี่ยนความเชื่อเดิมได้
สรุป ถ้าคนในหว้ากอ เห็นว่า วิธีในวีดีโอนี้ดี
โปรดช่วยทำแบบเดียวกับที่พวกท่านพิสูจน์เรื่อง GT 200 กับวิธีของผมบ้าง (การใช้รถเมล์แก้ปัญหาจราจรแบบในวีดีโอนี้)
เพื่อให้คนส่วนใหญ่ เปลี่ยนใจมาเชื่อว่าการใช้รถเมล์แก้ปัญหาจราจร (แบบในวีดีโอนี้) สามารถแก้ปัญหาจราจรได้จริงๆ (โดยการพิสูจน์ตามหลักวิทยาศาสตร์) ที่พวกท่านชำนาญ
ผมเขียนเรื่อง การใช้รถเมล์ แก้ปัญหาจราจร (แบบในวีดีโอนี้) ในกระทู้ของ พันทิป มาประมาณเกือบ 3 เดือนแล้ว เขียนมานับ 10 หัวข้อ (ดูย้อนหลังได้) ปรากฎว่า มีคนเห็นด้วยน้อยมาก แต่ผมไม่ได้วัดความถูกผิดด้วยเสียงส่วนใหญ่ (ทำนองเดียวกับกรณี GT 200)
รถเมล์ (เปรียบเหมือนซุปเปอร์แมน) เป็นรถที่สามารถขนคนผ่านสี่แยกได้เร็วและมากกว่ารถเก๋ง (เปรียบเหมือนโจร) มากกว่า 10 เท่า แต่รถเมล์ (ซุปเปอร์แมน) ในปัจจุบันมันวิ่งได้ช้ากว่ารถเก๋ง (โจร) มากๆ เพราะรถเมล์มีหน้าที่จะต้องรับส่งผู้โดยสารด้วย
ดังนั้น ซุปเปอร์แมน (รถเมล์) ในปัจจุบัน จึงเป็นเหมือน ซุปเปอร์แมนที่ถูกมัดมือมัดเท้าอยู่ ไม่สามารถช่วยใครได้ แม้แต่ตัวเองยังเอาตัวแทบไม่รอด ถึงขนาดหลายๆ คนพูดว่า
รถเมล์ คือ ตัวก่อปัญหาจราจร วิ่งเกะกะ ปาดซ้ายปาดขวา ก่อปัญหารถติด
โอ้ ! ซุปเปอร์แมนของเรา กำลังกลายเป็นพวกเดียวกับโจร (รถเก๋ง) ไปแล้วหรือนี่ ?
ดังนั้น ถ้า กทม. ใช้วิธีในวีดีโอนี้ จะทำให้รถเมล์สามารถวิ่งได้ประมาณ 20 - 25 กม. / ชม. / ในเวลาเร่งด่วน (วิ่งเร็วขึ้น 2 - 3 เท่าตัว) หรือเท่ากับเป็นการแก้เชือกที่มัดมือมัดเท่าซุปเปอร์แมน จึงทำให้ซุปเปอร์แมนสามารถ ปราบโจร (รถเก๋ง) ได้อย่างราบคาบ
หมายเหตุ รถเมล์ในปัจจุบันวิ่งได้ประมาณ 8 - 15 กม. / ชม. / ในเวลาเร่งด่วน
หมายเหตุ รถเมล์ คือผู้แก้ปัญหาจราจร (ซุปเปอร์แมนในแง่จราจร) รถเก๋ง คือผู้ก่อปัญหาจราจร (โจรในแง่จราจร)
เนื่องจากผมคิดว่า วิธีในวีดีโอนี้ มีค่ามหาศาล เปรียบหมือนเพชรเม็ดเท่ามะพร้าว (มูลค่าหลายแสนล้าน) แต่บางท่านบอกว่ามันเป็นก้อนหิน
ดังนั้น ผมจึงนำเพชรก้อนนี้ ให้ท่านช่วยดูว่า เป็นเพชร หรือ ก้อนหิน กันแน่น
ประโยชน์ เชื่อว่าจะทำให้ไม่ต้องสร้างสิ่งเหล่านี้เพิ่มจากปัจจุบัน คือ (เป็นเงินหลายแสนล้าน เทียบกับ GT 200 เป็นเงินพันกว่าล้าน)
1. ไม่ต้องสร้าง (ตัด) หรือขยายถนนในกทม. เพิ่ม
2. ไม่ต้องสร้าง ทางด่วน ทางพิเศษในกทม. เพิ่ม
3. ไม่ต้องสร้าง ทางข้าม ทางลอดสี่แยกในกทม. เพิ่ม
4. ไม่ต้องสร้าง รถไฟฟ้าในกทม. เพิ่ม
5. ไม่ต้องสร้าง สะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา เพิ่ม
6. ประโยชน์อื่นๆ เช่นเป็นช่องใช้สำหรับรถพยาบาล เป็นต้น
7. ประโยชน์ ในแง่การท่องเที่ยว ในแง่เศรษฐิจ ในแง่สุขภาพจิต ในแง่มลภาวะ
8. ประโยชน์สำหรับประเทศอื่นๆ
หมายเหตุ วิธีในวีดีโอนี้ สามารถทำได้ในหลายๆประเทศ ที่เป็นเมืองใหญ่ๆ (ทำนองเดียวกับ กทม.) เช่น เกาหลี อินเดีย ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย เคนย่า ยูกันดา เป็นต้น
ถาม ทำไมไม่ลองทำวิธีในวีดีโอนี้ ที่ต่างจังหวัดก่อนหล่ะ ?
ตอบ ปัญหาจราจรในต่างจังหวัด เปรียบเหมือนเป็นไข้หวัดธรรมดา ใช้วิธีเหมือนในกทม. แบบปัจจุบัน (ใช้พารา) ก็หายแล้ว
ส่วนปัญหาจราจรในกทม. เปรียบเหมือนเป็นมะเร็ง วิธีในวีดีโอนี้ เป็นเหมือนการผ่าตัด จึงเป็นการรักษาที่ถูกโรค (ถูกที่ถูกเวลา)
และ ผมขอเชิญ ใครก็ได้ ที่เห็นต่างกับวิธีในวีดีโอ และข้อเขียนที่เกี่ยวกับรถเมล์ ใน "รู้ไว้ใช่ว่า" นี้ หรือโทร 0906925132 ก็ได้ ไม่ว่าท่านจะเป็นใคร ศ. ดร. หรือ กทม. หรือ รัฐ หรือ ใครก็ได้ และ ที่ไหน ก็ได้ ที่พันทิปนี้ก็ได้ มาสู้ (ถกเถียง หรือแลกเปลี่ยนความเห็น) กัน ก็ได้
หรือถ้ามีทีวี ช่องไหน หรือสถานีวิทยุช่องใด หรือสื่อใดๆ ที่สนใจ ก็ได้ ผมพร้อมทุกกรณี ทุกที่ ทุกเวลา ทุกเงื่อนไข
หมายเหตุ ไม่เน้นเอาแพ้ เอาชนะ ใครแพ้ใครชนะก็ได้
แต่ถ้ามาช่วยกัน ผลักดันให้วิธีนี้ ให้ได้นำไปใช้ จะดีที่สุด (ใช้ประโยชน์ของชาติเป็นหลัก)
โดยมีเงื่อนไข (อย่างเดียว) ว่า จะต้องสู้ (ถกเถียง) กันโดยใช้หลักวิทยาศาสตร์
ไม่ใช่ใช้หลักโต้วาที (ใครปากดีกว่าเป็นฝ่ายชนะ) อย่างนี้ผมไม่เอาด้วย
ถาม แกเป็นใครมาจากไหน บังอาจมากๆ
บางคนเขาสงใส ซึ่งผมเคยบอกมาแล้ว ในกระทู้เก่าๆ ที่ผ่านมา เรื่องเกี่ยวกับรถเมล์ ของ รู้ไว้ใช่ว่า
ตอบ ผมจบ ม. 3 เกรดประมาณ 1.5 นับถือศาสนา วิทยาศาสตร์ (บอกอีกครั้ง)
รถเมล์ขนคน 70 คนผ่านสี่แยกใช้เวลา 6 วินาที / 1 เลน ใช้รถเมล์ 1 คัน ขนคน 70 คน (6 วินาที ปล่อยรถเมล์ได้ 1 คัน)
รถเก๋งขนคน 70 คนผ่านสี่แยกใช้เวลา 70 วินาที / 1 เลน ใช้รถเก๋ง 35 คัน ขนคน 70 คน (2 วินาที ปล่อยรถเก๋งได้ 1 คัน)
ทำให้รถเมล์ (ตามวิธีใหม่นี้) ประมาณ 7000 คันวิ่งได้ 20 - 25 กม. / ชม. / ในเวลาเร่งด่วน
การใช้รถเมล์ คือ การขนคนผ่านสี่แยก
การใช้รถเก๋ง คือ การขนรถผ่านสี่แยก สิ้นแปลืองทั้งเวลา (มากกว่า 10 เท่า) และพื้นผิวจราจร (มากกว่า 10 เท่า)
สาเหตุที่ทำให้รถเมล์ในวิธีใหม่ในวีดีโอนี้วิ่งได้เร็วกว่ารถเมล์ในปัจจุบัน
1. การปล่อยรถเมล์ทั้ง 4 แยก (ทีละ 1 แยก) สลับกับ การปล่อยรถเก๋ง 1 แยก (ประมาณ 1 นาที) ดูในวีดีโอ
2. การกำหนดให้รถเมล์มีช่องบัสเลน และ มีสัญญาณไฟสำหรับรถเก๋ง และ สัญญาณไฟสำหรับรถเมล์ และมีช่องสลับปล่อย (ดูในวีดีโอ)
3. การให้มีป้ายรถเมล์ เว้าเข้ามาในฟุตบาท (ดูในรัฐอยากแปรรูปยาง)
4. ถ้าเป็นถนนที่มีเลนมากๆ อาจให้ช่องบัสเลนมี 2 เลน ก็ได้ เป็นต้น
ถ้ารถเมล์ 7000 คัน วิ่งได้เร็วเพิ่มขึ้น 2 - 3 เท่าตัว นั้นหมายความว่า สามารถขนคนผ่านสี่แยกได้มากขึ้น 2 - 3 เท่าตัวเช่นกัน และจากที่เคยวิ่ง 1 ชม. / รอบ ก็จะวิ่งได้รอบเพิ่มเป็น 1 ช.ม. / 2 - 3 รอบ (ในเวลาเร่งด่วน) เช่นกัน
จะทำให้ผู้ใช้รถเก๋งเปลี่ยนมาใช้รถเมล์เพิ่มขึ้น ท้ายแถวรถติดก็จะหดสั้นลงมากๆ
ถาม เน้นปล่อยรถเมล์มากๆ รถอื่นๆไม่ต้องติดแย่หรือ ?
ตอบ วิธีนี้ เน้นให้รถรถเมล์ต้องวิ่งได้เร็วมากๆ ส่วนรถเก๋ง และแท็กซี่ จะต้องเสียสละกินยาขม (ถ้าไม่รีบ หรือจำเป็นต้องใช้รถเก๋งจริงๆ ก็ใช้รถเก๋งต่อไป) แต่ถ้ารีบให้เปลี่ยนมาใช้รถเมล์ (นี่คือหัวใจหลัก ห้ามวอกแวก) ถ้าสงสารรถเก๋ง จะแก้ไม่ได้เลย (ถ้าสงสารคนไข้ ไม่กล้าให้กินยาขม แล้วมันจะหายป่วยหรือ)
ทำนองเดียวกับการสร้างรถไฟฟ้า ถ้าไม่ปิดถนนเลย (ไม่ยอมกินยาขมเลย) จะสร้างได้หรือไม่ ?
ปัญหารถติดในปัจจุบัน เกิดจากในอดีต รัฐปล่อยปะ ให้รถเมล์วิ่งได้ช้า ทำให้ผู้ใช้รถเมล์เปลี่ยนมาใช้รถเก๋งมากมหาศาล
ถ้าปัจจุบันยอมลำบาก จะสบายในอนาคต)
วิธีนี้จะทำให้รถเมล์วิ่งได้เร็ว กว่ารถเก๋งมากๆ เพื่อทำให้ผู้ใช้รถเก๋งจำนวนมาก จะยอมเปลี่ยนมาใช้รถเมล์ (โดยไม่ต้องบังคับ) ทันที หรืออาจจะเรียกว่า บีบแต่ไม่บังคับ ท้ายแถวของรถติดก็จะหดสั้นลงทันที
ดังนั้น รถเมล์ตามวิธีนี้จะวิ่งได้ประมาณ 20 - 25 กม. / ชม. (ความเร็วเฉลี่ยในเวลาเร่งด่วน) ส่วนรถเก๋งจะวิ่งได้ประมาณ 12 กม. / ชม. (ความเร็วเฉลี่ยในเวลาเร่งด่วน) รถเมล์วิ่งเร็วขึ้นมากๆ ส่วนรถเก๋ง จะวิ่งได้ช้า (เท่าปัจจุบัน)
สรุป ปัญหารถติดเกิดจาก
1. ผิวจราจรไม่เพียงพอ ถนนในประเทศที่เจริญแล้วจะมีพื้นที่ถนนประมาณ 25% ของพื้นที่ทั้งหมด แต่กทม. เรามี 9% กว่าๆ ทำให้ผิวจราจรไม่เพียงพอ (ทำให้ท้ายแถวรถติดยาวเหยียด)
2. รถติดที่สี่แยก สี่แยก มีรถมาจากสี่ทิศทาง แต่ปล่อยได้เพียงครั้งละ 1 ทิศทาง จึงทำให้ท้ายแถวรถติดยาวเหยียด
แต่รถเมล์ ใช้ผิวจราจรน้อยกว่ารถเก๋ง 10 กว่าเท่า ขนคนผ่านสี่แยกมาก (เร็ว) กว่ารถเก๋ง 10 กว่าเท่า (ดังที่กล่าวในวีดีโอ)
GT 200
ใช้หลัก หลักวิทยาศาสตร์ ซึ่งทุกฝ่าย (ทั้งรถเก๋ง และรถเมล์) น่าจะยอมรับกันได้ ทำนองเดียวกับกรณี GT 200 ที่ใช้หลักวิทยาศาสตร์ (โดยการพิสูจน์ และทดลอง ซ้ำแล้วซ้ำอีก) จนสิ้นสงใส
แทนการใช้หลักโต้วาที (ใส่ร้ายป้ายสี) ใครปากดีกว่าชนะ ซึ่งเป็นวิธีที่ผิด เพราะถ้าฝ่ายรถเก๋งพูดเก่งกว่า ก็จะชนะไป แต่ถ้าใช้หลักคณิตศาสตร์ และหลักวิทยาศาตร์ (โดยการพิสูจน์ และทดลอง ซ้ำแล้วซ้ำอีก) จนสิ้นสงใส ฝ่ายรถเมล์ ก็จะเป็นฝ่ายชนะอย่างแน่นอน
เช่น
นำคน 70 คน (ยืน 35 นั่ง 35 คน) ขึ้นไปบนรถเมล์ จอดรอไฟแดง แล้วปล่อยออก แล้วจับเวลา ว่าใช่เวลา 6 วินาทีจริงหรือไม่ (ลองหลายๆรอบ ซ้ำแล้วซ้ำอีก) จนสิ้นสงใส
จากนั้น นำคน 70 คน ขึ้นไปบนรถเก๋ง (2 คน / 1 คัน) จำนวน 35 คัน จอดรอไฟแดง แล้วปล่อยออก (เช่นเดียวกับรถเมล์) แล้วจับเวลา ว่ารถเก๋ง 35 คัน ใช่เวลา 70 วินาทีจริงหรือไม่ (หลายๆรอบ ซ้ำแล้วซ้ำอีก) จนสิ้นสงใส
จากนั้น วัดว่า รถเมล์ใช้ผิวจราจร 12 ม. ขนคนได้ 70 คน / 1 เลน จริงหรือไม่ ?
จากนั้น วัดว่า รถเก๋ง 35 คันนี้ ใช้ผิวจราจร 192 ม. ขนคนได้ 70 คน / 1 เลน จริงหรือไม่ ?
โดยลองแล้วลองอีก จนสิ้นสงใส อย่าพูดอย่าคุยกันให้มากมายนัก ไม่เช่นนั้น คนปากดีกว่า ก็จะชนะไป
จากนั้น ให้นำรถเก๋งออกจากช่องบัสเลนให้หมด แล้วให้รถเมล์มาวิ่ง ในเวลาเร่งด่วน ในช่องบัสเลนนี้ (ให้รับส่งผู้โดยสารตามปรกติ) แล้วจับเวลาดูว่า จะสามารถวิ่งได้ 20 - 25 กม. / ชม. ในเวลาเร่งด่วน (จริงหรือไม่) โดยลองแล้วลองอีกจนสิ้นสงใส
จากนั้นให้ลองดูว่า เมื่อรถเมล์วิ่งได้เร็วกว่ารถเก๋งมากๆ แล้วจะมีคนมาใช้รถเมล์เพิ่มมากขึ้น จริงหรือไม่ และเพิ่มเท่าไหร่ ? จด และบันทึก (ลองแล้วลองอีก จนสิ้นสงใส)
หมายเหตุ จำนวนผู้ใช้รถเมล์ที่เพิ่มขึ้นนี้ คือ จำนวนรถเก๋งที่ลดลง ดังนั้น ตัวเลขนี้ จึงเป็นตัวตัดสินว่าวิธีนี้ดีจริงหรือไม่
แทนการโต้วาที
ประสิทธิ์ รจิตรังสรรค์ โทร 0906925132