Snap #บางคนผ่านมาแต่ไม่เคยผ่านไป (Spoil)

นี่คือหนังที่ผมชอบมากที่สุดในปี 2558

ระหว่างนั่งรอที่จะเข้าไปชมหนังเรื่องนี้ ผมได้นั่งนึกดูว่า ผมเคยชมผลงานของคุณคงเดช เรื่องอะไรมาแล้วบ้าง ซึ่งก็น่าตกใจเหมือนกัน เพราะถ้านับหนังยาวแล้ว ผมเคยดูผลงานของเค้ามาทุกเรื่อง ตั้งแต่ สยิว เฉิ่ม กอด แต่เพียงผู้เดียว ตั้งวง และขนาดหนังสารคดีอย่าง เอวัง ก็ยังเคยดูเลย และก็บอกได้เลยว่า ผมชอบผลงานของคุณคงเดชทุกเรื่อง

ตั้งแต่เราเห็นหน้าหนังและรู้เรื่องย่อของ Snap เราตื่นเต้นมาก เพราะหนังมันดูธรรมดาสุดๆ เมื่อเทียบกับผลงานเก่าๆของเค้า เราเลยตื่นเต้นว่า เราจะได้เห็นหนังที่ดูเหมือนจะธรรมดาในสไตล์คุณคงเดช อยากรู้ว่ามันจะออกมาเป็นยังไง และพอดูจบ เราก็ไม่ผิดหวังเลยจริงๆ มันพาเราไปไกลกว่าที่เราคาดหวังไว้เยอะมาก

ผมรู้สึกว่า Snap ค่อนข้างมีความแตกต่างจากผลงานเก่าๆของคุณคงเดชอยู่พอสมควร ผมว่า Snap เล่าเรื่องธรรมดาได้สมจริงมากๆ และเป็นการเล่าความรู้สึกผ่านการแสดงของตัวละคร

การเล่าเรื่องใน Snap แม้จะมีการเล่าด้วยภาพในหลายๆฉาก แต่ก็ไม่ได้ยากในการจะทำความเข้าใจกับมัน ที่ผมชอบมาก คือ หนังเล่าเรื่องในเหตุการณ์ปัจจุบัน แต่ผมกลับเห็นภาพในอดีตได้ตลอดทั้งเรื่อง มันน่าแปลกใจมาก เพราะถ้าดูจริงๆแล้ว ในหนังจะมีซีนในอดีตแค่ตอนจบของเรื่องเท่านั้น แต่ผมกลับเห็นภาพในอดีตมาตลอดทั้งเรื่อง แม้จะไม่มีภาพให้เห็นเลยก็ตาม

ดนตรีประกอบและเพลงประกอบ ก็เป็นสิ่งที่ผมชอบมาก มันทำให้อินมากขึ้น เมื่อเพลงในอดีตถูกเปิดขึ้น เหมือนมันพาความรู้สึกเรากลับไปในอดีตไปด้วย เราเลยอินไปกับกลุ่มตัวละครในเรื่องได้ง่ายขึ้น

พาร์ทการแสดงสำหรับผม คือ สุดยอดที่สุดของหนังเรื่องนี้ หนังที่เน้นการสื่อสารด้านอารมณ์ผ่านภาษากาย และการผ่านคำพูดแบบอ้อมๆ ไม่ได้สื่อสารตรงๆ หากไม่ได้การแสดงที่ดีแล้ว หนังจะไม่สามารถพาเราไปถึงในจุดที่ต้องการได้ แม้จะมีบทที่แข็งแรงช่วยสนับสนุนแค่ไหนก็ตาม

นี่เป็นหนังน้อยเรื่องที่ผมชอบการแสดงของตัวเอกชายและหญิงเท่าๆกันเลย ผมค่อนข้างแปลกใจที่เห็นโทนี่ รากแก่น แสดงได้ดีขนาดนี้ เรียกว่าเอาอยู่ทุกซีน และบทที่ต้องเล่นผ่านทางสีหน้า แววตา การกระทำ และผ่านคำพูดแบบอ้อมๆ ผมว่ามันยากมากๆ แต่เค้าก็สื่อสารได้ดีมาก เรารับรู้ความรู้สึกในทุกซีนของเค้าเลย

และจะไม่พูดถึงการแสดงของน้องอิ้งค์ วรันธร คงจะไม่ได้ เราเห็นว่ามีตัวละครผึ้งอยู่จริงๆ เธอเล่นได้ธรรมชาติสุดๆ การกระทำ คำพูด มันจริงมากๆ มีหลายฉากมากๆที่ผมชอบการแสดงของเธอ เธอเล่นได้ละเอียดสุดๆ แม้ว่าในปีนี้ผมจะประทับใจสุดยอดการแสดงของใหม่ ดาวิกา จาก ฟรีแลนซ์ มากๆมาแล้วก็ตาม และคิดว่าคงไม่มีใครที่จะทำได้ดีกว่าใหม่ ดาวิกา อีกแล้ว แต่ตอนนี้สุดยอดการแสดงของดารานำหญิงของปี ผมยกให้น้องอิ้งค์ไปเรียบร้อยแล้ว

บทหนังคืออีกความยอดเยี่ยมของหนังเรื่องนี้ ตัวละครมีแบ็คกราวน์ที่แข็งแกร่งมาก และตลอดทั้งเรื่อง ตัวละครไม่หลุดออกจากคาแรคเตอร์เลย การกระทำและการตัดสินใจต่างๆของตัวละครก็สมเหตุสมผล สมจริงมากๆ

ฉากที่ผมชอบในหนังเรื่องนี้ ผมแทบจะเลือกไม่ถูกเลย เพราะชอบทุกฉากจริงๆ แต่ถ้าต้องเลือก ผมชอบฉากที่ผึ้งโทรหาบอยตอนต้นเรื่อง มันเรียลมากๆ บทที่ตัวละครพูดมันใช่เลย มันต้องพูดแบบนั้น และการแสดงของน้องอิ้งค์และโทนี่ ก็ทำได้ยอดเยี่ยมมากๆ ทั้งที่เป็นฉากที่คุยผ่านทางโทรศัพท์ ไม่ได้เล่นแบบเข้าซีนด้วยกันจริงๆ แต่มันทำให้เราเชื่อจริงๆว่าทั้ง 2 กำลังคุยโทรศัพท์กันอยู่ และซีนนี้มันเล่าคาแรคเตอร์ของทั้ง 2 คนได้ดีมากอีกด้วย

และอีกซีนที่ผมชอบมากคือ ฉากที่ถ่ายรูปกันในงานแต่งงานของผึ้งกับกลุ่มเพื่อนเก่า ผมชอบตั้งแต่ตอนที่พวกเค้าเริ่มถ่ายภาพแล้วลากยาวไปจนถึงตอนที่ผึ้งร้องไห้ น้องอิ้งค์เล่นได้สุดยอดมากในฉากนี้ เราเห็นสีหน้าและแววตาที่ค่อยๆเปลี่ยนแปลงของเธอ จนไปถึงจุดที่เธอกลั้นมันไว้ไม่อยู่ จนเธอร้องไห้ ผมน้ำตาซึมในฉากนี้ทั้ง 2 รอบที่ดูเลย

ผมไม่ขอพูดประเด็นฉากหลังและนัยยะทางการเมือง เพราะผมไม่ได้มีความรู้ด้านนี้และไม่ได้สนใจในเรื่องนี้ด้วย

"นี่มันเพิ่งผ่านมา 8 ปีเองเหรอวะ ทำไมกรูรู้สึกเหมือนมันนานกว่านั้นเลยวะ"
แม้ว่าเวลาจะผ่านมานานถึง 8 ปีแล้ว แต่ผึ้งยังไม่เคยลืมอดีตของเธอกับบอยได้เลย และเป็นสิ่งที่เธอค้างคาใจมาตลอด ว่าจริงๆแล้วเรื่องระหว่างเธอกับบอย คืออะไรกันแน่ แต่เธอไม่มีโอกาสที่จะได้รู้ วันที่บอยผิดสัญญาไม่ยอมมาถ่ายรูปให้ผึ้ง ผึ้งเองไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้น และเมื่อเวลามันหมุนให้กลับมาเจอกับบอยอีกครั้ง ความทรงจำและความรู้สึกก็ชัดเจนขึ้นมาอีกครั้ง และผึ้งก็ยังอยากรู้คำตอบนั้นมากๆ

หนังค่อยๆเฉลยความรู้สึกของบอย ตัวละครที่พูดน้อย แสดงออกทางการกระทำมากกว่าคำพูด
- ผึ้งเดินขึ้นไปบนด่านฟ้าโรงเรียน เพื่อหาโต๊ะตัวเดิมของเค้า ปรากฎว่าเจอบอยอยู่ที่นั่นเช่นกัน
- ผึ้งถามครูว่า ปลาตุ๊กแกของเธอหายไปไหน ครูบอกว่า มันถูกนำไปเลี้ยงที่พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำแล้ว ครูพูดต่ออีกว่า เมื่อเช้าเจ้าเพื่อนเธอที่เป็นตากล้องก็เพิ่งมาถามครูไป
- หนังสือรุ่นนอกจากจะไม่มีภาพผึ้งที่ย้ายโรงเรียนไปก่อนแล้ว ก็ไม่มีภาพบอยเช่นกัน เพื่อนๆบอกให้บอยเข้ามาถ่ายด้วยกัน แต่บอยก็ไม่ยอมเข้ามาถ่าย มันเลยกลายเป็นรูปจากจุดไข่ปลา ซึ่งมีแค่ 2 คนที่ไม่มีรูปจริง และจุดไข่ปลาก็เป็นไอเดียของบอย
- "นี่เธอไม่รู้สึกอะไรบ้างเหรอ ปลาของเราหายไปเลยนะ" "...รู้สึกดิ" นี่น่าจะเป็นคำตอบของบอยที่ตรงที่สุดในเรื่องละ
- รูปถ่ายที่บอยส่งมาให้ผึ้ง เป็นรูปที่บอยแอบถ่ายรูปผึ้ง ตอนที่ผึ้งไม่รู้ตัวสมัยเป็นนักเรียน
- ภาพปลาตุ๊กแกบนผนังห้องบอย

ภาพที่เราเห็น กับ ความรู้สึกที่แท้จริง มันอาจจะไม่เหมือนกัน หลายภาพใน IG ของผึ้งกับสิ่งที่เกิดขึ้นจริงมันอาจจะไม่ได้เป็นตามนั้น ภาพถ่ายใส่ฟิลเตอร์ยิ่งทำให้ภาพมันไม่จริง ภาพขนมหลายๆภาพที่เธอโพส เธอก็ไม่ได้ทานมันจริงๆ ภาพงานแต่งงานของผึ้งที่เราเห็นดูว่ามีความสุขมากมายนั้น แท้จริงแล้วใครจะรับรู้ความรู้สึกจริงๆของผึ้ง ว่าเธอรู้สึกยังไง

"ตั้ง 8 ปีแล้วอะ ทำไมยังรู้สึกว่าไปไม่ถึงไหนเลยวะ" ผมรู้สึกว่าผึ้งพยายามที่จะลืมความสัมพันธ์ของเค้ากับบอย แล้วเดินหน้าต่อไปกับแฟนของเธอ แต่เอาเข้าจริง เธอยังแทบลืมบอยไม่ได้เลย หลายครั้งหลายครา เราพยายามลืมเรื่องราวในอดีต ซึ่งบางครั้งเราคิดว่า เราลืมได้แล้ว แต่เมื่อเรากลับมาเจอเค้าคนนั้นอีกครั้ง กลับมาเจอสถานที่เดิมๆ กลับมาเจอภาพถ่ายรูปนั้น กลับมาเจอสิ่งของที่มีความหมาย กลับมาได้ยินเพลงของเราอีกครั้ง ความทรงจำและความรู้สึกก็กลับมาเปลี่ยนเป็นเหมือนในอดีตทันที ทั้งๆที่เรื่องราวมันก็ผ่านมานานมากแล้ว "ทำไมยังรู้สึกว่าไปไม่ถึงไหนเลยวะ"

ความทรงจำของเรา ผมเชื่อว่าพื้นที่ในความทรงจำของเรามีจำกัด และเราเลือกจำเฉพาะสิ่งที่เราให้ความสำคัญเท่านั้น เรื่องหลายๆอย่างในอดีต เราก็จำมันแทบไม่ได้เลย เพราะมันอาจจะไม่ใช่เรื่องที่เราให้ความสำคัญกับมัน ตัวละครอย่างนพจำไม่ได้ว่าเคยไปเที่ยวกับกลุ่มเพื่อนสมัยมัธยม ผึ้งเองก็จำไม่ได้ว่าเพลงบางเพลง เป็นเพลงของเพื่อนคู่ไหน แต่ผึ้งและบอยยังจำเรื่องราวระหว่างเค้าได้ดี เก้าอี้ตัวเดิม ปลาของเรา เพลงของเรา เหตุการณ์ในอดีตยังชัดเจนเสมอสำหรับเค้าทั้งคู่

"เวลาเจออะไรที่กรูอยากถ่ายอะนะ พอกรูหันไปคว้ากล้องจะกดชัตเตอร์ที่ไรแมร่งเหมือนกับ จังหวะนั้นแมร่งเลยไปแล้วว่ะ ไม่พอดีเหมือนของมะรึงเลยว่ะ"
"กรูว่ากรูก็ไม่พอดีนะ"
ผมชอบที่หนังพูดเรื่องจังหวะ ในชีวิตเราจังหวะเป็นสิ่งที่สำคัญมากๆ เหตุการณ์หลายๆอย่างในชีวิตต้องการจังหวะที่พอดี เร็วไปก็ไม่ดี ช้าไปก็ไม่ดี แต่ในความเป็นจริงหลายครั้ง เราก็ไม่อาจควบคุมจังหวะชีวิตให้ดำเนินไปอย่างที่เราต้องการได้ รูปที่ถ่ายในจังหวะที่พอดีสำหรับบางคน แต่สำหรับอีกคนอาจมองว่ารูปนั้นไม่สวยก็ได้ คนเราอาจจะชอบคนละจังหวะกัน มันคงจะดีไม่น้อย หากเราเจอคนที่ชอบและรู้สึกในจังหวะเดียวกัน แต่คงจะดีหากในเวลานั้นจังหวะชีวิตก็ดำเนินมาอยู่ในจังหวะเดียวกันพอดี

ผมชอบตอนจบของหนัง ทุกคนต้องก้าวเดินต่อไป ผึ้งเลือกที่จะแต่งงานกับพี่แมน พี่แมนไม่ได้ทำอะไรผิดเลย เราไม่รู้ว่าพี่แมนคือคนที่ผึ้งรู้สึกด้วยมากที่สุดหรือไม่ แต่พี่แมนก็เป็นคนหนึ่งที่ผึ้งรู้สึกเช่นกันและผึ้งก็เลือกคนในปัจจุบันของเธอ บอยเลือกเดินไปต่อกับปุ๊ก แฟนของเค้า เรารู้ว่าแม้บอยยังไม่ลืมความทรงจำกับผึ้ง แต่เค้าก็เลือกที่จะยอมรับและให้เกียรติกับปุ๊ก ปุ๊กปั่นจักรยานนำหน้าบอย บอยมองตามหลังด้วยรอยยิ้ม ...แค่ได้คิดถึง ก็เป็นสุขใจ

เราเชื่อว่า แม้ผึ้งและบอยจะเดินหน้าต่อไปได้แล้ว แต่ความทรงจำที่สวยงามของพวกเค้าจะไม่มีทางหายไปไหน พวกเค้าจะเก็บมันไว้ในพื้นที่ที่ลับที่สุดของความทรงจำ ตอนท้ายเรื่อง ไม่สำคัญว่าผึ้งจะลบรูปคู่ของเค้ากับบอยหรือไม่ เพราะเค้าเก็บภาพนั้นไว้ในใจและความทรงจำที่จะมีแต่พวกเค้าสองคนเท่านั้นที่จะสามารถเดินเข้าไปในพื้นที่ตรงนั้นได้

#บางคนผ่านมาแต่ไม่เคยผ่านไป...จริงๆ

https://www.facebook.com/MyOwnPrivateFilm/
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่