ก่อนอื่น เรื่องเรียนหนักนี้เฉพาะบางโรงเรียนหรือทุกโรงเรียนคะ นี่คิดมาตลอดว่า บางโรงเรียน เพราะ เพื่อนแถวบ้าน ตีแบตกัน เที่ยวกัน แต่เราทำการบ้าน
คือไม่ใช่ขยันนะคะ แต่ถ้าไม่ทำที่บ้าน ไปโรงเรียนแล้ว ลอกไม่ทันแน่นอน
คือ โรงเรียนเรามีคาบ 0-10 คาบ 10 จะมีเฉพาะ วันที่ คาบ 9 ถูกจองไปหมดแล้ว คือ มันกลายเป็นเรื่องปกติ ที่ว่า ไปโรงเรียน 6.00 น. กลับ 15.00 น.
แถมต้องมาเรียนวันเสาร์อีก 1 วัน คือ ตั้งแต่ 9.00 น.-15.30 น. (เป็นห้องเรียนพิเศษภาษาอังกฤษ) แล้วพอวันอาทิตย์ ก็จะมีครู พาไปเข้าค่าย ทัศนศึกษา เสริมความรู้ ส่วนใหญ่จะพาไป ต่างจังหวัด ต้องให้เด็กเหนื่อยกับการเรียนเพิ่ม (บางทีเสริมความรู้มันก็ดีนะคะ แต่ทุกครั้งที่ไป เด็กจ่ายเงินเอง แต่ถ้าใครไม่ไป ไม่ได้คะแนนค่ะ)
ครูบางคนที่สอนก็เคยถามว่า ไม่เหนื่อยหรอ? แต่ก็ยังสั่งการบ้านเพิ่ม แต่ครูบางคนก็เลื่อนให้ แต่ขนาดเลื่อนให้ ยังส่งไม่ทัน เพราะมันเยอะไปจริงๆ
แล้วครูบางคนที่ถามว่า เรียนแบบนี้ไม่เหนื่อยหรอ มักจะเป็นคนที่สั่งการบ้านเราเยอะที่สุด ส่วนใหญ่จะเป็นวิชา คณิต วิทย์ ภาษาไทย สังคมศึกษา ศิลปะ จีน
ขนาดครูสอนแนะแนว ก็ยังมีการบ้าน ให้หาข้อมูลทำรายงานนู้นนี่นั้น แต่ที่แปลกใจคือ ที่โรงเรียนงานยังเยอะขนาดนี้ แต่เพื่อนบางคนยังไปเรียนพิเศษอีก
เคยถามเพื่อนพวกนี้ว่าเรียนทำไม บางคนบอกว่า ครูในห้องสอนไม่รู้เรื่อง ครูกั๊กวิชา เรียนเพื่อเอาเทคนิคใหม่ แต่ที่เคยถามแล้วรู้สึกแย่มากที่สุดคือ
ทางครอบครัวให้มาเรียน มันคืออะไร ครอบครัวไม่เข้าใจเด็กเลยหรอคะ?!? บางคนครอบครัวอยากให้เป็นหมอ ถึงขั้นบังคับให้เรียนเฉพาะวิทย์-คณิต บางคนไปโรงเรียน 6.00 น. เพื่อทำการบ้านที่โรงเรียน กลับถึงบ้าน 3-4 ทุ่ม เพราะเรียนพิเศษ นอน เที่ยงคืน-ตี2 เพราะทำการบ้าน ตื่นตี5 เพื่อไปโรงเรียน
บางคนมาร.รสาย เลิกเรียนไปเรียนพิเศษต่อ วันศุกร์-อาทิตย์ นอนที่เรียนพิเศษ เรียนจนถึงตี2บ้าง บางคนเห็นแก่ตัว ถึงขนาดที่ว่า ยอมทิ้งเพื่อน ทิ้งทุกอย่าง เพราะเรื่องเรียน เห็นแก่ตัว เพื่อให้ตัวเองสบายที่สุดในการทำกิจกรรมห้อง เพราะเรียนหนัก แต่เรารู้สึกไม่ ok อ่ะ เพราะเราและเพื่อนที่ไม่ได้เรียนพิเศษต้องมาทำกิจกรรมห้อง ทำงานกลุ่ม ให้เพื่อนที่ไปเรียนพิเศษ รับความรู้เพิ่ม
สังคมสมัยนี้ต้องการสอนอะไรหรอคะ เรียนหนักเพื่ออนาคตที่ดี? แล้วประชากรในทุกวันนี้ คนเรียนจบ ป.โท ยังตกงานเลย ชีวิตนี้ถ้าแข่งขันมากไป มัน ok หรอคะ? ชีวิตมีความสุขกับการแข่งขันหรอคะ? สมัยก่อน พ่อแม่เคยเล่าว่า เรียนไม่หนักมาก ถ้าหนักสุดๆก็ทำ โครงงาน รายงาน เพราะไม่มีอินเทอร์เน็ตไว้สำหรับค้นหาข้อมูล แต่พอมาถึงปัจจุบัน เรียนหนักที่สุดมันไม่มีอ่ะค่ะ มันมีแต่ หนัก และหนักทั้งหมด ทั้งเขียนในสมุด รายงาน โครงงาน กิจกรรม ฯลฯ มันไม่มีที่สิ้นสุด ว่าอะไรหนักที่สุด บางคนบอกว่า เรียนหนักมันดีอย่างนึงคือ พอจบไป เจออะไรหนักๆเข้ามา จะได้แก้ไขได้ แต่อยากถามกลับไปว่า เราต้องใช้ชีวิตแบบนี้จริงๆหรอ แล้วเราจำเป็นด้วยหรอคะ ที่จะต้องมานั่งเรียนหนักๆ เพื่อนำความรู้แค่ไม่กี่อย่าง ไปใช้จริงๆ แต่ความจริงแล้วครูเขาสอนวงกว้างๆไว้ตอน ประถม-มัธยม แล้วค่อยๆเจาะไปเรื่อยๆ เพื่อหาสิ่งที่เราชอบจริงๆ มันก็ถูกนะค่ะ แต่...ถ้าจะสั่งการบ้าน เปลี่ยนเป็นกิจกรรมในห้อง ไม่ดีกว่าหรอค่ะ ได้คิด วิเคราะห์จริงๆ เพราะการบ้าน มันคือ มหกรรมการลอกกัน ลอกจากหนังสือ บางทีมันไม่เข้าหัวด้วยซ้ำ แค่ผ่านๆมา เพื่อให้เสร็จ แต่ถ้าทำกิจกรรม มันดูมีความสนุกสนาน มีความรู้แฝง แล้วมันทำให้เราจำมากกว่าการทำการบ้านด้วยซ้ำ ทำไมไม่มีใครคิดแล้วทำอ่ะ ความจริงประเทศเรา ควรพัฒนาเรื่องการศึกษาให้ดีกว่านี้ ไม่ใช่เรื่องการเรียนเพิ่มนะ แต่เป็นการจัดการ ให้เด็ก เยาวชน มีความรู้ โดยที่ไม่พึ่งหนังสือ ไม่เครียด โดยการทำกิจกรรมต่างหาก แต่กิจกรรม ก็ไม่ใช่ว่าจะให้เล่นเกมอย่างเดียว แต่รวมไปถึง การทำแบบฝึกหัด ในห้องเรียน แล้วเมื่อไม่เข้าใจก็ถาม มันจะดีกว่าการทำการบ้าน ที่ไม่ได้เข้าหัวสักนิด
เพื่อนของเราเข้าพบจิตแพทย์หลายคนแล้วนะ เพราะเครียดเรื่องเรียนเนี่ยแหละ ส่วนบางคนที่ไม่ได้ไป ไม่ใช่ว่าจะปกติทุกคน บางคนที่ไม่ได้ไป เพราะไม่มีเวลาว่างเลย หรือ พ่อแม่อาจจะไม่เข้าใจ เราอยากให้ครู ครอบครัวของเด็กทุกคนเข้าใจบ้าง ไม่ใช่ว่าเข้าใจแล้วก็ยังทำอยู่นะ หมายถึง เข้าใจ แล้วแก้ไขอ่ะ คือ เข้าใจว่า ครูทุกท่าน ครอบครัวทุกบ้าน มีวิธีการสอน การเลี้ยงดูที่ต่างกันไป บางครอบครัวเคร่งครัด บางครอบครัวเหตุผล บางครอบครัวปล่อย แต่อยากให้เข้าใจว่าการเรียนไม่ใช่จุดสิ้นสุดของชีวิต ถึงแม้ว่าความรู้มันจะมีไม่สิ้นสุด ก็ไม่ควรทุ่มเทขนาดที่ว่ายอมทิ้งเพื่อน ครอบครัว สังคม เพื่อการเรียน แล้วบั้นปลายชีวิตคืออะไร แก่อายุ 60 ปี มานั่งคิดเลขเร็ว? ความรู้ในที่นี้มันไม่ได้หมายถึงวิชาภาษาไทย คณิต วิทย์ อย่างเดียวซักหน่อย มันรวมถึงความรู้รอบตัวด้วย แต่ทำไมบางคนรู้ แต่ไม่เคยทำความเข้าใจ ความสุขของชีวิตช่วงนี้ไม่ค่อยมีอ่ะ จะเที่ยวกับครอบครัวก็ ไม่ได้ไป เพราะทำการบ้าน ทุกๆวันแทบไม่ได้กินข้าว เพราะเวลาว่าง ต้องมานั่งทำการบ้าน ครอบครัว เพื่อน ไม่เป็นแบบนี้มาก่อน ทำไมทุกอย่างมันเปลี่ยนแปลง หรือที่เรียนกันหนัก มันเป็นความสุขที่แท้จริง...
ความจริงคนที่เรียนไม่จบ เขาก็สามารถหาเลี้ยงตัวเอง ครอบครัว ได้ จากความสามารถของเขา
แต่อยากถามจริงๆว่า เด็กสมัยนี้ คนที่บอกได้ว่า มีความสามารถจริงๆ กี่คน?....มันคงมีน้อยมาก
เพราะวันๆก็เอาแต่เรียน เรียน เรียน แล้วก็ เรียน ความสามารถพิเศษคงจะเป็นคิดเลขเร็ว
จำตารางธาตุได้ทั้งหมด มากกว่าความสามารถจริงๆ ที่สามารถประกอบอาชีพได้
และอยากแนะนำพ่อแม่ ผู้ปกครองบางคนว่า การเป็นหมอ ไม่ใช่อาชีพที่ดีที่สุด เพราะถ้าทุกคนบนโลกนี้เป็นหมอหมด
คุณจะซื้อข้าวที่ไหนเมื่อทำไม่เป็น จะเอาข้าวมากินได้ยังไง ใส่เสื้อผ้าอะไร ของพังแล้วไปซ่อมที่ไหน ฯลฯ
ถึงแม้อาชีพหมอจะเป็นอาชีพที่ได้เงินเยอะ แต่ไม่ได้สำคัญที่สุดในชีวิต ถามหน่อยว่า หิวข้าว แล้วกินยาแทนได้มั้ย
แบบอยากกินกะเพราขอพาราหน่อย มันได้จริงๆหรอ ทุกอาชีพมีคุณค่าในตัวเอง
ใครเป็นยังไงไม่รู้ แต่เราไม่อยากทนแล้วอ่ะ
มันเหนื่อยมากเลยนะ ที่จะต้องคอยอยู่กับครอบครัว
เวลาคุยกับทุกคนในครอบครัว แต่ก็ต้องทำการบ้านไปด้วย
เพราะต้องแยกแยะการเรียนและครอบครัว
เวลาคุยกับเพื่อนแต่ละครั้ง ก็ไม่เหมือนเดิม
จากเรื่องสนุกๆ กลายมาเป็นเรื่องการเรียน
เพื่อนเห็นแก่ตัวมากขึ้น เหมือนมีแต่ตัวเราที่พร้อมช่วยเหลือคนอื่น
มันเปลี่ยนไปแล้วจริงๆหรอ? แล้วเมื่อไหร่มันจะดีขึ้น?
เราต้องเป็นบ้า หรือ สติไม่ดีก่อนมั้ย?
แล้วมีใครคิดจะแก้ไขมันหรือเปล่า?
โรงเรียน.......ภาคกลาง
เด็กหญิง............. ................
ม.2/... เลขที่ 11
เรียนหนักๆไป เพื่ออะไร?
คือไม่ใช่ขยันนะคะ แต่ถ้าไม่ทำที่บ้าน ไปโรงเรียนแล้ว ลอกไม่ทันแน่นอน
คือ โรงเรียนเรามีคาบ 0-10 คาบ 10 จะมีเฉพาะ วันที่ คาบ 9 ถูกจองไปหมดแล้ว คือ มันกลายเป็นเรื่องปกติ ที่ว่า ไปโรงเรียน 6.00 น. กลับ 15.00 น.
แถมต้องมาเรียนวันเสาร์อีก 1 วัน คือ ตั้งแต่ 9.00 น.-15.30 น. (เป็นห้องเรียนพิเศษภาษาอังกฤษ) แล้วพอวันอาทิตย์ ก็จะมีครู พาไปเข้าค่าย ทัศนศึกษา เสริมความรู้ ส่วนใหญ่จะพาไป ต่างจังหวัด ต้องให้เด็กเหนื่อยกับการเรียนเพิ่ม (บางทีเสริมความรู้มันก็ดีนะคะ แต่ทุกครั้งที่ไป เด็กจ่ายเงินเอง แต่ถ้าใครไม่ไป ไม่ได้คะแนนค่ะ)
ครูบางคนที่สอนก็เคยถามว่า ไม่เหนื่อยหรอ? แต่ก็ยังสั่งการบ้านเพิ่ม แต่ครูบางคนก็เลื่อนให้ แต่ขนาดเลื่อนให้ ยังส่งไม่ทัน เพราะมันเยอะไปจริงๆ
แล้วครูบางคนที่ถามว่า เรียนแบบนี้ไม่เหนื่อยหรอ มักจะเป็นคนที่สั่งการบ้านเราเยอะที่สุด ส่วนใหญ่จะเป็นวิชา คณิต วิทย์ ภาษาไทย สังคมศึกษา ศิลปะ จีน
ขนาดครูสอนแนะแนว ก็ยังมีการบ้าน ให้หาข้อมูลทำรายงานนู้นนี่นั้น แต่ที่แปลกใจคือ ที่โรงเรียนงานยังเยอะขนาดนี้ แต่เพื่อนบางคนยังไปเรียนพิเศษอีก
เคยถามเพื่อนพวกนี้ว่าเรียนทำไม บางคนบอกว่า ครูในห้องสอนไม่รู้เรื่อง ครูกั๊กวิชา เรียนเพื่อเอาเทคนิคใหม่ แต่ที่เคยถามแล้วรู้สึกแย่มากที่สุดคือ
ทางครอบครัวให้มาเรียน มันคืออะไร ครอบครัวไม่เข้าใจเด็กเลยหรอคะ?!? บางคนครอบครัวอยากให้เป็นหมอ ถึงขั้นบังคับให้เรียนเฉพาะวิทย์-คณิต บางคนไปโรงเรียน 6.00 น. เพื่อทำการบ้านที่โรงเรียน กลับถึงบ้าน 3-4 ทุ่ม เพราะเรียนพิเศษ นอน เที่ยงคืน-ตี2 เพราะทำการบ้าน ตื่นตี5 เพื่อไปโรงเรียน
บางคนมาร.รสาย เลิกเรียนไปเรียนพิเศษต่อ วันศุกร์-อาทิตย์ นอนที่เรียนพิเศษ เรียนจนถึงตี2บ้าง บางคนเห็นแก่ตัว ถึงขนาดที่ว่า ยอมทิ้งเพื่อน ทิ้งทุกอย่าง เพราะเรื่องเรียน เห็นแก่ตัว เพื่อให้ตัวเองสบายที่สุดในการทำกิจกรรมห้อง เพราะเรียนหนัก แต่เรารู้สึกไม่ ok อ่ะ เพราะเราและเพื่อนที่ไม่ได้เรียนพิเศษต้องมาทำกิจกรรมห้อง ทำงานกลุ่ม ให้เพื่อนที่ไปเรียนพิเศษ รับความรู้เพิ่ม
สังคมสมัยนี้ต้องการสอนอะไรหรอคะ เรียนหนักเพื่ออนาคตที่ดี? แล้วประชากรในทุกวันนี้ คนเรียนจบ ป.โท ยังตกงานเลย ชีวิตนี้ถ้าแข่งขันมากไป มัน ok หรอคะ? ชีวิตมีความสุขกับการแข่งขันหรอคะ? สมัยก่อน พ่อแม่เคยเล่าว่า เรียนไม่หนักมาก ถ้าหนักสุดๆก็ทำ โครงงาน รายงาน เพราะไม่มีอินเทอร์เน็ตไว้สำหรับค้นหาข้อมูล แต่พอมาถึงปัจจุบัน เรียนหนักที่สุดมันไม่มีอ่ะค่ะ มันมีแต่ หนัก และหนักทั้งหมด ทั้งเขียนในสมุด รายงาน โครงงาน กิจกรรม ฯลฯ มันไม่มีที่สิ้นสุด ว่าอะไรหนักที่สุด บางคนบอกว่า เรียนหนักมันดีอย่างนึงคือ พอจบไป เจออะไรหนักๆเข้ามา จะได้แก้ไขได้ แต่อยากถามกลับไปว่า เราต้องใช้ชีวิตแบบนี้จริงๆหรอ แล้วเราจำเป็นด้วยหรอคะ ที่จะต้องมานั่งเรียนหนักๆ เพื่อนำความรู้แค่ไม่กี่อย่าง ไปใช้จริงๆ แต่ความจริงแล้วครูเขาสอนวงกว้างๆไว้ตอน ประถม-มัธยม แล้วค่อยๆเจาะไปเรื่อยๆ เพื่อหาสิ่งที่เราชอบจริงๆ มันก็ถูกนะค่ะ แต่...ถ้าจะสั่งการบ้าน เปลี่ยนเป็นกิจกรรมในห้อง ไม่ดีกว่าหรอค่ะ ได้คิด วิเคราะห์จริงๆ เพราะการบ้าน มันคือ มหกรรมการลอกกัน ลอกจากหนังสือ บางทีมันไม่เข้าหัวด้วยซ้ำ แค่ผ่านๆมา เพื่อให้เสร็จ แต่ถ้าทำกิจกรรม มันดูมีความสนุกสนาน มีความรู้แฝง แล้วมันทำให้เราจำมากกว่าการทำการบ้านด้วยซ้ำ ทำไมไม่มีใครคิดแล้วทำอ่ะ ความจริงประเทศเรา ควรพัฒนาเรื่องการศึกษาให้ดีกว่านี้ ไม่ใช่เรื่องการเรียนเพิ่มนะ แต่เป็นการจัดการ ให้เด็ก เยาวชน มีความรู้ โดยที่ไม่พึ่งหนังสือ ไม่เครียด โดยการทำกิจกรรมต่างหาก แต่กิจกรรม ก็ไม่ใช่ว่าจะให้เล่นเกมอย่างเดียว แต่รวมไปถึง การทำแบบฝึกหัด ในห้องเรียน แล้วเมื่อไม่เข้าใจก็ถาม มันจะดีกว่าการทำการบ้าน ที่ไม่ได้เข้าหัวสักนิด
เพื่อนของเราเข้าพบจิตแพทย์หลายคนแล้วนะ เพราะเครียดเรื่องเรียนเนี่ยแหละ ส่วนบางคนที่ไม่ได้ไป ไม่ใช่ว่าจะปกติทุกคน บางคนที่ไม่ได้ไป เพราะไม่มีเวลาว่างเลย หรือ พ่อแม่อาจจะไม่เข้าใจ เราอยากให้ครู ครอบครัวของเด็กทุกคนเข้าใจบ้าง ไม่ใช่ว่าเข้าใจแล้วก็ยังทำอยู่นะ หมายถึง เข้าใจ แล้วแก้ไขอ่ะ คือ เข้าใจว่า ครูทุกท่าน ครอบครัวทุกบ้าน มีวิธีการสอน การเลี้ยงดูที่ต่างกันไป บางครอบครัวเคร่งครัด บางครอบครัวเหตุผล บางครอบครัวปล่อย แต่อยากให้เข้าใจว่าการเรียนไม่ใช่จุดสิ้นสุดของชีวิต ถึงแม้ว่าความรู้มันจะมีไม่สิ้นสุด ก็ไม่ควรทุ่มเทขนาดที่ว่ายอมทิ้งเพื่อน ครอบครัว สังคม เพื่อการเรียน แล้วบั้นปลายชีวิตคืออะไร แก่อายุ 60 ปี มานั่งคิดเลขเร็ว? ความรู้ในที่นี้มันไม่ได้หมายถึงวิชาภาษาไทย คณิต วิทย์ อย่างเดียวซักหน่อย มันรวมถึงความรู้รอบตัวด้วย แต่ทำไมบางคนรู้ แต่ไม่เคยทำความเข้าใจ ความสุขของชีวิตช่วงนี้ไม่ค่อยมีอ่ะ จะเที่ยวกับครอบครัวก็ ไม่ได้ไป เพราะทำการบ้าน ทุกๆวันแทบไม่ได้กินข้าว เพราะเวลาว่าง ต้องมานั่งทำการบ้าน ครอบครัว เพื่อน ไม่เป็นแบบนี้มาก่อน ทำไมทุกอย่างมันเปลี่ยนแปลง หรือที่เรียนกันหนัก มันเป็นความสุขที่แท้จริง...
ความจริงคนที่เรียนไม่จบ เขาก็สามารถหาเลี้ยงตัวเอง ครอบครัว ได้ จากความสามารถของเขา
แต่อยากถามจริงๆว่า เด็กสมัยนี้ คนที่บอกได้ว่า มีความสามารถจริงๆ กี่คน?....มันคงมีน้อยมาก
เพราะวันๆก็เอาแต่เรียน เรียน เรียน แล้วก็ เรียน ความสามารถพิเศษคงจะเป็นคิดเลขเร็ว
จำตารางธาตุได้ทั้งหมด มากกว่าความสามารถจริงๆ ที่สามารถประกอบอาชีพได้
และอยากแนะนำพ่อแม่ ผู้ปกครองบางคนว่า การเป็นหมอ ไม่ใช่อาชีพที่ดีที่สุด เพราะถ้าทุกคนบนโลกนี้เป็นหมอหมด
คุณจะซื้อข้าวที่ไหนเมื่อทำไม่เป็น จะเอาข้าวมากินได้ยังไง ใส่เสื้อผ้าอะไร ของพังแล้วไปซ่อมที่ไหน ฯลฯ
ถึงแม้อาชีพหมอจะเป็นอาชีพที่ได้เงินเยอะ แต่ไม่ได้สำคัญที่สุดในชีวิต ถามหน่อยว่า หิวข้าว แล้วกินยาแทนได้มั้ย
แบบอยากกินกะเพราขอพาราหน่อย มันได้จริงๆหรอ ทุกอาชีพมีคุณค่าในตัวเอง