เด็กบ้านนอก

กระทู้สนทนา
สวัสดีเราชื่อไอซ์นะ บ้านเราอยู่จังหวัดตาก แต่ตอนนี้เรามาเรียนอยู่ที่พิษณุโลก ถ้าพูดถึงคำว่าบ้านนอก ภาพที่ทุกคนจะนึกถึงคือ มีควาย มีท้องนา ดูกันดาร 5555 (แต่มันก็จริงนะ) เราอะเป็นเด็กบ้านนอกบ้านเราอยู่ อ.สามเงา (ที่มีเขื่อนภูมิพลอะ) ตอนเด็กเราก็เรียนโรงเรียนของหมู่บ้าน ลองนึกภาพนะครูคนเดียวสอนทุกวิชา 1 ระดับชั้นมีเด็ก 20 กว่าคน 5555 มันสนุกมาก แต่ความสนุกนั้นมันหายไปในพริบตา เมื่อพ่อของเราเกิดประสบอุบัติเหตุจนเป็นอัมฟฤก แล้วช่วยเหลือตัวเองไม่ได้เลย ต้องพลิกตัวทุก 2 ชั่วโมงไม่งั้นจะเป็นแผลกดทับ แต่ดีนะที่เราเรียนใกล้บ้านเราเลยสามารถช่วยแบ่งเบาภาระแม่ได้บ้าง แม่เราเป็นครู (แค่ทำงานแม่ก็เหนื่อยอยู่แล้วยังต้องมาดูแลพ่อเราอีก) ชีวิตความเป็นเด็กเราหายไป เพื่อนไปเที่ยวแต่เราไปไม่ได้เพราะต้องดูแลพ่อ (ตอนนั้นก็แอบโกรธนะ คิดในใจว่าถ้าพ่อไม่เป็นแบบนี้เราคงจะมีความสุขมากกว่าตอนนี้มาก) แต่พอ ม.ต้น เราก็เข้ามาเรียนโรงเรียนในเมือง (ความจริงไม่ได้ตั้งใจหรอกแต่ฟลุ๊คติด) แต่ปัญหามันมีอยู่ว่าเราสอบติดห้อง Smat ซึ่งเราเป็นเด็กคนเดียวที่มาจากบ้านนอก คือก็จะทำอะไรซุกซนตามประสา ตอนแรกๆเพื่อนก็ซุบซิบนินทา "อีนี่ดูสก้อยจัง" เราก็งง 5555 เราพยายามทำตัวเรียบร้อยแล้วนะ ช่วงแรกเราเครียดมากเพราะเรียนไม่ทันเพื่อน เราจึงไม่ค่อยได้กลับบ้าน แม่เลยต้องมีภาระหนักขึ้น (เราดูเลวเลยแหละ) เราเรียนพิเศษจนไม่สนใจคนในครอบครัว (ลืมบอกไปว่าพอเรียนในเมืองแล้วเราต้องอยู่หอเพราะบ้านเราไกลจากโรงเรียนมาก) เงินเดือนของแม่ก็ต้องแบ่งมาให้เราเรียนพิเศษด้วย (ทำไมเราเห็นแก่ตัวจัง)เราเรียนหนักมากเพราะตอนแรกโดนคนอื่นดูถูกว่า"เป็นเด็กบ้านนอกจะเรียนรอดหรอ?" คำนี้เจ็บมาก อยากจับอกจังเลยว่า "บ้านนอกแล้วมันไม่ใช่คนหรอหวะ!" พอเรียนๆไปผลการเรียนของเราก็คือดีในระดับหนึ่งและดีกว่าเด็กในเมืองหลายๆคน ตอนด้วยความบ้าบอๆของเรา เพื่อนเราเลยเริ่มมาคุยกับแล้ว และก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่ม พูดเลยว่าเรากับเพื่อนกลุ่มเราสนิทกันมาก แล้วเด็กบ้านนอกอย่างเราก็ทำให้ททุกคนเห็นว่า "จะเด็กในเมือหรือบ้านนอกก็สามารถเป็นเพื่อนกันได้.สามารถเรียนเก่งได้" เราไม่สนใจแม้กระทั่งยายของเราที่รักเรามากและยายก็ป่วยเป็นมะเร็ง (ทำไมตอนนั้นเราคิดไม่ได้นะ) จนวันหนึ่งแม่เราโทรมาหากลางดึกบอกว่ามาดูใจยายหน่อย ยายรอเราอยู่ พอเราไปถึงบ้านภาพที่เห็นคือยายเรานอนอยู่ตรงเตียง พร้อมมีสายออกซิเจนที่จมูก แล้วมีแม่กับป้าเรานั่งจับมือยายคนละข้าง ลุงป้าน้าอาก็นั่งล้อมรอบ เรารีบวิ่งเข้าไปหายายแล้วพูดว่า "ยายจ๋า หนูมาแล้ว หนูขอโทษ" เมื่อยายได้ยินเสียงเรา ยายก็ค่อยๆฝืนลืมตาขึ้นมามองเรา แล้วก็หลับตานอนไป ซักพักยายเราก็หลับ แล้วไม่ตื่นมามองหน้าเราอีกเลย เราเสียใจมาก เรานั่งกอดรูปยายร้องไห้นานมากจนป้าต้องเข้ามาปลอบแล้วพูดว่า "จะร้องไห้ทำไม ตอนท่านอยู่ก็ไม่เคยกลับมาหา แล้วตอนนี้จะมาเรียกหาท่านงั้นหรอ ไม่มีประโยชน์ " เราเจ็บมากกับคำพูดป้า จากนั้นมาเราก็ลดการเรียนพิเศษลงแล้วหาเวลากลับบ้าน ผ่านไป 3 เดือนหลังยายเสีย แม่เราก็ตรวจเจอก้อนเนื้อ แล้วมันก็คือมะเร็ง เรากลัวมาก เราไม่อยากเสียใครไปอีก พอแม่เราเป็นมะเร็งแม่เราก็ดูแลพ่อเราไม่ได้เลยต้องให้พ่อไปอยู่กับย่าที่กำแพงเพชร คราวนี้ค่าใช้จ่ายก็เยอะขึ้นอีกเมื่อแม่ให้น้องมาเรียนในเมืองเป็นเพื่อนเรา เพราะกลัวเราเหงา น้องก็ต้องเรียนพิเศษ (เรียกได้ว่าเงินเดือนแม่ทั้งเดือนหมดไปกับค่ากินและค่าเรียนของเรากับน้อง) เราจึงตั้งใจไว้ว่าจะช่วยแบ่งเบาภาระแม่ เราเลยมาสอบเพื่อเรียนทุนรัฐบาล ตอนแรกก็กลัวเพราะด้วยแรงกดดันจากการที่เราบ้านนอก เราคงจะมีความรู้สู้เด็กในเมืองไม่ได้ พอผลออก "อ่าวเห้ย! ติดเว้ย!" เราดีใจมากอะ 55555 อื้อหื้อออ นึกภาพนะคือแบบกรี้ดลั่นหอตอนเที่ยงคืน และแล้วเราก็ทำสำเร็จ เห็นไหมหละ เด็กบ้านนอกอะไม่ได้อ่อนเสมอไปนะ 5555 ฮือฮาทั้งหมู่บ้านเลยจ้า "เห้ยน้องไอซ์เด็กหมู่บ้านเราสอบติดโรงเรียนทุน" บางคนก็มาพูดกับแม่ "ลูกสาวเก่งเนอะ อิจฉามาก" ตอนนั้นแบบอารมณ์ภูมิใจมาก เหมือนได้มงกุฏนางงาม ชาวบ้านบางคนที่ส่งลูกไปเรียนพิเศษในเมืองนี่ถึงกับเลิกส่ง แล้วซื้อหนังสือมาให้ลูกอ่านที่บ้าน (เห้ยคือแบบบเรากลายเป็นไอดอลเด็กบ้านนอก) ปริ่มมาก แต่เรื่องมันยังจบแค่นี้หนะสิ บนเส้นทางชีวิตเมื่อมีสุขก็ต้องมีเศร้า เดี๋ยวถ้าเรามีเวลาว่างๆจะมาเล่าต่อนะ เดี๋ยวตอนหน้าจะเล่าถึงบรรยายกาศและกลิ่นอายของบ้านนอกให้ฟัง ถ้าเราได้เล่านะ เชื่อเลยว่าเด็กในเมืองหลายคนต้องอิจฉาเด็กบ้านนอกอย่างเราแน่ ถ้าใครอยากปรึกษาอะไรถามเราได้นะ เราผ่านเรื่องแย่ๆมาเยอะมาก เรายินดีให้คำปรึกษา
# บ้านนอกคือสิ่งที่น่าค้นหา
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่