แกนนำ นปช.บุกเรือนจำเยี่ยม "แดงอุบลฯ" หลังศาลฎีกาพิพากษาจำคุกตลอดชีวิตคดีเผาศาลากลาง "เต้น" มั่นใจคำสั่งศาลไม่เป็นบรรทัดฐานกับคดีจังหวัดอื่น "จตุพร" เสียงแข็งขอยืนหยัดสู้เพื่อประชาธิปไตย "ทนาย" ขอขมาศาลให้ข้อมูลคำตัดสินคลาดเคลื่อน "พงส." ยื่นศาลทหารฝากขัง 4 ผู้ต้องหาขอนแก่นโมเดล ผลัด 3 อีก 12 วัน
เมื่อวันศุกร์ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ, นพ.เหวง โตจิราการ และนางธิดา ถาวรเศรษฐ แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เดินทางมาที่เรือนจำกลางจังหวัดอุบลราชธานี เพื่อขอเข้าเยี่ยมให้กำลังใจสมาชิกกลุ่ม นปช.อุบลราชธานี จำนวน 13 คน ที่ศาลฎีกาพิพากษาตัดสิน ประกอบด้วย นายพิเชษฐ์ ทาบุดดา หรือดีเจต้อย แกนนำกลุ่มชักธงรบ จำคุกตลอดชีวิต
นางอรอนงค์ บรรพชาติ จำเลยที่ 2 จำคุกตลอดชีวิต ลดเหลือ 33 ปี 4 เดือน, นางสาวปัทมา มูลนิล จำเลยที่ 5 จำคุกตลอดชีวิต ลดเหลือ 33 ปี 4 เดือน, นายลิขิต สุทธิพันธ์ จำเลยที่ 7 จำคุกตลอดชีวิต ลดเหลือ 33 ปี 4 เดือน, นายธีรวัฒน์ สัจสุวรรณ จำคุกตลอดชีวิต ลดเหลือ 33 ปี 4 เดือน, นายชัชวาลย์ ศรีจันดา จำคุกตลอดชีวิต, นายสนอง เกตุสุวรรณ จำเลยที่ 12 จำคุกตลอดชีวิต เหลือ 33 ปี 4 เดือน, นายสมศักดิ์ ประสานทรัพย์ จำคุกตลอดชีวิต ลดเหลือ 33 ปี 4 เดือน ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีโทษหนักมากที่สุด
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ทางเรือนจำให้บรรดาแกนนำนปช.และญาติของผู้ต้องหาทำเรื่องเข้าเยี่ยมตามระเบียบ แต่เนื่องจากมีผู้มาเยี่ยมจำนวนมาก เรือนจำได้จัดให้นายณัฐวุฒิและญาติได้เยี่ยมพูดคุยกับผู้ต้องขังในห้องพบทนายเป็นกรณีพิเศษ โดยใช้เวลาพูดคุยกันนานประมาณ 30 นาที
นายณัฐวุฒิกล่าวว่า มาให้กำลังใจพี่น้องที่ต้องขัง เพราะเป็นห่วงหลังถูกพิพากษา ซึ่งก็ไม่เห็นบ่อยนักที่ศาลชั้นต้นตัดสินเบา แล้วศาลฎีกาพิพากษาหนัก แต่พวกตนก็เคารพคำพิพากษาของศาล และไม่คิดว่าคำพิพากษาครั้งนี้จะเป็นบรรทัดฐานกับคดีเผาศาลากลางที่จังหวัดอื่นๆ เพราะเป็นกระบวนการยุติธรรม และเป็นกรณีไป
แกนนำ นปช.กล่าวว่า จากการพูดคุยกับทุกคน ยังมีกำลังใจดีอยู่ และยอมรับในคำตัดสินของศาล โดย นายพิเชษฐ์ ทาบุดดา หรืออาจารย์ต้อย กังวลกับธุรกิจจำหน่ายผลิตภัณฑ์ที่เพิ่งก่อตั้งในชื่อ ชักธงรบ เป็นผลิตภัณฑ์ประเภทสบู่ แชมพู เพิ่งเปิดตลาดได้ไม่นาน ก็มาต้องโทษ ทางพวกตนรับปากจะนำไปประชาสัมพันธ์สานต่อการตลาดให้ เพื่อนำรายได้จากการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ไปเป็นทุนในการช่วยเหลือกันต่อไป
"นายพิเชษฐ์ยังมีความกังวลในการที่จะต้องถูกส่งตัวไปที่เรือนจำคลองไผ่ ซึ่งได้หาแนวทางช่วยเหลือ
และให้ทนายทูลเกล้าฯ ถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษเป็นกรณีๆ ไป ซึ่งแนวทาง นปช.จะยึดหลักสันติวิธี ไม่ใช้ความรุนแรง และเราจะพยายามไปเยี่ยมพี่น้องที่ต้องขังทุกคน เพื่อแสดงออกว่าหัวใจเรายังอยู่ด้วยกัน เหมือนพี่เหมือนน้อง ชะตากรรมของพี่น้องต้องห่วงใยกัน ซึ่งก่อนออกมาจากห้องเยี่ยม ทุกคนได้ร่วมกันร้องเพลงแสงดาวแห่งศรัทธา เพื่อยืนยันว่าทุกคนยังเป็นแสงดาวแห่งประชาธิปไตย" นายณัฐวุฒิกล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังให้สัมภาษณ์นายณัฐวุฒิ และคณะได้ร่วมถ่ายภาพพูดคุยกับญาติ ผู้ต้องขัง และผู้มาต้อนรับ ก่อนเดินทางออกจากเรือนจำขึ้นเครื่องกลับกรุงเทพฯ
ด้านนายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธาน นปช. กล่าวในรายการมองไกลผ่านยูทูบ ตอนหนึ่งว่า ยอมรับชะตากรรมของมิตรคนเสื้อแดงที่ถูกศาลฎีกาพิพากษาสั่งจำคุกในคดีเผาศาลากลาง จ.อุบลราชธานี แต่ขอยืนยันจะซื่อสัตย์กับการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย แม้ชะตากรรมในวันข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม
ข
ณะที่นายสืบพงษ์ ศรีพงษ์กุล โฆษกศาลยุติธรรม ยืนยันอีกครั้งว่า คำพิพากษาที่ถูกต้องในคดีการก่อเหตุวางเพลิงเผาศาลากลางจังหวัดอุบลราชธานี ศาลฎีกาได้พิพากษาแก้จากเดิมจำคุก 1 ปี เป็นจำคุกตลอดชีวิต ไม่ใช่ให้ประหารชีวิตตามที่สื่อมวลชนเสนอข่าว
"บุคคลใดบอกเล่าเนื้อหาอันเป็นเท็จ โดยหลักกฎหมายเขียนไว้ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 384 มีเนื้อหาว่า บุคคลใดแกล้งบอกเล่าความอันเป็นเท็จให้เลื่องลือจนเป็นเหตุให้ประชาชนตื่นตกใจ ซึ่งมีความผิดลหุโทษ จำคุกไม่เกิน 1 เดือน ปรับไม่เกิน 1 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ซึ่งความผิดฐานนี้นั้นต้องพิจารณาว่าผู้ถูกกล่าวหาที่ให้ข่าวมีเจตนาที่แกล้งบอกเล่าความอันเป็นเท็จหรือไม่ หากเจตนาก็จะมีความผิดฐานละเมิดอำนาจศาล" โฆษกศาลยุติธรรมกล่าว
[url]นายวัฒนา จันทศิลป์ ทนายความของจำเลยในคดีเผาศาลากลางอุบลราชธานี ยอมรับว่า เป็นความเข้าใจผิดของตนเองที่ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนผิดพลาดเกี่ยวกับคำพิพากษาศาลฎีกา เพราะที่ถูกต้องศาลฎีกามีคำพิพากษาจำคุกตลอดชีวิต ไม่ได้ลงโทษประหารชีวิตแต่อย่างใด
“เนื่องจากในวันนั้นมีจำเลยมาขึ้นศาลฟังคำพิพากษาพร้อมกันหลายคน ทำให้ผมเกิดความสับสน แต่พร้อมยอมรับผิดกับความผิดพลาดที่เกิดขึ้น ซึ่งผมกำลังทำหนังสือแสดงความรับผิดชอบและขอขมาต่อศาลที่ให้ข้อมูลกับสื่อมวลชนคลาดเคลื่อนไป รวมทั้งกำลังขอคัดสำเนาคำพิพากษาในคดีนี้ตั้งแต่ศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ และศาลฎีกา เพื่อแจกให้สื่อมวลชนนำไปเผยแพร่อย่างถูกต้องต่อไป” ทนายความจำเลยคดีเผาศาลากลางอุบลราชธานีกล่าว
ที่ศาลทหารกรุงเทพ พนักงานสอบสวนพร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ทหาร นำตัว จ.ส.ต.ประธิน จันทร์เกศ, นายณัฐพล ณ.วรรณ์เล, นายวัลลภ บุญจันทร์, นายพาหิรัณ กองคำ และนายฉัตรชัย ศรีวงษา ผู้ต้องหาที่ถูกออกหมายจับในคดีความผิดในข้อหาหมิ่นสถาบันเบื้องสูง ม.112 และความผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ เครือข่ายขอนแก่นโมเดล ที่เตรียมก่อเหตุในช่วงกิจกรรมสำคัญที่ผ่านมา จากเรือนจำชั่วคราวแขวงถนนนครไชยศรี มาขออำนาจศาลทหารฝากขังผลัดที่ 3 เป็นเวลา 12 วัน หลังจากครบกำหนดฝากขังผลัด 2
ต่อมาศาลทหารได้พิจารณาตามคำร้องของพนักงานสอบสวน อนุญาตให้ฝากขังทั้ง 4 คนตามขอเป็นผลัดที่ 3 ตั้งแต่วันที่ 18-30 ธ.ค.58 และควบคุมตัวกลับไปยังเรือนจำชั่วคราวแขวงถนนนครไชยศรีต่อไป
ส่วนที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลนัดฟังคำสั่งศาลอุทธรณ์ ในคดีหมายเลขดำ อ.4552/2556 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 1 เป็นโจทก์ ยื่นฟ้องนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ อดีตนายกรัฐมนตรี และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส. อดีตรองนายกรัฐมนตรี เป็นจำเลยที่ 1-2 ในความผิดฐานร่วมกันก่อหรือใช้ให้ผู้อื่นกระทำหรือฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา และพยายามฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา สืบเนื่องจากการออกคำสั่ง ศอฉ.ให้เจ้าหน้าที่ขอคืนพื้นที่การชุมนุมบริเวณ ถ.ราชดำเนิน และแยกราชประสงค์ จากกลุ่ม นปช.ที่ชุมนุมตั้งแต่เดือน เม.ย.-19 พ.ค.53 จนทำให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก
เมื่อถึงเวลานัด นายอภิสิทธิ์เดินทางมาศาลตามนัด พร้อมทนายความ ขณะที่นายสุเทพไม่ได้เดินทางมาศาล ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า ศาลได้ตรวจสำนวนแล้ว หมายที่ส่งไปทางไปรษณีย์ให้จำเลยที่ 2 ปรากฏว่าส่งไม่ได้ เนื่องจากไม่มีผู้มารับตามกำหนด ถือว่าจำเลยที่ 2 ไม่ทราบนัดโดยชอบตามกฎหมาย จึงไม่อาจอ่านคำสั่งได้ในวันนี้ ให้นัดฟังคำสั่งศาลอุทธรณ์อีกครั้งในวันที่ 17 ก.พ.59 เวลา 09.00 น. พร้อมให้แจ้งวันนัดให้จำเลยที่ 2 ทราบ หากไม่มีผู้รับให้ปิดหมาย และกำชับให้จำเลยทั้งสองมาศาล หากไม่มาศาลจะสั่งตามที่เห็นสมควร.
http://www.thaipost.net/?q=%E0%B8%AD%E0%B8%B6%E0%B9%89%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B9%87%E0%B8%87%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%A0%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B9%82%E0%B8%97%E0%B8%A9%E2%80%98%E0%B9%80%E0%B8%9C%E0%B8%B2%E2%80%99
@@@มุมกาแฟ NONแดง(มุมนี้ไม่มีใครเป็นเสื้อแดง)วันเสาร์ที่ 19/12/58:"ทนาย" ขอขมาศาลให้ข้อมูลคำตัดสินคลาดเคลื่อน@@@
เมื่อวันศุกร์ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ, นพ.เหวง โตจิราการ และนางธิดา ถาวรเศรษฐ แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เดินทางมาที่เรือนจำกลางจังหวัดอุบลราชธานี เพื่อขอเข้าเยี่ยมให้กำลังใจสมาชิกกลุ่ม นปช.อุบลราชธานี จำนวน 13 คน ที่ศาลฎีกาพิพากษาตัดสิน ประกอบด้วย นายพิเชษฐ์ ทาบุดดา หรือดีเจต้อย แกนนำกลุ่มชักธงรบ จำคุกตลอดชีวิต
นางอรอนงค์ บรรพชาติ จำเลยที่ 2 จำคุกตลอดชีวิต ลดเหลือ 33 ปี 4 เดือน, นางสาวปัทมา มูลนิล จำเลยที่ 5 จำคุกตลอดชีวิต ลดเหลือ 33 ปี 4 เดือน, นายลิขิต สุทธิพันธ์ จำเลยที่ 7 จำคุกตลอดชีวิต ลดเหลือ 33 ปี 4 เดือน, นายธีรวัฒน์ สัจสุวรรณ จำคุกตลอดชีวิต ลดเหลือ 33 ปี 4 เดือน, นายชัชวาลย์ ศรีจันดา จำคุกตลอดชีวิต, นายสนอง เกตุสุวรรณ จำเลยที่ 12 จำคุกตลอดชีวิต เหลือ 33 ปี 4 เดือน, นายสมศักดิ์ ประสานทรัพย์ จำคุกตลอดชีวิต ลดเหลือ 33 ปี 4 เดือน ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีโทษหนักมากที่สุด
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ทางเรือนจำให้บรรดาแกนนำนปช.และญาติของผู้ต้องหาทำเรื่องเข้าเยี่ยมตามระเบียบ แต่เนื่องจากมีผู้มาเยี่ยมจำนวนมาก เรือนจำได้จัดให้นายณัฐวุฒิและญาติได้เยี่ยมพูดคุยกับผู้ต้องขังในห้องพบทนายเป็นกรณีพิเศษ โดยใช้เวลาพูดคุยกันนานประมาณ 30 นาที
นายณัฐวุฒิกล่าวว่า มาให้กำลังใจพี่น้องที่ต้องขัง เพราะเป็นห่วงหลังถูกพิพากษา ซึ่งก็ไม่เห็นบ่อยนักที่ศาลชั้นต้นตัดสินเบา แล้วศาลฎีกาพิพากษาหนัก แต่พวกตนก็เคารพคำพิพากษาของศาล และไม่คิดว่าคำพิพากษาครั้งนี้จะเป็นบรรทัดฐานกับคดีเผาศาลากลางที่จังหวัดอื่นๆ เพราะเป็นกระบวนการยุติธรรม และเป็นกรณีไป
แกนนำ นปช.กล่าวว่า จากการพูดคุยกับทุกคน ยังมีกำลังใจดีอยู่ และยอมรับในคำตัดสินของศาล โดย นายพิเชษฐ์ ทาบุดดา หรืออาจารย์ต้อย กังวลกับธุรกิจจำหน่ายผลิตภัณฑ์ที่เพิ่งก่อตั้งในชื่อ ชักธงรบ เป็นผลิตภัณฑ์ประเภทสบู่ แชมพู เพิ่งเปิดตลาดได้ไม่นาน ก็มาต้องโทษ ทางพวกตนรับปากจะนำไปประชาสัมพันธ์สานต่อการตลาดให้ เพื่อนำรายได้จากการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ไปเป็นทุนในการช่วยเหลือกันต่อไป
"นายพิเชษฐ์ยังมีความกังวลในการที่จะต้องถูกส่งตัวไปที่เรือนจำคลองไผ่ ซึ่งได้หาแนวทางช่วยเหลือ และให้ทนายทูลเกล้าฯ ถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษเป็นกรณีๆ ไป ซึ่งแนวทาง นปช.จะยึดหลักสันติวิธี ไม่ใช้ความรุนแรง และเราจะพยายามไปเยี่ยมพี่น้องที่ต้องขังทุกคน เพื่อแสดงออกว่าหัวใจเรายังอยู่ด้วยกัน เหมือนพี่เหมือนน้อง ชะตากรรมของพี่น้องต้องห่วงใยกัน ซึ่งก่อนออกมาจากห้องเยี่ยม ทุกคนได้ร่วมกันร้องเพลงแสงดาวแห่งศรัทธา เพื่อยืนยันว่าทุกคนยังเป็นแสงดาวแห่งประชาธิปไตย" นายณัฐวุฒิกล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังให้สัมภาษณ์นายณัฐวุฒิ และคณะได้ร่วมถ่ายภาพพูดคุยกับญาติ ผู้ต้องขัง และผู้มาต้อนรับ ก่อนเดินทางออกจากเรือนจำขึ้นเครื่องกลับกรุงเทพฯ
ด้านนายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธาน นปช. กล่าวในรายการมองไกลผ่านยูทูบ ตอนหนึ่งว่า ยอมรับชะตากรรมของมิตรคนเสื้อแดงที่ถูกศาลฎีกาพิพากษาสั่งจำคุกในคดีเผาศาลากลาง จ.อุบลราชธานี แต่ขอยืนยันจะซื่อสัตย์กับการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย แม้ชะตากรรมในวันข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม
ขณะที่นายสืบพงษ์ ศรีพงษ์กุล โฆษกศาลยุติธรรม ยืนยันอีกครั้งว่า คำพิพากษาที่ถูกต้องในคดีการก่อเหตุวางเพลิงเผาศาลากลางจังหวัดอุบลราชธานี ศาลฎีกาได้พิพากษาแก้จากเดิมจำคุก 1 ปี เป็นจำคุกตลอดชีวิต ไม่ใช่ให้ประหารชีวิตตามที่สื่อมวลชนเสนอข่าว
"บุคคลใดบอกเล่าเนื้อหาอันเป็นเท็จ โดยหลักกฎหมายเขียนไว้ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 384 มีเนื้อหาว่า บุคคลใดแกล้งบอกเล่าความอันเป็นเท็จให้เลื่องลือจนเป็นเหตุให้ประชาชนตื่นตกใจ ซึ่งมีความผิดลหุโทษ จำคุกไม่เกิน 1 เดือน ปรับไม่เกิน 1 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ซึ่งความผิดฐานนี้นั้นต้องพิจารณาว่าผู้ถูกกล่าวหาที่ให้ข่าวมีเจตนาที่แกล้งบอกเล่าความอันเป็นเท็จหรือไม่ หากเจตนาก็จะมีความผิดฐานละเมิดอำนาจศาล" โฆษกศาลยุติธรรมกล่าว
[url]นายวัฒนา จันทศิลป์ ทนายความของจำเลยในคดีเผาศาลากลางอุบลราชธานี ยอมรับว่า เป็นความเข้าใจผิดของตนเองที่ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนผิดพลาดเกี่ยวกับคำพิพากษาศาลฎีกา เพราะที่ถูกต้องศาลฎีกามีคำพิพากษาจำคุกตลอดชีวิต ไม่ได้ลงโทษประหารชีวิตแต่อย่างใด
“เนื่องจากในวันนั้นมีจำเลยมาขึ้นศาลฟังคำพิพากษาพร้อมกันหลายคน ทำให้ผมเกิดความสับสน แต่พร้อมยอมรับผิดกับความผิดพลาดที่เกิดขึ้น ซึ่งผมกำลังทำหนังสือแสดงความรับผิดชอบและขอขมาต่อศาลที่ให้ข้อมูลกับสื่อมวลชนคลาดเคลื่อนไป รวมทั้งกำลังขอคัดสำเนาคำพิพากษาในคดีนี้ตั้งแต่ศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ และศาลฎีกา เพื่อแจกให้สื่อมวลชนนำไปเผยแพร่อย่างถูกต้องต่อไป” ทนายความจำเลยคดีเผาศาลากลางอุบลราชธานีกล่าว
ที่ศาลทหารกรุงเทพ พนักงานสอบสวนพร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ทหาร นำตัว จ.ส.ต.ประธิน จันทร์เกศ, นายณัฐพล ณ.วรรณ์เล, นายวัลลภ บุญจันทร์, นายพาหิรัณ กองคำ และนายฉัตรชัย ศรีวงษา ผู้ต้องหาที่ถูกออกหมายจับในคดีความผิดในข้อหาหมิ่นสถาบันเบื้องสูง ม.112 และความผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ เครือข่ายขอนแก่นโมเดล ที่เตรียมก่อเหตุในช่วงกิจกรรมสำคัญที่ผ่านมา จากเรือนจำชั่วคราวแขวงถนนนครไชยศรี มาขออำนาจศาลทหารฝากขังผลัดที่ 3 เป็นเวลา 12 วัน หลังจากครบกำหนดฝากขังผลัด 2
ต่อมาศาลทหารได้พิจารณาตามคำร้องของพนักงานสอบสวน อนุญาตให้ฝากขังทั้ง 4 คนตามขอเป็นผลัดที่ 3 ตั้งแต่วันที่ 18-30 ธ.ค.58 และควบคุมตัวกลับไปยังเรือนจำชั่วคราวแขวงถนนนครไชยศรีต่อไป
ส่วนที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลนัดฟังคำสั่งศาลอุทธรณ์ ในคดีหมายเลขดำ อ.4552/2556 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 1 เป็นโจทก์ ยื่นฟ้องนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ อดีตนายกรัฐมนตรี และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส. อดีตรองนายกรัฐมนตรี เป็นจำเลยที่ 1-2 ในความผิดฐานร่วมกันก่อหรือใช้ให้ผู้อื่นกระทำหรือฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา และพยายามฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา สืบเนื่องจากการออกคำสั่ง ศอฉ.ให้เจ้าหน้าที่ขอคืนพื้นที่การชุมนุมบริเวณ ถ.ราชดำเนิน และแยกราชประสงค์ จากกลุ่ม นปช.ที่ชุมนุมตั้งแต่เดือน เม.ย.-19 พ.ค.53 จนทำให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก
เมื่อถึงเวลานัด นายอภิสิทธิ์เดินทางมาศาลตามนัด พร้อมทนายความ ขณะที่นายสุเทพไม่ได้เดินทางมาศาล ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า ศาลได้ตรวจสำนวนแล้ว หมายที่ส่งไปทางไปรษณีย์ให้จำเลยที่ 2 ปรากฏว่าส่งไม่ได้ เนื่องจากไม่มีผู้มารับตามกำหนด ถือว่าจำเลยที่ 2 ไม่ทราบนัดโดยชอบตามกฎหมาย จึงไม่อาจอ่านคำสั่งได้ในวันนี้ ให้นัดฟังคำสั่งศาลอุทธรณ์อีกครั้งในวันที่ 17 ก.พ.59 เวลา 09.00 น. พร้อมให้แจ้งวันนัดให้จำเลยที่ 2 ทราบ หากไม่มีผู้รับให้ปิดหมาย และกำชับให้จำเลยทั้งสองมาศาล หากไม่มาศาลจะสั่งตามที่เห็นสมควร.
http://www.thaipost.net/?q=%E0%B8%AD%E0%B8%B6%E0%B9%89%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B9%87%E0%B8%87%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%A0%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B9%82%E0%B8%97%E0%B8%A9%E2%80%98%E0%B9%80%E0%B8%9C%E0%B8%B2%E2%80%99