http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1418050091
เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม ที่ศาลแขวงพระนครเหนือ ศาลอ่านคำสั่งของศาลฎีกา ในคดี อ.1987/2555 ที่นายไทกร พลสุวรรณ แกนนำกลุ่มอีสานกู้ชาติ จำเลยในความผิดฐานฉ้อโกง ได้ขอให้ศาลรับฎีกาในคดีที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีศาลแขวง (พระนครเหนือ) และนายวิวัฒน์ สมบัติหลาย ผู้เสียหาย เป็นโจทก์และโจทก์ร่วม ยื่นฟ้องนายไทกร ซึ่งศาลชั้นต้นและอุทธรณ์ได้มีคำพิพากษายืนจำคุกจำเลย 2 ปี โดยไม่รอการลงโทษ และให้คืนเงินแก่นายวิวัฒน์ โจทก์ร่วม จำนวน 5 ล้านบาท
โดยคดีดังกล่าวพนักงานอัยการและนายวิวัฒน์ ร่วมกันยื่นฟ้องนายไทกรเป็นจำเลยในความผิดฐานฉ้อโกง ตามมาตรา 341 และ 83 เมื่อปี 2555 ซึ่งโจทก์บรรยายพฤติการณ์สรุปว่า
ต้นเดือนตุลาคม 2552 ถึงวันที่ 4 ธันวาคม 2552 จำเลยได้มีการพูดคุยว่าได้รับงานรับเหมาก่อสร้างโครงการต่างๆ ของทางกระทรวงคมนาคมในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้หลายโครงการ มูลค่าหลายล้านบาท
โดยจำเลยอ้างว่ารู้จักผู้ที่สามารถแนะนำให้ร่วมรับเหมาโครงการดังกล่าวได้ แต่ต้องจ่ายเงินเป็นค่าประสานงานและดำเนินการให้กับจำเลยและพวก เพื่อนำเอาไปให้แก่ผู้ใหญ่ที่มีหน้าที่อนุมัติเงินงบประมาณก่อนซึ่งเป็นความเท็จ เพราะความจริงแล้วจำเลยกับพวกไม่ได้สนิทสนมกับนักการเมือง ที่เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมและส.ส.ขอนแก่น
และจำเลยกับพวกไม่สามารถหางานรับเหมาก่อสร้างโครงการต่างๆ ของกระทรวงคมนาคมในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้มาให้โจทก์ร่วมทำได้ และจากการพูดหลอกลวงของจำเลย ทำให้โจทก์ร่วมหลงเชื่อว่าเป็นความจริง จึงได้มอบเงินสดให้แก่จำเลยรับไปหลายครั้ง และยังโอนเงินเข้าบัญชีของจำเลยอีก 1 ครั้ง รวมเป็นเงิน 5 ล้านบาท ทำให้โจทก์ร่วมได้รับความเสียหาย
ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 56 จำคุกจำเลย 2 ปี โดยไม่ให้รอการลงโทษ และให้คืนเงินแก่นายวิวัฒน์ โจทก์ร่วม จำนวน 5 ล้านบาท ต่อมาจำเลยยื่นอุทธรณ์สู้คดี แต่ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษายืนเมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 57 ขณะที่จำเลยได้รับการปล่อยชั่วคราวไป โดยศาลตีราคาประกัน 5 แสนบาท ต่อมาจำเลยได้ยื่นฎีกา
โดยศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วเห็นว่า ฎีกาของจำเลยต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง และไม่มีผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์หรือศาลชั้นต้นคนใดลงนามรับรองให้ฎีกาได้ ศาลฎีกาจึงไม่รับฎีกา และให้ออกหมายขังจำเลยตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
ภายหลังฟังคำสั่งศาลฎีกาแล้ว นายไทกร ได้ยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์เดิมขอปล่อยชั่วคราวระหว่างที่จะอุทธรณ์คำสั่งที่ศาลไม่รับฎีกา ซึ่งศาลแขวงพระนครเหนือรับเรื่องไว้ และเตรียมส่งให้ศาลฎีกาพิจารณาต่อไป คาดว่าศาลฎีกาจะใช้เวลาพิจารณา 2-3 วัน ทำให้นายไทกรต้องถูกนำตัวเข้าเรือนจำพิเศษกรุงเทพ
นายวิวัฒน์ กล่าวว่า นอกจากคดีนี้ นายไทกรยังตกเป็นจำเลยของศาลจังหวัดน่าน สาขาปัว ในคดีฉ้อโกง โดยแอบอ้างโครงการไทยเข้มแข็งในลักษณะเดียวกับที่แอบอ้างกับตน ซึ่งมีมูลค่าความเสียหาย 18 ล้านบาท ขณะนี้คดีอยู่ระหว่างการสืบพยาน
มติชนออนไลน์ วันที่ 09 ธันวาคม พ.ศ. 2557
ศาลฎีกามีคำสั่งไม่รับฎีกา คดี "ไทกร พลสุวรรณ" ฉ้อโกงเงิน 5 ล้านบาท
เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม ที่ศาลแขวงพระนครเหนือ ศาลอ่านคำสั่งของศาลฎีกา ในคดี อ.1987/2555 ที่นายไทกร พลสุวรรณ แกนนำกลุ่มอีสานกู้ชาติ จำเลยในความผิดฐานฉ้อโกง ได้ขอให้ศาลรับฎีกาในคดีที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีศาลแขวง (พระนครเหนือ) และนายวิวัฒน์ สมบัติหลาย ผู้เสียหาย เป็นโจทก์และโจทก์ร่วม ยื่นฟ้องนายไทกร ซึ่งศาลชั้นต้นและอุทธรณ์ได้มีคำพิพากษายืนจำคุกจำเลย 2 ปี โดยไม่รอการลงโทษ และให้คืนเงินแก่นายวิวัฒน์ โจทก์ร่วม จำนวน 5 ล้านบาท
โดยคดีดังกล่าวพนักงานอัยการและนายวิวัฒน์ ร่วมกันยื่นฟ้องนายไทกรเป็นจำเลยในความผิดฐานฉ้อโกง ตามมาตรา 341 และ 83 เมื่อปี 2555 ซึ่งโจทก์บรรยายพฤติการณ์สรุปว่า
ต้นเดือนตุลาคม 2552 ถึงวันที่ 4 ธันวาคม 2552 จำเลยได้มีการพูดคุยว่าได้รับงานรับเหมาก่อสร้างโครงการต่างๆ ของทางกระทรวงคมนาคมในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้หลายโครงการ มูลค่าหลายล้านบาท
โดยจำเลยอ้างว่ารู้จักผู้ที่สามารถแนะนำให้ร่วมรับเหมาโครงการดังกล่าวได้ แต่ต้องจ่ายเงินเป็นค่าประสานงานและดำเนินการให้กับจำเลยและพวก เพื่อนำเอาไปให้แก่ผู้ใหญ่ที่มีหน้าที่อนุมัติเงินงบประมาณก่อนซึ่งเป็นความเท็จ เพราะความจริงแล้วจำเลยกับพวกไม่ได้สนิทสนมกับนักการเมือง ที่เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมและส.ส.ขอนแก่น
และจำเลยกับพวกไม่สามารถหางานรับเหมาก่อสร้างโครงการต่างๆ ของกระทรวงคมนาคมในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้มาให้โจทก์ร่วมทำได้ และจากการพูดหลอกลวงของจำเลย ทำให้โจทก์ร่วมหลงเชื่อว่าเป็นความจริง จึงได้มอบเงินสดให้แก่จำเลยรับไปหลายครั้ง และยังโอนเงินเข้าบัญชีของจำเลยอีก 1 ครั้ง รวมเป็นเงิน 5 ล้านบาท ทำให้โจทก์ร่วมได้รับความเสียหาย
ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 56 จำคุกจำเลย 2 ปี โดยไม่ให้รอการลงโทษ และให้คืนเงินแก่นายวิวัฒน์ โจทก์ร่วม จำนวน 5 ล้านบาท ต่อมาจำเลยยื่นอุทธรณ์สู้คดี แต่ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษายืนเมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 57 ขณะที่จำเลยได้รับการปล่อยชั่วคราวไป โดยศาลตีราคาประกัน 5 แสนบาท ต่อมาจำเลยได้ยื่นฎีกา
โดยศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วเห็นว่า ฎีกาของจำเลยต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง และไม่มีผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์หรือศาลชั้นต้นคนใดลงนามรับรองให้ฎีกาได้ ศาลฎีกาจึงไม่รับฎีกา และให้ออกหมายขังจำเลยตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
ภายหลังฟังคำสั่งศาลฎีกาแล้ว นายไทกร ได้ยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์เดิมขอปล่อยชั่วคราวระหว่างที่จะอุทธรณ์คำสั่งที่ศาลไม่รับฎีกา ซึ่งศาลแขวงพระนครเหนือรับเรื่องไว้ และเตรียมส่งให้ศาลฎีกาพิจารณาต่อไป คาดว่าศาลฎีกาจะใช้เวลาพิจารณา 2-3 วัน ทำให้นายไทกรต้องถูกนำตัวเข้าเรือนจำพิเศษกรุงเทพ
นายวิวัฒน์ กล่าวว่า นอกจากคดีนี้ นายไทกรยังตกเป็นจำเลยของศาลจังหวัดน่าน สาขาปัว ในคดีฉ้อโกง โดยแอบอ้างโครงการไทยเข้มแข็งในลักษณะเดียวกับที่แอบอ้างกับตน ซึ่งมีมูลค่าความเสียหาย 18 ล้านบาท ขณะนี้คดีอยู่ระหว่างการสืบพยาน
มติชนออนไลน์ วันที่ 09 ธันวาคม พ.ศ. 2557