ผมกับแฟนแต่งงานกันและคบกันมาเกือบจะ 20 ปีแล้ว
เรามีลูก 2 คน และกำลังจะมีอีกคน (จะคลอดประมาณ มีนาคม 2559)
ผมทำงานที่บ้านครับ ธุรกิจกงสี
ส่วนแฟนตอนนี้ก็ช่วยงานที่บ้านเขา (เพิ่งกลับไปช่วยได้ 2 ปีกว่าๆ)
ก่อนหน้านี้เขาไม่ได้ทำงานครับ เป็นแม่บ้านเลี้ยงลูกอย่างเดียว
ปัญหามันเริ่มจะเกิดขึ้นเมื่อพ่อตาเริ่มมาพูดกับผมว่าเขาอยากจะวางมือ
อยากจะให้ลูกๆ มาสานต่อกิจการ (บ้านแฟนมีลูก 3 คนครับ 3 สาว)
ซึ่งธุรกิจของเขานั้นเป็นผู้รับเหมาตแต่งภายในครับ
ซึ่งแฟนผมคนเดียวในบ้านที่เรียนจบมาทางด้านนี้ (เพราะเขาชอบด้วยมั๊งครับ)
ส่วนพี่สาวคนโตเรียนไม่จบ ไม่เอาถ่านอะไรเลย... สมัยเรียนก็บ้าแต่ผู้ชาย หลอกพ่ออยากไปเรียนต่อ ตปท...
พอส่งไปเรียนจริงๆก็ไม่ได้ไปเรียนครับ (ทำตัวเหลวไหล)
ส่วนน้องคนเล็กก็เรียนจบมาทางด้าน Graphic Design แต่ก็ถือว่าเป็นคนขยันครับ
เพราะผมเห็นน้องเขามาตั้งตอน ป.1 (ผมคบกับแฟนมานานมากๆ เกือบจะ 20 ปีแล้ว)
ต่อครับ...
พ่อตาผมเริ่มมาพูดกับผมเพื่อต้องการให้ผมมาบอกให้แฟนกลับไปช่วยทำงานที่บ้าน
คราวนี้ก็มาถึงเวลาที่จะต้องมาชี้แจงกันเรื่องการจัดตั้งบริษัท
พ่อตาบอกว่าจะให้พี่สาวคนโต 50% แฟนผม 30% น้องคนเล็ก 20%
ผมเลยงงครับ เพราะไม่คิดว่าพ่อตาจะมีความคิดแบบนี้ (ดูเหมือนแกจะรักลูกสาวคนโตมากๆ)
ผมก็เลยแย้งไปครับว่าทำแบบนี้มันไม่ยุติธรรม เพราะแฟนผมก็ไม่เห็นด้วยเช่นกัน รวมทั้งน้องสาวคนเล็ก
ก็เลยตกลงกันใหม่เป็น 40/30/30 คือยังไงไอ้พี่สาวคนโตแมร่งก็ยังถือหุ้นใหญ่สุดอยู่ดี
โดยตกลงกันว่าจะให้เงินเดือนตัวเองคนละ 30,000 บาทเท่ากัน ส่วนน้องคนเล็ก 25,000 บาท
ทุกๆคนต่างก็รู้ดีครับว่าบทบาทหน้าที่ในการทำงานนั้นจะต้องทำหนักมาก (คือแฟนผมกับน้องผมจะต้องดูแลในส่วนหน้างาน)
พูดง่ายๆก็เปรียบเสมือน Foreman แหล่ะครับ + กับหน้าที่อื่นๆ จัดซื้อ ตามงาน ดูแลงาน ตรวจเช็คงานทุกอย่าง
โดยที่ไอ้คุณพี่สาวได้ตำแหน่ง MD นั่งเซ็นเช็คจ่าย Supplier เพียงอย่างเดียว
ปัญหาเริ่มจะเยอะขึ้นเพราะเมื่อต้นปีนี้เจ้าพี่เขยมีมากระซิปกับแฟนว่าจะเข้ามาช่วยงานที่บริษัท
แฟนก็นึกว่าพูดเล่น เพราะคิดว่าถ้าเป็นเรื่องจริงทำไมพี่สาวตัวเองถึงไม่ได้มาปรึกษาอะไรก่อนล่ะ
พอถามไปถามมาก็มาทราบทีหลังว่าเพราะพ่อตาเป็นคนเรียกให้เข้ามาทำ
ผมก็งงๆเพราะทราบดีว่าพี่เขยของแฟนผมมันทำงานที่ EST ได้เงินเดือนแสนกว่า...
ผมเลยถามว่าแล้วถ้ามันมาทำบริษัทเธอได้เงินเดือน 30,000 บาทมันจะไหวเหรอ?
ก็คิดไปเองอะครับ เพราะคิดว่าเงินเดือนก็ไม่ควรเกินหน้าเกินตาพี่น้องทั้ง 3 คนใช่เปล่าครับ
ปรากฏว่าไม่ใช่ครับ พ่อตาผมจะให้เงินเดือนแสนกว่าตามที่มันเคยได้มาจากที่เก่า!
โอ้วพระเจ้า! ผมและแฟนเลยตกใจมากครับ อะไรกันเนี่ยพ่อตามันคิดอะไรอยู่ฟระ
เพราะพี่เขยแฟนผมเองก็ไม่ได้จบมาทางด้านนี้เลย ดูแบบก็ไม่เป็น สรุปสั้นๆ มันก็ต้องมาเริ่มเรียนรู้ใหม่นั่นแหล่ะ
แฟนผมไม่พอใจมากๆ เลยบอกพ่อตาไปว่าถ้าพ่อตาจะให้พี่เขยแสนกว่า ก็ต้องให้แฟนผมกับน้องสาวแสนกว่าเหมือนกัน
ส่วนพี่สาวไม่ต้องเพิ่มเพราะคิดว่ามันแทบไม่ได้ทำอะไรเลย...
พ่อตาผมออกอาการโมโหมากๆ (ผมเริ่มดูอาการออก) และพูดประมาณว่าถ้าพวก (แฟนผมกับน้องสาว) จะเอาเงินเดือนแสนกว่า
พวกต้องมาทำวันอาทิตย์ (แล้วพี่คนโตกับสามีมันล่ะต้องมาทำด้วยหรือเปล่า)
คือผมเริ่มรู้สึกแล้วว่าทุกสิ่งทุกอย่างนี่เป็นการวางแผนของพ่อตาล้วนๆเลย
เขาคงรักลูกสาวคนโตมากๆ เลยอยากจะสร้างรากฐานทางธุรกิจให้ แต่เผอิญมันดันไม่เอาถ่านทำอะไรไม่เป็นซักอย่าง
เลยต้องมาพึ่งความสามารถของลูกๆคนอื่นแทน แต่แล้วแผนชั่วก็ถูกผมเปิดโปง
ผมเลยบอกแฟนให้ไปเช็คซิว่าที่คุยกันตั้งแต่แรกเรื่องการก่อตั้งบริษัทมันเป็นไปตามที่พูดหรือเปล่า
1. จำนวนหุ้น
2. ผู้มีอำนาจลงนาม 2 ใน 3
พอแฟนไปเช็คก็ตกใจว่าทำไมผู้มีอำนาจลงนามในบริษัทถึงมีเพียงพี่สาวคนเดียว
อ้าวไหงเป็นแบบนี้ฟระ คุยกันตอนแรกแมร่งพูดซะอย่างหรูเลย!
ทุกอย่างเริ่มเห็นได้ชัดเจนมากขึ้น
เพราะผมบอกแฟนว่าให้ลองไปตรวจสอบบัญชีดูสิว่ามันมีอะไรผิดปกติไหม
เพราะทำมา 2 ปีแมร่งไม่มีกำไรอะไรเลย... มีแต่ให้โบนัสมา 5 แสน (อาจจะดูเหมือนเยอะน้ะครับ)
แต่รวมเงินเดือนเฉลี่ยมันก็ประมาณ 71,666 บาทต่อเดือน
ทั้งๆที่ยอดขายบริษัทก็ตกประมาณปีละ 150 ล้านบาท
กำไร 10-15% ขั้นต่ำก็ต้องมีประมาณ 15-22.5 ล้านบาท
แต่พอแฟนผมจะขอตรวจสอบบัญชี เจ้าพี่สาวคนโตก็เริ่มทำเป็นบ่ายเบี่ยงบ้าง
บอกว่ายังไม่ได้ทำรายละเอียดอะไรเลย...
สรุปคือแฟนผมไม่สามารถตรวจสอบอะไรได้เลย....
มาตอนนี้บริษัทรับงานใหญ่ขึ้นอีกจากปีละ 150 ล้านตอนนี้กลายเป็น 200 กว่าล้านแล้ว
พ่อตาเลยจะขอทำวงเงินกับธนาคารครับ... ทีนี้สิมันมาติดตรงที่ว่าผมกับแฟนแต่งงานกันถูกต้องตามกฏหมาย
ธนาคารต้องการให้แฟนผมไปเซ็นค้ำประกันวงเงินในนามส่วนตัว (ก็ธรรมดาของธนาคารครับผมเข้าใจ)
ผมเลยบอกพ่อตาว่าขอเวลาผมปรึกษาทนายก่อนได้ไหมเพราะว่าผมมีบ้านที่พ่อแม่ผมซื้อไว้ให้
คือเราก็ได้ยินมาเยอะเหมือนกันครับเกี่ยวกับเรื่องเซ็นค้ำประกัน...
แล้วแฟนผมก็ไม่ยอมเซ็นให้ด้วยเพราะเขาก็กลัวจะมีปัญหาถึงทรัพย์สินส่วนตัวของเรา
เท่านั้นแหละครับ พ่อตาตัวแสบโกรธผมมากๆ หาว่าผมกับแฟนผมเห็นแก่ตัวที่ไม่ยอมเซ็นค้ำประกันให้เขา (ของผมต้องเซ็นรับรู้ครับ)
ส่วนเจ้าพี่สาวตัวแสบนั้นไม่เป็นไรอยู่แล้ว เพราะเขาไม่ได้จดทะเบียนสมรสกันครับ (สงสัยมันวางแผนกันมาอย่างดี)
รู้ไหมครับแฟนผมท้อง 5 เดือนแล้ว แต่พ่อตายังต้องให้ไปดูงานตึก 10 ชั้น (ขาขึ้นบางที่ก็มีลิฟท์ครับ แต่ขาลงต้องเดินลงตรวจงานทีละชั้น)
พ่อแบบไหนหนอที่มันไม่สนใจลูกกับหลานมันเลยเหรอ? ผมรับไม่ได้กับเรื่องนี้จริงๆครับ....
คิดในใจเสมอว่าอย่าให้มีอะไรเกิดขึ้นกับแฟนผมและลูกในท้องเลย...
ทุกวันนี้แฟนผมต้องขับรถไปดูงานที่พัทยาอาทิตย์นึง 2-3 วัน (ไปเช้าเย็นกลับ)
ไม่อยากคิดเลยว่าผู้หญิงขับรถแล้วจะปลอดภัยเท่าผู้ชายขับ
ไอ้พี่สาวคนโตตอนมันท้องน้ะครับ... นั่งอยู่แต่ในห้องนอน (ห้องนอนบนออฟฟิต) ตลอด
หากมีเอกสารหรือเช็คให้เซ็นก็ต้องให้คนเอาขึ้นไปเซ็นให้
นี่หรือคือความยุติธรรม หรือนี่มันเป็นเรื่องปกติของคนจีนครับ
อีกแค่ 3 เดือนก็จะครบกำหนดคลอดแล้ว
ผมคงจะไม่แฟนกลับไปทำงานอีกแล้ว
ถึงเงินที่ได้มามากพอทีจะช่วยเหลือค่าใช้จ่ายต่างๆในบ้านก็จริง
แต่มันคงไม่คุ้มเลยถ้ามันเกิดอะไรขึ้นแล้วมันไม่สามารถจะย้อนกลับไปได้
รู้สึกผิดจริงๆที่ไปพูดให้แฟนกลับไปช่วยงานพ่อเขา
อยากจะขอโทษจริงๆ แต่ก็พูดไม่ออกเลย
ปัญหาโลกแตก ปัญหาครอบครับ ขอระบายหน่อยครับ
เรามีลูก 2 คน และกำลังจะมีอีกคน (จะคลอดประมาณ มีนาคม 2559)
ผมทำงานที่บ้านครับ ธุรกิจกงสี
ส่วนแฟนตอนนี้ก็ช่วยงานที่บ้านเขา (เพิ่งกลับไปช่วยได้ 2 ปีกว่าๆ)
ก่อนหน้านี้เขาไม่ได้ทำงานครับ เป็นแม่บ้านเลี้ยงลูกอย่างเดียว
ปัญหามันเริ่มจะเกิดขึ้นเมื่อพ่อตาเริ่มมาพูดกับผมว่าเขาอยากจะวางมือ
อยากจะให้ลูกๆ มาสานต่อกิจการ (บ้านแฟนมีลูก 3 คนครับ 3 สาว)
ซึ่งธุรกิจของเขานั้นเป็นผู้รับเหมาตแต่งภายในครับ
ซึ่งแฟนผมคนเดียวในบ้านที่เรียนจบมาทางด้านนี้ (เพราะเขาชอบด้วยมั๊งครับ)
ส่วนพี่สาวคนโตเรียนไม่จบ ไม่เอาถ่านอะไรเลย... สมัยเรียนก็บ้าแต่ผู้ชาย หลอกพ่ออยากไปเรียนต่อ ตปท...
พอส่งไปเรียนจริงๆก็ไม่ได้ไปเรียนครับ (ทำตัวเหลวไหล)
ส่วนน้องคนเล็กก็เรียนจบมาทางด้าน Graphic Design แต่ก็ถือว่าเป็นคนขยันครับ
เพราะผมเห็นน้องเขามาตั้งตอน ป.1 (ผมคบกับแฟนมานานมากๆ เกือบจะ 20 ปีแล้ว)
ต่อครับ...
พ่อตาผมเริ่มมาพูดกับผมเพื่อต้องการให้ผมมาบอกให้แฟนกลับไปช่วยทำงานที่บ้าน
คราวนี้ก็มาถึงเวลาที่จะต้องมาชี้แจงกันเรื่องการจัดตั้งบริษัท
พ่อตาบอกว่าจะให้พี่สาวคนโต 50% แฟนผม 30% น้องคนเล็ก 20%
ผมเลยงงครับ เพราะไม่คิดว่าพ่อตาจะมีความคิดแบบนี้ (ดูเหมือนแกจะรักลูกสาวคนโตมากๆ)
ผมก็เลยแย้งไปครับว่าทำแบบนี้มันไม่ยุติธรรม เพราะแฟนผมก็ไม่เห็นด้วยเช่นกัน รวมทั้งน้องสาวคนเล็ก
ก็เลยตกลงกันใหม่เป็น 40/30/30 คือยังไงไอ้พี่สาวคนโตแมร่งก็ยังถือหุ้นใหญ่สุดอยู่ดี
โดยตกลงกันว่าจะให้เงินเดือนตัวเองคนละ 30,000 บาทเท่ากัน ส่วนน้องคนเล็ก 25,000 บาท
ทุกๆคนต่างก็รู้ดีครับว่าบทบาทหน้าที่ในการทำงานนั้นจะต้องทำหนักมาก (คือแฟนผมกับน้องผมจะต้องดูแลในส่วนหน้างาน)
พูดง่ายๆก็เปรียบเสมือน Foreman แหล่ะครับ + กับหน้าที่อื่นๆ จัดซื้อ ตามงาน ดูแลงาน ตรวจเช็คงานทุกอย่าง
โดยที่ไอ้คุณพี่สาวได้ตำแหน่ง MD นั่งเซ็นเช็คจ่าย Supplier เพียงอย่างเดียว
ปัญหาเริ่มจะเยอะขึ้นเพราะเมื่อต้นปีนี้เจ้าพี่เขยมีมากระซิปกับแฟนว่าจะเข้ามาช่วยงานที่บริษัท
แฟนก็นึกว่าพูดเล่น เพราะคิดว่าถ้าเป็นเรื่องจริงทำไมพี่สาวตัวเองถึงไม่ได้มาปรึกษาอะไรก่อนล่ะ
พอถามไปถามมาก็มาทราบทีหลังว่าเพราะพ่อตาเป็นคนเรียกให้เข้ามาทำ
ผมก็งงๆเพราะทราบดีว่าพี่เขยของแฟนผมมันทำงานที่ EST ได้เงินเดือนแสนกว่า...
ผมเลยถามว่าแล้วถ้ามันมาทำบริษัทเธอได้เงินเดือน 30,000 บาทมันจะไหวเหรอ?
ก็คิดไปเองอะครับ เพราะคิดว่าเงินเดือนก็ไม่ควรเกินหน้าเกินตาพี่น้องทั้ง 3 คนใช่เปล่าครับ
ปรากฏว่าไม่ใช่ครับ พ่อตาผมจะให้เงินเดือนแสนกว่าตามที่มันเคยได้มาจากที่เก่า!
โอ้วพระเจ้า! ผมและแฟนเลยตกใจมากครับ อะไรกันเนี่ยพ่อตามันคิดอะไรอยู่ฟระ
เพราะพี่เขยแฟนผมเองก็ไม่ได้จบมาทางด้านนี้เลย ดูแบบก็ไม่เป็น สรุปสั้นๆ มันก็ต้องมาเริ่มเรียนรู้ใหม่นั่นแหล่ะ
แฟนผมไม่พอใจมากๆ เลยบอกพ่อตาไปว่าถ้าพ่อตาจะให้พี่เขยแสนกว่า ก็ต้องให้แฟนผมกับน้องสาวแสนกว่าเหมือนกัน
ส่วนพี่สาวไม่ต้องเพิ่มเพราะคิดว่ามันแทบไม่ได้ทำอะไรเลย...
พ่อตาผมออกอาการโมโหมากๆ (ผมเริ่มดูอาการออก) และพูดประมาณว่าถ้าพวก (แฟนผมกับน้องสาว) จะเอาเงินเดือนแสนกว่า
พวกต้องมาทำวันอาทิตย์ (แล้วพี่คนโตกับสามีมันล่ะต้องมาทำด้วยหรือเปล่า)
คือผมเริ่มรู้สึกแล้วว่าทุกสิ่งทุกอย่างนี่เป็นการวางแผนของพ่อตาล้วนๆเลย
เขาคงรักลูกสาวคนโตมากๆ เลยอยากจะสร้างรากฐานทางธุรกิจให้ แต่เผอิญมันดันไม่เอาถ่านทำอะไรไม่เป็นซักอย่าง
เลยต้องมาพึ่งความสามารถของลูกๆคนอื่นแทน แต่แล้วแผนชั่วก็ถูกผมเปิดโปง
ผมเลยบอกแฟนให้ไปเช็คซิว่าที่คุยกันตั้งแต่แรกเรื่องการก่อตั้งบริษัทมันเป็นไปตามที่พูดหรือเปล่า
1. จำนวนหุ้น
2. ผู้มีอำนาจลงนาม 2 ใน 3
พอแฟนไปเช็คก็ตกใจว่าทำไมผู้มีอำนาจลงนามในบริษัทถึงมีเพียงพี่สาวคนเดียว
อ้าวไหงเป็นแบบนี้ฟระ คุยกันตอนแรกแมร่งพูดซะอย่างหรูเลย!
ทุกอย่างเริ่มเห็นได้ชัดเจนมากขึ้น
เพราะผมบอกแฟนว่าให้ลองไปตรวจสอบบัญชีดูสิว่ามันมีอะไรผิดปกติไหม
เพราะทำมา 2 ปีแมร่งไม่มีกำไรอะไรเลย... มีแต่ให้โบนัสมา 5 แสน (อาจจะดูเหมือนเยอะน้ะครับ)
แต่รวมเงินเดือนเฉลี่ยมันก็ประมาณ 71,666 บาทต่อเดือน
ทั้งๆที่ยอดขายบริษัทก็ตกประมาณปีละ 150 ล้านบาท
กำไร 10-15% ขั้นต่ำก็ต้องมีประมาณ 15-22.5 ล้านบาท
แต่พอแฟนผมจะขอตรวจสอบบัญชี เจ้าพี่สาวคนโตก็เริ่มทำเป็นบ่ายเบี่ยงบ้าง
บอกว่ายังไม่ได้ทำรายละเอียดอะไรเลย...
สรุปคือแฟนผมไม่สามารถตรวจสอบอะไรได้เลย....
มาตอนนี้บริษัทรับงานใหญ่ขึ้นอีกจากปีละ 150 ล้านตอนนี้กลายเป็น 200 กว่าล้านแล้ว
พ่อตาเลยจะขอทำวงเงินกับธนาคารครับ... ทีนี้สิมันมาติดตรงที่ว่าผมกับแฟนแต่งงานกันถูกต้องตามกฏหมาย
ธนาคารต้องการให้แฟนผมไปเซ็นค้ำประกันวงเงินในนามส่วนตัว (ก็ธรรมดาของธนาคารครับผมเข้าใจ)
ผมเลยบอกพ่อตาว่าขอเวลาผมปรึกษาทนายก่อนได้ไหมเพราะว่าผมมีบ้านที่พ่อแม่ผมซื้อไว้ให้
คือเราก็ได้ยินมาเยอะเหมือนกันครับเกี่ยวกับเรื่องเซ็นค้ำประกัน...
แล้วแฟนผมก็ไม่ยอมเซ็นให้ด้วยเพราะเขาก็กลัวจะมีปัญหาถึงทรัพย์สินส่วนตัวของเรา
เท่านั้นแหละครับ พ่อตาตัวแสบโกรธผมมากๆ หาว่าผมกับแฟนผมเห็นแก่ตัวที่ไม่ยอมเซ็นค้ำประกันให้เขา (ของผมต้องเซ็นรับรู้ครับ)
ส่วนเจ้าพี่สาวตัวแสบนั้นไม่เป็นไรอยู่แล้ว เพราะเขาไม่ได้จดทะเบียนสมรสกันครับ (สงสัยมันวางแผนกันมาอย่างดี)
รู้ไหมครับแฟนผมท้อง 5 เดือนแล้ว แต่พ่อตายังต้องให้ไปดูงานตึก 10 ชั้น (ขาขึ้นบางที่ก็มีลิฟท์ครับ แต่ขาลงต้องเดินลงตรวจงานทีละชั้น)
พ่อแบบไหนหนอที่มันไม่สนใจลูกกับหลานมันเลยเหรอ? ผมรับไม่ได้กับเรื่องนี้จริงๆครับ....
คิดในใจเสมอว่าอย่าให้มีอะไรเกิดขึ้นกับแฟนผมและลูกในท้องเลย...
ทุกวันนี้แฟนผมต้องขับรถไปดูงานที่พัทยาอาทิตย์นึง 2-3 วัน (ไปเช้าเย็นกลับ)
ไม่อยากคิดเลยว่าผู้หญิงขับรถแล้วจะปลอดภัยเท่าผู้ชายขับ
ไอ้พี่สาวคนโตตอนมันท้องน้ะครับ... นั่งอยู่แต่ในห้องนอน (ห้องนอนบนออฟฟิต) ตลอด
หากมีเอกสารหรือเช็คให้เซ็นก็ต้องให้คนเอาขึ้นไปเซ็นให้
นี่หรือคือความยุติธรรม หรือนี่มันเป็นเรื่องปกติของคนจีนครับ
อีกแค่ 3 เดือนก็จะครบกำหนดคลอดแล้ว
ผมคงจะไม่แฟนกลับไปทำงานอีกแล้ว
ถึงเงินที่ได้มามากพอทีจะช่วยเหลือค่าใช้จ่ายต่างๆในบ้านก็จริง
แต่มันคงไม่คุ้มเลยถ้ามันเกิดอะไรขึ้นแล้วมันไม่สามารถจะย้อนกลับไปได้
รู้สึกผิดจริงๆที่ไปพูดให้แฟนกลับไปช่วยงานพ่อเขา
อยากจะขอโทษจริงๆ แต่ก็พูดไม่ออกเลย