(บทความ) ต้นแบบคำว่าแบบไทยๆ รัฐประหารในวันวาน 50ปีแล้วเรายังไม่ได้คำตอบอีกหรือ

.
       การรัฐประหารเมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2501 ซึ่งเป็นการรัฐประหารครั้งที่ 2 ของจอมพลสฤษดิ์ แต่นับเป็นการรัฐประหารครั้งสำคัญที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์การเมืองไทย เพราะการรัฐประหารครั้งนี้มีผลทำให้การเมืองการปกครองไทยต้องเข้าสู่รูปแบบของเผด็จการอำนาจนิยม (authoritarianism) เป็นเวลานานถึง 15 ปี และทำให้ทหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งทหารบก มีบทบาทอย่างสูงต่อการเมืองการปกครองไทยในระยะเวลาต่อมา

สาเหตุของการรัฐประหาร 20 ตุลาคม 2501

       สาเหตุสำคัญที่ทำให้จอมพลสฤษดิ์เข้าทำรัฐประหารในครั้งนี้ พอจะสรุป คือ
1.ฐานะการคลังของรัฐบาล
       อันเป็นผลสืบเนื่องมาจากรัฐบาลชุด พล.ท.ถนอม กิตติ ขจร ต้องเผเชิญกับวิกฤตการณ์ทางด้านการคลัง กล่าวคือ งบประมาณประจำปี 2500 ขาดดุลอยู่ถึงกว่า 2,000 ล้านบาท ซึ่งจอมพลสฤษดิ์ได้พูดถึงประเด็นนี้ว่า "…สมัยก่อนหน้าที่จะมีการปฏิวัติ ชาติที่รักของเราต้องตกอยู่ในสภาวะที่คับขันเพียงใด ฐานะทางการเงินการคลังของประเทศต้องทรุดลงไปอย่างหนักยิ่ง รัฐบาลต้องตกเป็นลูกหนี้ธนาคารแห่งชาติ ถึง 1,507 ล้านบาทเศษ" ทางออกของรัฐบาลก็คือ การขอความช่วยเหลือจากสหรัฐอเมริกาเพื่อสนับสนุนโครงการด้านเศรษฐกิจทั้งหมดใน พ.ศ. 2501 - 2502 เป็นเงิน 58.9 ล้านเหรียญสหรัฐ (เกือบ 600 ล้านบาทตามค่าเงินในสมัยนั้น)

       ในทัศนของผู้เขียนเห็นว่าประเด็นเรื่องงบประมาณขาดดุลเป็นเพียงข้ออ้างข้างๆคูๆเท่านั้น เพราะตลอดระยะเวลา 26 ปีนับจาก พศ.2475 มาถึงยุค จอมพลสฤษดิ์ ไม่เคยมีรัฐบาลชุดใดเลยที่จัดทำงบประมาณแบบไม่ขาดดุล และตลอดระยะเวลาที่ประเทศไทยใช้ระบอบประชาธิปไคยปกครองประเทศนั้น มีเพียงรัฐบาลชุดเดียวที่สามารถจัดทำงบประมาณแบบไม่ขาดดุลได้ ซึ่งนั้นก็รู้กันอยู่ว่าเป็นฝีมือใคร แต่ถึงยังไงรัฐบาลชุดนั้นของ ดร.ทักษิณ ก็โดนรัฐประหารอยู่ดี ดังนั้นเรื่องงบประมาณมันเป็นเพียงข้ออ้าง

2.ภัยคอมมิวนิสต์

       จอมพลสฤษดิ์มองว่า ภัยจากคอมมิวนิสต์เป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ และอาจเป็นไปได้ที่ว่า การอ้างการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์ได้ถูกใช้เป็นเครื่องมือในการปราบปรามนักการเมืองตลอดจนปัญญาชนที่เป็นฝ่ายตรงข้าม โดยจอมพลสฤษดิ์ได้พูดถึงเรื่องนี้ว่า "…ที่ร้ายยิ่งกว่านั้น คอมมิวนิสต์ได้โหมปฏิบัติการอย่างกว้างขวางเพื่อแทรกซึมเข้าไปในวงการต่าง ๆ เพื่อล้มล้างสถาบันอันศักสิทธิ์ของชาติเราคือ ชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ อย่างน่าห่วงใยและผู้แทนราษฎรหลายคนได้ยอมขายตนเป็นเครื่องมือของลัทธินี้อย่างเปิดเผย…"

       ในขณะเดียวกันนั้น สถานการณ์การเมืองระหว่างประเทศได้แบ่งออกเป็นสองฝ่ายคือ ฝ่ายคอมมิวนิสต์ที่นำโดยรัสเซียและฝ่ายโลกเสรีนิยมที่นำโดยอเมริกา มีการทำสงครามเย็นกันอย่างกว้างขวางทั่วไป

       แต่สิ่งที่ปรากฏจริงๆคือ การปราบคอมมิวนิสต์ คือข้ออ้างในการกำจัดผู้ที่เห็นต่างเท่านั้น นักการเมืองฝ่ายตรงข้ามหลายคนถูกกำจัดไปด้วยข้อหาที่ฝ่ายรัฐยัดเยียดให้ว่าเป็นโจร คอมมิวนิสต์

       ในทัศนะของผู้เขียนเห็นว่า การปราบปรามผู้เห็นต่างในทุกครั้งที่มีการรัฐประหาร ก็มักจะอ้างความมั่นคงของชาติ และสถาบันพระมหากษัตรีย์ทุกครั้งไป อ้างว่าทำเพื่อประชาชน แต่ไม่มีสักครั้งเลยที่ประชาชนเป็นผู้ได้ประโยชน์จากการรัฐประหาร ในยุค จอมพลสฤษดิ์ เมื่อหลักฐานปรากฏตอนที่นายพลคนนี้ถึงแก่อาสัญกรรม ว่าจอมพลนายนี้มีทรัพย์สินรวมกว่า 2000 พันล้านบาทให้เหล่าบรรดา ภรรยาและอนุภรรยาทั้งหลายแย่งชิงกันวุ่นวายจนเป็นข่าวคึกโครมในสมัยนั้น

       2000 กว่าล้านมาจากไหน ในยุคที่ไม่มีกิจการผูกขาดสัปทานรัฐ เมื่อ 60 ปีก่อน การจะหาเงินได้สักล้านหนึ่งก็ลำบากเลือดตาแทบกระเด็นแล้ว แต่นายพลนายนี้กลับมีทรัพย์มหาศาล ทั้งที่ตลอดชีวิตที่ผ่านมา รับราชการอย่างเดียว เงินเดือนเบี้ยหวัดในสมัยนั้น ถึงมียศจอมพล ก็ใช่ว่าจะได้เงินเดือนถึงหลักหมื่น

และเหตุผลในการทำรัฐประหารของจอมพลสฤษดิ์ข้อสุดท้าย
3.ความไม่พอใจต่อระบบการเมืองแบบประชาธิปไตยตะวันตก
       โดยอ้างว่าไม่เหมาะสมกับประเทศไทย ดังจะเห็นได้จากข้อความที่ว่า"ในเวลาทำรัฐประหารในวันที่ 16 กันยายน 2500 นั้น มิได้มีการแก้ไขรูปแบบการปกครองบ้านเมืองใหม่ คงปล่อยให้ดำเนินการตามแบบเดิม กล่าวคือ ยังคงมีรัฐสภา มีพรรคการเมือง ให้เสถียรภาพหนังสือพิมพ์ที่วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลได้อย่างเต็มที่และกว้างขวาง มีสหพันธ์และสหบาลกรรมกรที่ชอบหยุดงานและสไตรค์เมื่อไม่พอใจนายจ้าง เหล่านี้เป็นต้น… ที่ร้ายที่สุดก็คือ ผู้แทนราษฎรทั้งหลายพยายามแก่งแย่งชิงกันเป็นรัฐมนตรีและข้าราชการการเมือง โดยขู่รัฐบาลว่า ถ้าไม่แต่งตั้งแล้วก็จะถอนตัวออกจากการสนับสนุนรัฐบาล พากันไปตั้งพรรคฝ่ายค้านขึ้นใหม่ ในที่สุดมีความเห็นพ้องกันว่า จะต้องใช้วิธีปฏิวัติหรือผ่าตัดขนาดใหญ่ จึงจะสามารถแก้ปัญหาของประเทศชาติขณะนั้นได้.."

       ในทัศนะของผู้เขียนเห็นว่านี้เป็นจุดเริ่มต้นแบบไทยๆ ที่เอะอะก็เอาแต่โทษระบอบฝรั่งว่าไม่เหมาะสมกับวิถีชีวิตแบบไทยๆ ดีแต่โทษนักการเมืองว่าดีแต่แย่งชิงตำแหน่งกันไม่เห็นหัวประชาชน แต่คนแบบนี้กลับไม่เคยสำนึกดูตัวเองเลยว่าตนเองนั้นแหละที่เป็นคนแย่งชิงอำนาจจากประชาชนมากที่สุดที่เป็นนกลุ่มน้อยนั้นแหละ ที่คอยถ่วงความเจริญของระบอบประชาธิปไตย ไม่ใช่นักการเมืองที่เข้ามาถูกต้องโดยมติร่วมกันของประชาชน

       มีจุดหนึ่งที่น่าสังเกตอย่างหนึ่งของรัฐบาลที่มาจากการรัฐประหาร ก็คือจะเป็นรัฐบาลที่มีไอเดียบรรเจิดมาก โดยมักอ้างปัญหาต่างๆนานา แล้วก็ออกนโยบายแปลกๆมาเพื่อแก้ไขปัญหาเหล่านั้น จอมพลสฤษดิ์ก็เช่นกัน เมื่อไม่สามารถปัญหาสังคม เช่น ปัญหายาเสพติด อาชญากรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ชายจากชนบทส่วนมากเข้าเมืองและประกอบอาชีพถีบสามล้อ ซึ่งจอมพลสฤษดิ์ใช้วิจารณญานส่วนตัวมองว่าทำให้เกิดความเสื่อมเสียต่อภาวะเศรษฐกิจ เนื่องจากไม่ทำให้เกิดผลผลิตและสร้างความเสื่อมโทรม ไม่เป็นระเบียบ โดยกล่าวว่า"…ปัญหาใหญ่อยู่ที่ว่า ชายฉกรรจ์ชาวหัวเมืองในชนบทของเราเป็นจำนวนหมื่นจะละทิ้งงานผลิต คือ เกษตรกรรม มาทำงานที่ไม่ผลิต เช่น การขับขี่สามล้อนั้น เป็นการเสื่อมเสียทางเศรษฐกิจปรากฏแก่กระทรวงมหาดไทยว่า ผู้ประกอบอาชีพทางถีบสามล้อนั้นลงท้ายกลายเป็นคนติดฝิ่นไปเป็นจำนวนไม่น้อย…"

       เมื่อจอมพลสฤษดิ์ขึ้นสู่อำนาจแล้ว ก็ให้ยกเลิกอาชีพสามล้อ และให้ผู้ประกอบอาชีพนี้กลับคืนสู่ภูมิลำเนาเพื่อหวังให้คนเหล่านี้กลับไปทำอาชีพเกษตรกรรม

       นโยบายสุดติ่งกระดิ่งแมวแบบนี้ ออกมาจากรับบาลที่อาสาตัวเองเข้ามามีอำนาจด้วยการรัฐประหารอยู่เป็นประจำ ห้ามสามล้อถีบมาถีบรถรับส่งก็เคยมีมาแล้ว นับประสาอะไรกับที่........
จบดีกว่า


ป.ล.บทความนี้ เป็นเรื่องราวในอดีต และไม่ได้มีเนื้อหาส่วนหนึ่งส่วนใดที่เป็นภัยต่อความมั่นคงของรัฐ และไม่ขัดต่อประกาศ คสช ฉบับที่ 97.
(1) ข้อความอันเป็นเท็จ หรือที่ส่งไปในทางหมิ่นประมาท หรือสร้างความเกลียดชังต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ องค์รัชทายาท และพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์
(2) ข่าวสารที่จะเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ รวมทั้งหมิ่นประมาทบุคคลอื่น
(3) การวิพากษ์ วิจารณ์การปฏิบัติงานของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ เจ้าหน้าที่ของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ และบุคคลที่เกี่ยวข้อง
(4) ข้อมูลเสียง ภาพ วีดิทัศน์ ความลับของการปฏิบัติงานของหน่วยราชการต่างๆ
(5) ข้อมูลข่าวสารที่ส่อให้เกิดความสับสน ยั่วยุ ปลุกปั่นให้เกิดความขัดแย้ง หรือสร้างให้เกิดความแตกแยกในราชอาณาจักร
(6) การชักชวน ซ่องสุม ให้มีการรวมกลุ่มก่อการอันเกิดการต่อต้านเจ้าหน้าที่และบุคคลที่เกี่ยวข้องของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ
(7) การขู่จะประทุษร้ายหรือทำร้ายบุคคล อันนำไปสู่ความตื่นตระหนก หวาดกลัวแก่ประชาชน

และผมยินดีที่จะปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ของเว็บบอร์ดแห่งนี้ทุกประการ ซึ่งถ้าที่สุดแล้ว wm หรือฝ่ายกฎหมายเห็นว่ากะทู้นี้เข้าข่ายผิดกฎหมาย แล้วลบกะทู้ แต่กรุณาชี้แจ้งให้กระผมทราบด้วย ว่าผิดกฎหมายมาตราใด หรือขัดกับประกาศ คสช.ฉบับไหน เพราะตัวผมเองก็ไม่ได้ศึกษากฎหมายอย่างลึกซึ้งจนเข้าใจในทุกมาตรา แต่ก็ศึกษาหาความรู้เรื่องนี้ด้วยตัวเองตลอดมา และถ้าหากท่านชี้แจงว่า ลบกะทู้นี้เพราะผิดกฎหมายในมาตราใด ผมจะได้เข้าใจมากขึ้น และปฏิบัติตัวให้อยู่ในของเขตของกฎหมาย และกฎระเบียบของเว็บไซต์

ขอบคุณครับ

*แก้ไขตำผิด
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่