เครดิต คุณ Satienpong Borirakphusit
Money Management การจัดการด้านการเงิน
ในช่วงที่ตลาดหุ้นไทย(SET) ระยะนี้ผลตอบแทนเป็นลบ คนส่วนใหญ่ในตลาดขาดทุนมากกว่ากำไร ทำให้นึกถึง คำแนะนำจาก Mongkol Lu พี่หมง มงคล ลุสัมฤทธิ์ นักวางแผนทางการเงินระดับประเทศ เกี่ยวกับการนำเงินมาลงทุน
นักลงทุนมือใหม่มักจะเข้าตลาดเพราะอยากรวยเร็ว ด้วยภาพของนักลงทุนหุ้นหลายท่านที่ประสบความสำเร็จ ทำให้คิดว่าการเข้ามาในตลาดหุ้นนั้น เงินมันหาง่ายเหลือเกิน ดังนั้น มือใหม่หลายคนจึงเลือกที่จะนำเงินมาลงทุนใน SET โดยขาดการวางแผนการเงินอย่างแท้จริงไป
โดยปกติของการวางแผนการเงินนั้น การลุงทนจะเป็นสิ่งที่ต้องทำท้ายสุดหลังจาก เราจัดการด้านการเงินในด้านอื่นๆ ของชีวิตพร้อมแล้ว ซึ่งการจัดการด้านการเงินมีขั้นตอนคร่าวๆ ดังนี้
1. เงินใช้จ่ายฉุกเฉินที่ใช้ได้ 3-6 เดือน (มากกว่านั้นได้ก็จะดี)
2. การโอนย้ายความเสี่ยง ในที่นี้หมายถึงเงินที่ใช้ในการทำประกันชีวิต สุขภาพ เพื่อวันนึงเราเจ็บป่วยจะได้ไม่ต้องนำเงินออม มารักษาพยาบาล(ใช้เงินน้อยเพื่อรักษาเงินมาก)
3.เงินเพื่อการเกษียน(Retirement) ซึ่งอาจจะเป็นการออมในแต่ละเดือนอัตโนมัติ เช่น กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ เป็นต้น ซึ่งเป็นเงินในส่วนที่ควรวางแผนการออมตั้งแต่เริ่มทำงาน
4.เงินลงทุน(Investment) หลังจากจัดการด้านเงินในด้านอื่นๆเรียบร้อยเงินที่เหลือ(ขอใช้คำว่าเงินเย็น) คือการนำเงินไปลงทุน เช่น หุ้น ,คอนโด ,ที่ดิน เป็นต้น
ดังนั้น จะเห็นได้ว่า การลงทุนนั้น เน้น!!!เลย ว่าจะต้องใช้เงินเย็นเท่านั้น เงินเย็นคือเงินที่เราไม่ต้องจำเป็นต้องใช้มันไปอีกอย่างน้อย 3 ปีขึ้นไป(เพราะเราจัดการการเงินด้านอื่นครบถ้วนแล้วนิ) เพราะถ้าเราไม่ใช้เงินเย็นจริงๆ จะส่งผลต่อความกดดันในการลงทุนแน่นอน เพราะการลงทุนโดยหวังจะให้รวยเร็วนั้นไม่มีจริงและไม่ยั่งยืน ที่เห็นหลายๆท่านร่ำรวยล้วนผ่านเบื้องหลังที่โคตรจะอดทน พยายาม มุ่งมั่นมากมาย
สรุป ที่กล่าวมาทั้งหมด(จบซะที)
ปัจจุบันเห็นหลายคนนำเงินที่ไม่ใช่เงินเย็น เช่น การไปกู้เงินมาเล่นหุ้น(อันนี้โคตรอันตรายเลย!! คิดได้ไง ดอกเบี้ยก็เสีย) , การเอาเงินฉุกเฉินมาลงทุน ซึ่งถ้าลงทุนแล้วได้กำไรก็ดีไปแต่ถ้าขาดทุน แล้วเกิดตกงานขึ้นมา หรือเจ็บป่วย (กินแกลบแสบตูดแน่นอน)
ส่วนใครอยากลงทุนแต่ยังไม่มีเงินเย็น แนะนำให้ลงทุนในความรู้กับตัวเองไปก่อนจะดีกว่านะคับ หรือหารายได้เพิ่มเพื่อจะได้มีเงินเย็นไปลงทุนนะ ทำตามเครดิตข้างล่างนี้คับ
เพิ่มเติม เครดิตจากพี่เสือ
"ท้ายที่สุดแล้ว เราต้องเพิ่มฝั่ง income ให้ชนะค่าครองชีพไปเรื่อยๆ เพื่อเพิ่มฝั่งของส่วนต่างของเงินที่จะมาลงทุน โดยการเพิ่ม income หลายช่องทาง จะช่วยลดความเสี่ยงด้วย"
#ขอบคุณที่นั่งอ่าน #ผิดพลาดประการใดโปรดชี้แนะ #ทำสไลด์ไม่ค่อยสวยขออภัยด้วยคับ #กราบทุกท่าน
ทำไมต้องวางแผนการเงิน ก่อนวางแผนลงทุน
เครดิต คุณ Satienpong Borirakphusit
Money Management การจัดการด้านการเงิน
ในช่วงที่ตลาดหุ้นไทย(SET) ระยะนี้ผลตอบแทนเป็นลบ คนส่วนใหญ่ในตลาดขาดทุนมากกว่ากำไร ทำให้นึกถึง คำแนะนำจาก Mongkol Lu พี่หมง มงคล ลุสัมฤทธิ์ นักวางแผนทางการเงินระดับประเทศ เกี่ยวกับการนำเงินมาลงทุน
นักลงทุนมือใหม่มักจะเข้าตลาดเพราะอยากรวยเร็ว ด้วยภาพของนักลงทุนหุ้นหลายท่านที่ประสบความสำเร็จ ทำให้คิดว่าการเข้ามาในตลาดหุ้นนั้น เงินมันหาง่ายเหลือเกิน ดังนั้น มือใหม่หลายคนจึงเลือกที่จะนำเงินมาลงทุนใน SET โดยขาดการวางแผนการเงินอย่างแท้จริงไป
โดยปกติของการวางแผนการเงินนั้น การลุงทนจะเป็นสิ่งที่ต้องทำท้ายสุดหลังจาก เราจัดการด้านการเงินในด้านอื่นๆ ของชีวิตพร้อมแล้ว ซึ่งการจัดการด้านการเงินมีขั้นตอนคร่าวๆ ดังนี้
1. เงินใช้จ่ายฉุกเฉินที่ใช้ได้ 3-6 เดือน (มากกว่านั้นได้ก็จะดี)
2. การโอนย้ายความเสี่ยง ในที่นี้หมายถึงเงินที่ใช้ในการทำประกันชีวิต สุขภาพ เพื่อวันนึงเราเจ็บป่วยจะได้ไม่ต้องนำเงินออม มารักษาพยาบาล(ใช้เงินน้อยเพื่อรักษาเงินมาก)
3.เงินเพื่อการเกษียน(Retirement) ซึ่งอาจจะเป็นการออมในแต่ละเดือนอัตโนมัติ เช่น กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ เป็นต้น ซึ่งเป็นเงินในส่วนที่ควรวางแผนการออมตั้งแต่เริ่มทำงาน
4.เงินลงทุน(Investment) หลังจากจัดการด้านเงินในด้านอื่นๆเรียบร้อยเงินที่เหลือ(ขอใช้คำว่าเงินเย็น) คือการนำเงินไปลงทุน เช่น หุ้น ,คอนโด ,ที่ดิน เป็นต้น
ดังนั้น จะเห็นได้ว่า การลงทุนนั้น เน้น!!!เลย ว่าจะต้องใช้เงินเย็นเท่านั้น เงินเย็นคือเงินที่เราไม่ต้องจำเป็นต้องใช้มันไปอีกอย่างน้อย 3 ปีขึ้นไป(เพราะเราจัดการการเงินด้านอื่นครบถ้วนแล้วนิ) เพราะถ้าเราไม่ใช้เงินเย็นจริงๆ จะส่งผลต่อความกดดันในการลงทุนแน่นอน เพราะการลงทุนโดยหวังจะให้รวยเร็วนั้นไม่มีจริงและไม่ยั่งยืน ที่เห็นหลายๆท่านร่ำรวยล้วนผ่านเบื้องหลังที่โคตรจะอดทน พยายาม มุ่งมั่นมากมาย
สรุป ที่กล่าวมาทั้งหมด(จบซะที)
ปัจจุบันเห็นหลายคนนำเงินที่ไม่ใช่เงินเย็น เช่น การไปกู้เงินมาเล่นหุ้น(อันนี้โคตรอันตรายเลย!! คิดได้ไง ดอกเบี้ยก็เสีย) , การเอาเงินฉุกเฉินมาลงทุน ซึ่งถ้าลงทุนแล้วได้กำไรก็ดีไปแต่ถ้าขาดทุน แล้วเกิดตกงานขึ้นมา หรือเจ็บป่วย (กินแกลบแสบตูดแน่นอน)
ส่วนใครอยากลงทุนแต่ยังไม่มีเงินเย็น แนะนำให้ลงทุนในความรู้กับตัวเองไปก่อนจะดีกว่านะคับ หรือหารายได้เพิ่มเพื่อจะได้มีเงินเย็นไปลงทุนนะ ทำตามเครดิตข้างล่างนี้คับ
เพิ่มเติม เครดิตจากพี่เสือ
"ท้ายที่สุดแล้ว เราต้องเพิ่มฝั่ง income ให้ชนะค่าครองชีพไปเรื่อยๆ เพื่อเพิ่มฝั่งของส่วนต่างของเงินที่จะมาลงทุน โดยการเพิ่ม income หลายช่องทาง จะช่วยลดความเสี่ยงด้วย"
#ขอบคุณที่นั่งอ่าน #ผิดพลาดประการใดโปรดชี้แนะ #ทำสไลด์ไม่ค่อยสวยขออภัยด้วยคับ #กราบทุกท่าน