อารัมภบท
ข้อมูลนี้เป็นการนำเอาเรื่องราวของความขัดเเย้งในการเมืองประเทศกัมพูชาและนำเสนอข้อมูลทางทหาร โดยมิได้มีเจตนาเพื่อการปลุกปั่นหรือยุยงให้เกิดความแตกแยกใดใด
ตอนที่ 13 อีกาดำเหยียบกรุง
กัมพูชาในปีพุทธศักราช 2513 ภายใต้การนำของรัฐบาลแบบสาธารณรัฐของนายพล ลอน นอล ต้องเผชิญปัญหาหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาสงครามกลางเมืองระหว่างกองทัพกัมพูชา อเมริกา กองทัพเวียดนามเหนือในกัมพูชา ปัญหาจากกลุ่มขบวนการเขมรแดงที่แข็งแกร่งขึ้นทุกวัน รวมถึงปัญหาการขาดประสิทธิภาพของกองทัพ และปัญหาการทุจริตในกลุ่มนายทหารฝ่ายสาธารณรัฐเอง อีกทั้งสภาวะการณ์สงครามในเวียดนามและการเมืองภายในสหรัฐฯที่ดูย่ำแย่ลงไปทุกที ทำให้รัฐบาลสาธารณรัฐเขมรขาดเสถียรภาพอย่างมาก แต่ในทางกลับกัน กลุ่มกบฎคอมมิวนิสต์เขมรแดงนั้นกลับได้รับความนิยมจากชาวชนบทมากขึ้นเรื่อยๆ และยังสามารถยึดครองพื้นที่ทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือของกัมพูชาได้อย่างเบ็ดเสร็จ และนับตั้งแต่ปลายปีพ.ศ. 2515 ถึงต้นปีพ.ศ. 2516 กองกำลังคอมมิวนิสต์เขมรแดงเริ่มทดลองนำโครงการนารวมและระบบสหกรณ์รวม มาใช้กับประชาชนในเขตยึดครองของตนเอง ในขณะที่สหรัฐฯได้ยุติการทิ้งระเบิด และได้เตรียมถอนกำลังทหารออกจากดินแดนเขมรเมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2516 ดังนั้นกลุ่มคอมมิวนิสต์เขมรแดง จึงได้เริ่มโจมตีฐานที่มั่นต่างๆของฝ่ายรัฐบาลอย่างหนัก ถึงแม้ว่าฝ่ายสหรัฐฯได้พยายามแทรงแซงเพื่อขอเป็นตัวกลางในการไกล่เกลี่ยยุติปัญหาสงครามกลางเมืองดังกล่าว แต่ก็ไม่เป็นผล ต่อมาในช่วงต้นปีพ.ศ. 2518 กองกำลังคอมมิวนิสต์เขมรแดงได้วางระเบิดตัดเส้นทางชายฝั่งแม่น้ำที่ใช้ลำเลียงอาหารและอาวุธเข้าสู่กรุงพนมเปญ และนำกำลังปิดล้อมเมืองหลวงเป็นเวลา 3 เดือนเพื่อเตรียมการบุกยึด ในระหว่างที่กลุ่มชนชั้นกลางและนายทหารรัฐบาลได้พยายามหลบหนีออกจากเมือง โดยเฉพาะกลุ่มบุคคลที่ถูกเขมรแดงนั้นหมายหัวไว้ ต่างเร่งหลบหนีออกนอกประเทศเป็นการใหญ่
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ในภาพนี้ คือการลำเลียงผู้อพยพระดับ VIP. ออกจากกรุงพนมเปญครับ มีทั้งชาวต่างชาติและเศรษฐีชาวกัมพูชา โดยรอบจุดลงจอดนั้นจะมีทหารสหรัฐฯจากหน่วยนาวิกโยธินคอยคุ้มกันภัยให้ครับ หากจะถามว่าจุดลงจอดดังกล่าว หรือศูนย์อพยพของสหประชาชาตินั้นปลอดภัย 100 % จริงมั้ย ? ขอตอบว่า "ไม่"ครับ ภาพนี้ถูกบันทึกไว้เมื่อ 12 เมษายน ปี1975.
กรุงพนมเปญ ในเดือนมกราคม พ.ศ.2518 ตกอยู่ในความระส่ำระส่าย เมื่อกองกำลังเขมรแดงได้ล้อมเมืองหลวงไว้อย่างเบ็ดเสร็จ และเริ่มรุกโจมตีอย่างหนัก นายพล ลอน นอล เองนั้นซึ่งมีอาการป่วยได้ลี้ภัยไปยังอินโดนีเซีย ในขณะที่กองกำลังเขมรแดงได้ล้อมเมืองไว้ ในวันที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2518 John Gunther Dean เอกอัครราชทูตสหรัฐประจำสาธารณรัฐเขมรได้เสนอให้รัฐบาลสาธารณรัฐเขมรลี้ภัยไปสหรัฐ แต่สิริมตะ ลอง โบเรต และลน นน (น้องชายของนายพล ลอน นอล)รวมทั้งคณะรัฐบาลปฏิเสธ แม้ว่าหลายคนในคณะนั้นจะมีชื่อในบัญชีดำของเขมรแดงก็ตาม และแล้วในเช้าตรู่ของวันที่ 17 เมษายนพ.ศ. 2518 ซึ่งตรงกับวันปีใหม่ของชาวกัมพูชา กองกำลังเขมรแดงก็บุกยึดเมืองหลวงพนมเปญได้สำเร็จ ในขณะที่กลุ่มชนชั้นกลางระดับVIP.ที่นิยมแนวคิดแบบเสรีแบบชาวตะวันตก รวมถึงชาวต่างชาติ ได้ลี้ภัยโดยความช่วยเหลือจากรัฐบาลสหรัฐฯ ศูนย์กาชาดสากล ยังคงเหลือเพียงประชาชนส่วนใหญ่ซึ่งเป็นระดับชนชั้นกลางที่รอต้อนรับหรือหลบหนีออกมาไม่ได้ และ กลุ่มคณะรัฐบาลนายพลลอน นอล เท่านั้นที่ยังคงอยู่ในเมืองหลวงและเมืองสำคัญอื่นๆ
เมื่อพนมเปญแตก กองกำลังของเขมรแดงได้เข้ากวาดล้างคนของระบบเก่าทุกคน มีรายงานว่า ลน นน และเจ้าหน้าที่ของสาธารณรัฐเขมรถูกจับกุม และนำตัวมาประหารชีวิตกลางกรุงพนมเปญ ในขณะที่เจ้าสิริมตะพยายามเข้าไปลี้ภัยในโรงแรม "เลอ พนม" ซึ่งกาชาดสากลกำหนดให้เป็นเขตปลอดภัย แต่เขาต้องกลับออกมาเมื่อกาชาดสากลรู้ว่าเขามีชื่อในบัญชีดำ เมื่อออกมาจากโรงแรมสิริมตะได้กล่าวกับผู้สื่อข่าว และแจกสำเนาจดหมายที่เขาเขียนถึงสถานทูต สิริมตะขอลี้ภัยในสถานทูตฝรั่งเศส แต่เขาถูกทหารเขมรแดงมาตามจับตัวไป สถานทูตฝรั่งเศสกล่าวว่าสิริมตะถูกส่งมอบให้เขมรแดง และเชื่อว่าถูกประหารเมื่อ 21 เมษายน พ.ศ. 2518 แต่รายละเอียดจริงๆ ไม่มีผู้ใดทราบ ในส่วนสมเด็จพระนโรดม สีหนุ กล่าวว่าพระองค์ได้รับรายงานว่าสิริมตะและโบเรตถูกประหารด้วยการยิงเป้าที่สนามกีฬากรุงพนมเปญเมื่อ 21 เมษายน แต่แหล่งข่าวอื่นกล่าวว่าถูกตัดศีรษะ บางรายงานกล่าวว่า สิริมตะถูกยิงที่ท้อง และถูกปล่อยทิ้งไว้อย่างนั้นจนเสียชีวิตในอีกสามวันต่อมา........
ตอนที่ 14 อีกาดำครองเมือง
กัมพูชา ดินแดนแห่งอารยธรรมซึ่งรุ่งไสวด้วยความหลากหลายในวิถีของสังคมชนบท อารยธรรมซึ่งเคยรุ่งเรืองด้วยศิลปะและวัฒนธรรม บัดนี้ กาลเวลาได้ย้อนกลับไปสู่ยุคมืดทมิฬอีกครั้ง เมื่อกลุ่มบุรุษผู้มีแนวคิดสุดโต่งได้วางระบบสังคมในอุดมคติขึ้นใหม่ ด้วยหวังจะนำประเทศกัมพูชาหวนกลับคืนสู่ดินแดนที่เคยรุ่งสมัยในอดีตกาล กัมพูชาในปีพุทธศักราช 2518 ภายหลังจากที่กองกำลังเขมรแดงสามารถบุกยึดกรุงพนมเปญเมืองหลวง และเมืองสำคัญอื่นๆไว้ได้อย่างเบ็ดเสร็จแล้ว ปฏิบัติการแรกหลังจากที่นักรบเขมรแดงยาตราเข้าสู่เมือง คือการตามจับกุมบุคคลผู้ถูกหมายหัวไว้ และกลุ่มนักการเมืองข้าราชการหรือทหารในระบบเก่า รวมถึงญาติพี่น้องของพวกเขาเหล่านั้นที่เคยเรืองอำนาจคับกรุงกัมพูชาด้วย จากนั้นจะนำตัวบุคคลในระบบเก่าทั้งหมดสังหารทิ้งทันทีในที่ทางสาธารณะ เพื่อกำจัดเสี้ยนหนามให้หมดสิ้น แต่คงเว้นไว้เพียงเจ้าสีหนุซึ่งได้ถูกกักบริเวณไว้ยังพระราชวัง รวมถึงชาวต่างชาติอีกราวๆ 800 คน ซึ่งถูกกักบริเวณไว้ยังสถานฑูตฝรั่งเศส ในขณะที่ประชาชนชาวเขมรต่างปรบมือ โห่ร้องต้อนรับการมาถึงของกองกำลังเขมรแดง แต่นักรบเขมรแดงผู้มีใบหน้าซึ่งดำเกรียมไปด้วยรัศมีอำหิตทั้งหลาย ก็มิค่อยได้สนใจใยดีกับการต้อนรับเท่าใดนัก ต่างค่อยๆเดินทัพผ่านเข้าไปยังเมืองหลวงด้วยท่าทีอันเคร่งขรึม และจัดวางกำลังไว้ตามจุดยุทธศาสตร์สำคัญทั่วกรุงพนมเปญ
ภายหลังจากสิ้นภารกิจการกวาดล้างกลุ่มอำนาจเดิมหมดสิ้นไปแล้ว กลุ่มบุรุษในชุดดำผ้าขาวม้าพันคอที่ดูคล้ายชาวนา ได้เริ่มวางระบบสังคมใหม่ให้แก่พลเมืองชาวกัมพูชา โดยได้นำแนวคิดจากวิทยานิพนธ์ของ เคียว สัมพัน และ ฮู ยวน ซึ่งเคยได้รวบรวมจัดทำขึ้นไว้เมื่อครั้งยังศึกษาในปารีส เพื่อนำทฤษฎีดังกล่าวมาปรับใช้ให้เป็นรูปธรรม และให้สอดคล้องกับแนวคิดสังคมอุดมการณ์แบบเบ็ดเสร็จของกลุ่มอดีตนักศึกษาปัญญาชนจากปารีส ระบอบคอมมิวนิสต์ของเขมรแดงนั้น ถือ เป็นแนวคิดที่สุดโต่ง ซ้ายจัดมากที่สุด จนถือได้ว่าไม่มีแนวคิดระบอบคอมมิวนิสต์ของชาติใด ณ เวลานั้น ที่จะสามารถนำองค์ความรู้จากทฤษฎีมาปรับใช้ได้อย่างเป็นรูปธรรม และชัดเจนได้เท่าระบอบของเขมรแดงอีกแล้ว ภายหลังจากที่กองกำลังเขมรแดงได้วางกำลังไว้ยังจุดยุทธศาสตร์ทั้วทั้งกรุงกัมพูชาแล้ว องค์กรค์สูงสุดจึงได้มีคำสั่งให้อพยพประชาชนทั้งหมดออกจากเมืองหลวงไปสู่พื้นที่ชนบท โดยการกล่าวอ้างว่าองค์กรนั้นยังมีภารกิจสะสางระบบภายในพนมเปญ และเพื่อป้องกันความปลอดภัยให้ทรัพย์สินและชีวิตประชาชนที่อาจถูกถล่มด้วยระเบิดของอเมริกา
กรุงพนมเปญ ในช่วงต้นปีพุทธศักราช 2518 เมืองหลวงซึ่งเคยมีประชากรถึง 2.5 ล้านคน บัดนี้กลายเป็นเมืองร้าง เมื่อองค์กรสูงสุดได้สั่งปิด ยกเลิกระบบสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานทั้งหมด โรงพยาบาล โรงเรียน ธนาคาร ที่ทำการราชการถูกปิด อาคารบ้านเรือนไร้ซึ่งผู้คน ตามรายทางคงมีแต่กองกำลังเขมรแดงที่คอยเดินตรวจการณ์ และตรวจจับบุคคลต้องสงสัยเท่านั้น ถนนที่ออกจากเมืองเต็มไปด้วยประชาชนที่ถูกบังคับให้เดินทางออกจากเมืองโดยวิธีการเดินเท้าเท่านั้น ชาวต่างชาติราว 800 คนซึ่งถูกกักตัวไว้ในสถานทูตฝรั่งเศส ได้ถูกส่งมายังชายแดนไทยด้วยรถบรรทุก หญิงชาวเขมรที่แต่งงานกับชาวต่างชาติจะได้รับอนุญาตให้ออกไปได้ แต่ชายชาวเขมรไม่ได้รับอนุญาตให้ติดตามภรรยาชาวต่างชาติออกไป ในขณะที่เจ้าสีหนุถูกกดดันบีบให้สละราชสมบัติและตำแหน่งทางการเมืองอยู่ตลอดเวลา ในขณะที่ทรงพำนักอยูในพระราชวังซึ่งเต็มไปด้วยยามติดอาวุธนับร้อยคน ประชากรที่อพยพออกจากเมืองจะถูกเรียกว่าประชาชนใหม่ ส่วนประชาชนที่อยู่ในเขตชนบทดั้งเดิมถูกเรียกว่าประชาชนเก่า ประชาชนใหม่ถูกบังคับให้ใช้แรงงานในพื้นที่ที่ยากลำบาก และมักเกิดปัญหาขัดแย้งกับประชาชนเก่า สมาชิกในครอบครัวถูกแบ่งแยก เพราะต้องทำงานตามอายุและเพศ และมีการแบ่งไปทำงานยังส่วนต่างๆ ของประเทศ ประชาชนเก่าจะได้รับการปฏิบัติจากเขมรแดงดีกว่า ประชาชนผู้อพยพมาจากเมืองหลวงหรือจากที่ต่างๆจะถูกคัดแยก โดยผู้ตรวจการณ์ซึ่งเป็นเด็กๆจากกองกำลังเขมรแดง โดยวิธีการคัดแยกกลุ่มชนชั้นออกจากกันนั้น คือให้เด็กๆจากกองกำลังลูบคลำที่ฝ่ามือของผู้อพยพ หากผู้ใดมีฝ่ามือที่อ่อนนุ่ม จะถูกคัดแยกออกมาไว้อีกกลุ่มหนึ่งเพื่อส่งต่อไปยังพื้นที่ชนบทต่างๆ ทั้งในเขตตะวันออกซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีผู้นิยมเวียดนามซึ่งเป็นพื้นที่อันตรายอยู่มาก หรือส่งไปยังภาคตะวันตกและตะวันตกเฉียงเหนือซึ่งเป็นพื้นที่กันดาร ทั้งนี้การคัดแยกบุคคลยังรวมถึงวิธีการสังเกตุจากบุคคลิกภาพภายนอก เช่น พระสงฆ์ นักบวชจากนิกายต่างๆ การแต่งกายที่ดูเรียบร้อย บุคคลผู้ใดรู้หนังสือ สัมภาระของผู้ใดมีหนังสือติดมาด้วยแม้แต่กระดาษแผ่นเดียวจะถูกคัดแยกออกมา และด้วยการสอบถามถึงอาชีพเดิม หากผู้ใดเคยประกอบอาชีพ เป็นครู แพทย์ ช่าง นักข่าวหนังสือ หรือ ท่าทางการพูดจาดูมีความรู้ภูมิฐาน จะถูกคัดแยกออกมา ไม่เว้นแม้กระทั้งคนใส่แว่นตา บุคคลเหล่านี้ ถือ เป็นศัตรูทางชนชั้นจะถูกส่งกลับไปยังเมืองหลวงอีกครั้ง เพื่อทำการสอบสวนเพิ่มเติมยังหน่วยสันติบาล ซึ่งหน่วยรักษาความปลอดภัยที่เรียกว่าสันติบาลนั้นถูกจัดตั้งขึ้นโดย ซอน เซน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของกัมพูชาประชาธิปไตย แต่ได้มอบหมายให้ คัง เค็กเอียว อดีตครูมัธยมหรือสหายดุช นักแล่เนื้อ เป็นผู้บัญชาการเรือนจำดำเนินการหน่วยนี้แทน ซึ่งในช่วงแรกได้ใช้บริเวณเมืองหลวงเป็นที่กักขังนักโทษ ต่อมาในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2519 สหายดุชได้ย้ายสถานที่คุมขังมายังโรงเรียนมัธยม Chao Ponhea Yat High School และเปลี่ยนชื่อเป็น หน่วยสันติบาลที่ 21 หรือ Santibal 21 /S-21คุกนรกตวล สเลง ที่คุมขังนักโทษได้ถึง 1,500 คน โดยรัฐบาลเขมรแดงได้สั่งให้จับกุมและประหารชีวิตบุคคลที่ต้องสงสัยว่าเป็นศัตรูของรัฐ อันได้แก่
- ทุกคนที่มีความเกี่ยวข้องกับรัฐบาลสาธารณรัฐเขมรหรือรัฐบาลต่างชาติ
- ผู้เชี่ยวชาญและอาจารย์ รวมทั้งทุกคนที่มีการศึกษาหรือแม้แต่คนที่สวมแว่นตา
- ผู้มีความชำนาญในศิลปะ นักดนตรี นักเขียน นักแสดง
- ชนกลุ่มน้อยที่มีเชื้อสายเวียดนาม จีน ไทย และชนกลุ่มน้อยบางส่วนในพื้นที่สูงทางตะวันออก ชาวกัมพูชาที่นับถือศาสนาคริสต์หรืออิสลาม พระสงฆ์
- พ่อค้านักเศรษฐกิจอื่นๆในเมืองที่ไม่มีความสามารถในการทำการเกษตร
มีการคาดการณ์กันว่า ประชาชนชาวเขมรประมาณ 17,000 คนที่เคยเข้าคุกนรกตวลสเลง ส่วนใหญ่ถูกประหารชีวิตด้วยวิธีการที่โหดเหี้ยมไร้มนุษยธรรม และยากต่อการรับรู้ได้โดยวิญญูชนหรือบุคคลทั่วไปจะพึงทราบได้ถึงวิธีการดังกล่าว ทั้งนี้งานวิจัยสมัยใหม่ที่ศึกษาทางด้านนี้ระบุว่าผู้ที่เสียชีวิตจากยุคเปลี่ยนแปลงระบอบเขมรแดง อยู่ราวๆ 1.4 - 2.2 ล้านคน มีทั้งที่ถูกฆ่าและตายเพราะขาดอาหารและโรคระบาด ซึ่งสามารถค้นพบได้จากหลุมขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยซากกระดูกมนุษย์
โปรดติดตามตอนต่อไปครับ
กัมพูชา บูชากรรม ตอนที่ 11
ข้อมูลนี้เป็นการนำเอาเรื่องราวของความขัดเเย้งในการเมืองประเทศกัมพูชาและนำเสนอข้อมูลทางทหาร โดยมิได้มีเจตนาเพื่อการปลุกปั่นหรือยุยงให้เกิดความแตกแยกใดใด
ตอนที่ 13 อีกาดำเหยียบกรุง
กัมพูชาในปีพุทธศักราช 2513 ภายใต้การนำของรัฐบาลแบบสาธารณรัฐของนายพล ลอน นอล ต้องเผชิญปัญหาหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาสงครามกลางเมืองระหว่างกองทัพกัมพูชา อเมริกา กองทัพเวียดนามเหนือในกัมพูชา ปัญหาจากกลุ่มขบวนการเขมรแดงที่แข็งแกร่งขึ้นทุกวัน รวมถึงปัญหาการขาดประสิทธิภาพของกองทัพ และปัญหาการทุจริตในกลุ่มนายทหารฝ่ายสาธารณรัฐเอง อีกทั้งสภาวะการณ์สงครามในเวียดนามและการเมืองภายในสหรัฐฯที่ดูย่ำแย่ลงไปทุกที ทำให้รัฐบาลสาธารณรัฐเขมรขาดเสถียรภาพอย่างมาก แต่ในทางกลับกัน กลุ่มกบฎคอมมิวนิสต์เขมรแดงนั้นกลับได้รับความนิยมจากชาวชนบทมากขึ้นเรื่อยๆ และยังสามารถยึดครองพื้นที่ทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือของกัมพูชาได้อย่างเบ็ดเสร็จ และนับตั้งแต่ปลายปีพ.ศ. 2515 ถึงต้นปีพ.ศ. 2516 กองกำลังคอมมิวนิสต์เขมรแดงเริ่มทดลองนำโครงการนารวมและระบบสหกรณ์รวม มาใช้กับประชาชนในเขตยึดครองของตนเอง ในขณะที่สหรัฐฯได้ยุติการทิ้งระเบิด และได้เตรียมถอนกำลังทหารออกจากดินแดนเขมรเมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2516 ดังนั้นกลุ่มคอมมิวนิสต์เขมรแดง จึงได้เริ่มโจมตีฐานที่มั่นต่างๆของฝ่ายรัฐบาลอย่างหนัก ถึงแม้ว่าฝ่ายสหรัฐฯได้พยายามแทรงแซงเพื่อขอเป็นตัวกลางในการไกล่เกลี่ยยุติปัญหาสงครามกลางเมืองดังกล่าว แต่ก็ไม่เป็นผล ต่อมาในช่วงต้นปีพ.ศ. 2518 กองกำลังคอมมิวนิสต์เขมรแดงได้วางระเบิดตัดเส้นทางชายฝั่งแม่น้ำที่ใช้ลำเลียงอาหารและอาวุธเข้าสู่กรุงพนมเปญ และนำกำลังปิดล้อมเมืองหลวงเป็นเวลา 3 เดือนเพื่อเตรียมการบุกยึด ในระหว่างที่กลุ่มชนชั้นกลางและนายทหารรัฐบาลได้พยายามหลบหนีออกจากเมือง โดยเฉพาะกลุ่มบุคคลที่ถูกเขมรแดงนั้นหมายหัวไว้ ต่างเร่งหลบหนีออกนอกประเทศเป็นการใหญ่
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
กรุงพนมเปญ ในเดือนมกราคม พ.ศ.2518 ตกอยู่ในความระส่ำระส่าย เมื่อกองกำลังเขมรแดงได้ล้อมเมืองหลวงไว้อย่างเบ็ดเสร็จ และเริ่มรุกโจมตีอย่างหนัก นายพล ลอน นอล เองนั้นซึ่งมีอาการป่วยได้ลี้ภัยไปยังอินโดนีเซีย ในขณะที่กองกำลังเขมรแดงได้ล้อมเมืองไว้ ในวันที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2518 John Gunther Dean เอกอัครราชทูตสหรัฐประจำสาธารณรัฐเขมรได้เสนอให้รัฐบาลสาธารณรัฐเขมรลี้ภัยไปสหรัฐ แต่สิริมตะ ลอง โบเรต และลน นน (น้องชายของนายพล ลอน นอล)รวมทั้งคณะรัฐบาลปฏิเสธ แม้ว่าหลายคนในคณะนั้นจะมีชื่อในบัญชีดำของเขมรแดงก็ตาม และแล้วในเช้าตรู่ของวันที่ 17 เมษายนพ.ศ. 2518 ซึ่งตรงกับวันปีใหม่ของชาวกัมพูชา กองกำลังเขมรแดงก็บุกยึดเมืองหลวงพนมเปญได้สำเร็จ ในขณะที่กลุ่มชนชั้นกลางระดับVIP.ที่นิยมแนวคิดแบบเสรีแบบชาวตะวันตก รวมถึงชาวต่างชาติ ได้ลี้ภัยโดยความช่วยเหลือจากรัฐบาลสหรัฐฯ ศูนย์กาชาดสากล ยังคงเหลือเพียงประชาชนส่วนใหญ่ซึ่งเป็นระดับชนชั้นกลางที่รอต้อนรับหรือหลบหนีออกมาไม่ได้ และ กลุ่มคณะรัฐบาลนายพลลอน นอล เท่านั้นที่ยังคงอยู่ในเมืองหลวงและเมืองสำคัญอื่นๆ
เมื่อพนมเปญแตก กองกำลังของเขมรแดงได้เข้ากวาดล้างคนของระบบเก่าทุกคน มีรายงานว่า ลน นน และเจ้าหน้าที่ของสาธารณรัฐเขมรถูกจับกุม และนำตัวมาประหารชีวิตกลางกรุงพนมเปญ ในขณะที่เจ้าสิริมตะพยายามเข้าไปลี้ภัยในโรงแรม "เลอ พนม" ซึ่งกาชาดสากลกำหนดให้เป็นเขตปลอดภัย แต่เขาต้องกลับออกมาเมื่อกาชาดสากลรู้ว่าเขามีชื่อในบัญชีดำ เมื่อออกมาจากโรงแรมสิริมตะได้กล่าวกับผู้สื่อข่าว และแจกสำเนาจดหมายที่เขาเขียนถึงสถานทูต สิริมตะขอลี้ภัยในสถานทูตฝรั่งเศส แต่เขาถูกทหารเขมรแดงมาตามจับตัวไป สถานทูตฝรั่งเศสกล่าวว่าสิริมตะถูกส่งมอบให้เขมรแดง และเชื่อว่าถูกประหารเมื่อ 21 เมษายน พ.ศ. 2518 แต่รายละเอียดจริงๆ ไม่มีผู้ใดทราบ ในส่วนสมเด็จพระนโรดม สีหนุ กล่าวว่าพระองค์ได้รับรายงานว่าสิริมตะและโบเรตถูกประหารด้วยการยิงเป้าที่สนามกีฬากรุงพนมเปญเมื่อ 21 เมษายน แต่แหล่งข่าวอื่นกล่าวว่าถูกตัดศีรษะ บางรายงานกล่าวว่า สิริมตะถูกยิงที่ท้อง และถูกปล่อยทิ้งไว้อย่างนั้นจนเสียชีวิตในอีกสามวันต่อมา........
ตอนที่ 14 อีกาดำครองเมือง
กัมพูชา ดินแดนแห่งอารยธรรมซึ่งรุ่งไสวด้วยความหลากหลายในวิถีของสังคมชนบท อารยธรรมซึ่งเคยรุ่งเรืองด้วยศิลปะและวัฒนธรรม บัดนี้ กาลเวลาได้ย้อนกลับไปสู่ยุคมืดทมิฬอีกครั้ง เมื่อกลุ่มบุรุษผู้มีแนวคิดสุดโต่งได้วางระบบสังคมในอุดมคติขึ้นใหม่ ด้วยหวังจะนำประเทศกัมพูชาหวนกลับคืนสู่ดินแดนที่เคยรุ่งสมัยในอดีตกาล กัมพูชาในปีพุทธศักราช 2518 ภายหลังจากที่กองกำลังเขมรแดงสามารถบุกยึดกรุงพนมเปญเมืองหลวง และเมืองสำคัญอื่นๆไว้ได้อย่างเบ็ดเสร็จแล้ว ปฏิบัติการแรกหลังจากที่นักรบเขมรแดงยาตราเข้าสู่เมือง คือการตามจับกุมบุคคลผู้ถูกหมายหัวไว้ และกลุ่มนักการเมืองข้าราชการหรือทหารในระบบเก่า รวมถึงญาติพี่น้องของพวกเขาเหล่านั้นที่เคยเรืองอำนาจคับกรุงกัมพูชาด้วย จากนั้นจะนำตัวบุคคลในระบบเก่าทั้งหมดสังหารทิ้งทันทีในที่ทางสาธารณะ เพื่อกำจัดเสี้ยนหนามให้หมดสิ้น แต่คงเว้นไว้เพียงเจ้าสีหนุซึ่งได้ถูกกักบริเวณไว้ยังพระราชวัง รวมถึงชาวต่างชาติอีกราวๆ 800 คน ซึ่งถูกกักบริเวณไว้ยังสถานฑูตฝรั่งเศส ในขณะที่ประชาชนชาวเขมรต่างปรบมือ โห่ร้องต้อนรับการมาถึงของกองกำลังเขมรแดง แต่นักรบเขมรแดงผู้มีใบหน้าซึ่งดำเกรียมไปด้วยรัศมีอำหิตทั้งหลาย ก็มิค่อยได้สนใจใยดีกับการต้อนรับเท่าใดนัก ต่างค่อยๆเดินทัพผ่านเข้าไปยังเมืองหลวงด้วยท่าทีอันเคร่งขรึม และจัดวางกำลังไว้ตามจุดยุทธศาสตร์สำคัญทั่วกรุงพนมเปญ
ภายหลังจากสิ้นภารกิจการกวาดล้างกลุ่มอำนาจเดิมหมดสิ้นไปแล้ว กลุ่มบุรุษในชุดดำผ้าขาวม้าพันคอที่ดูคล้ายชาวนา ได้เริ่มวางระบบสังคมใหม่ให้แก่พลเมืองชาวกัมพูชา โดยได้นำแนวคิดจากวิทยานิพนธ์ของ เคียว สัมพัน และ ฮู ยวน ซึ่งเคยได้รวบรวมจัดทำขึ้นไว้เมื่อครั้งยังศึกษาในปารีส เพื่อนำทฤษฎีดังกล่าวมาปรับใช้ให้เป็นรูปธรรม และให้สอดคล้องกับแนวคิดสังคมอุดมการณ์แบบเบ็ดเสร็จของกลุ่มอดีตนักศึกษาปัญญาชนจากปารีส ระบอบคอมมิวนิสต์ของเขมรแดงนั้น ถือ เป็นแนวคิดที่สุดโต่ง ซ้ายจัดมากที่สุด จนถือได้ว่าไม่มีแนวคิดระบอบคอมมิวนิสต์ของชาติใด ณ เวลานั้น ที่จะสามารถนำองค์ความรู้จากทฤษฎีมาปรับใช้ได้อย่างเป็นรูปธรรม และชัดเจนได้เท่าระบอบของเขมรแดงอีกแล้ว ภายหลังจากที่กองกำลังเขมรแดงได้วางกำลังไว้ยังจุดยุทธศาสตร์ทั้วทั้งกรุงกัมพูชาแล้ว องค์กรค์สูงสุดจึงได้มีคำสั่งให้อพยพประชาชนทั้งหมดออกจากเมืองหลวงไปสู่พื้นที่ชนบท โดยการกล่าวอ้างว่าองค์กรนั้นยังมีภารกิจสะสางระบบภายในพนมเปญ และเพื่อป้องกันความปลอดภัยให้ทรัพย์สินและชีวิตประชาชนที่อาจถูกถล่มด้วยระเบิดของอเมริกา
กรุงพนมเปญ ในช่วงต้นปีพุทธศักราช 2518 เมืองหลวงซึ่งเคยมีประชากรถึง 2.5 ล้านคน บัดนี้กลายเป็นเมืองร้าง เมื่อองค์กรสูงสุดได้สั่งปิด ยกเลิกระบบสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานทั้งหมด โรงพยาบาล โรงเรียน ธนาคาร ที่ทำการราชการถูกปิด อาคารบ้านเรือนไร้ซึ่งผู้คน ตามรายทางคงมีแต่กองกำลังเขมรแดงที่คอยเดินตรวจการณ์ และตรวจจับบุคคลต้องสงสัยเท่านั้น ถนนที่ออกจากเมืองเต็มไปด้วยประชาชนที่ถูกบังคับให้เดินทางออกจากเมืองโดยวิธีการเดินเท้าเท่านั้น ชาวต่างชาติราว 800 คนซึ่งถูกกักตัวไว้ในสถานทูตฝรั่งเศส ได้ถูกส่งมายังชายแดนไทยด้วยรถบรรทุก หญิงชาวเขมรที่แต่งงานกับชาวต่างชาติจะได้รับอนุญาตให้ออกไปได้ แต่ชายชาวเขมรไม่ได้รับอนุญาตให้ติดตามภรรยาชาวต่างชาติออกไป ในขณะที่เจ้าสีหนุถูกกดดันบีบให้สละราชสมบัติและตำแหน่งทางการเมืองอยู่ตลอดเวลา ในขณะที่ทรงพำนักอยูในพระราชวังซึ่งเต็มไปด้วยยามติดอาวุธนับร้อยคน ประชากรที่อพยพออกจากเมืองจะถูกเรียกว่าประชาชนใหม่ ส่วนประชาชนที่อยู่ในเขตชนบทดั้งเดิมถูกเรียกว่าประชาชนเก่า ประชาชนใหม่ถูกบังคับให้ใช้แรงงานในพื้นที่ที่ยากลำบาก และมักเกิดปัญหาขัดแย้งกับประชาชนเก่า สมาชิกในครอบครัวถูกแบ่งแยก เพราะต้องทำงานตามอายุและเพศ และมีการแบ่งไปทำงานยังส่วนต่างๆ ของประเทศ ประชาชนเก่าจะได้รับการปฏิบัติจากเขมรแดงดีกว่า ประชาชนผู้อพยพมาจากเมืองหลวงหรือจากที่ต่างๆจะถูกคัดแยก โดยผู้ตรวจการณ์ซึ่งเป็นเด็กๆจากกองกำลังเขมรแดง โดยวิธีการคัดแยกกลุ่มชนชั้นออกจากกันนั้น คือให้เด็กๆจากกองกำลังลูบคลำที่ฝ่ามือของผู้อพยพ หากผู้ใดมีฝ่ามือที่อ่อนนุ่ม จะถูกคัดแยกออกมาไว้อีกกลุ่มหนึ่งเพื่อส่งต่อไปยังพื้นที่ชนบทต่างๆ ทั้งในเขตตะวันออกซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีผู้นิยมเวียดนามซึ่งเป็นพื้นที่อันตรายอยู่มาก หรือส่งไปยังภาคตะวันตกและตะวันตกเฉียงเหนือซึ่งเป็นพื้นที่กันดาร ทั้งนี้การคัดแยกบุคคลยังรวมถึงวิธีการสังเกตุจากบุคคลิกภาพภายนอก เช่น พระสงฆ์ นักบวชจากนิกายต่างๆ การแต่งกายที่ดูเรียบร้อย บุคคลผู้ใดรู้หนังสือ สัมภาระของผู้ใดมีหนังสือติดมาด้วยแม้แต่กระดาษแผ่นเดียวจะถูกคัดแยกออกมา และด้วยการสอบถามถึงอาชีพเดิม หากผู้ใดเคยประกอบอาชีพ เป็นครู แพทย์ ช่าง นักข่าวหนังสือ หรือ ท่าทางการพูดจาดูมีความรู้ภูมิฐาน จะถูกคัดแยกออกมา ไม่เว้นแม้กระทั้งคนใส่แว่นตา บุคคลเหล่านี้ ถือ เป็นศัตรูทางชนชั้นจะถูกส่งกลับไปยังเมืองหลวงอีกครั้ง เพื่อทำการสอบสวนเพิ่มเติมยังหน่วยสันติบาล ซึ่งหน่วยรักษาความปลอดภัยที่เรียกว่าสันติบาลนั้นถูกจัดตั้งขึ้นโดย ซอน เซน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของกัมพูชาประชาธิปไตย แต่ได้มอบหมายให้ คัง เค็กเอียว อดีตครูมัธยมหรือสหายดุช นักแล่เนื้อ เป็นผู้บัญชาการเรือนจำดำเนินการหน่วยนี้แทน ซึ่งในช่วงแรกได้ใช้บริเวณเมืองหลวงเป็นที่กักขังนักโทษ ต่อมาในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2519 สหายดุชได้ย้ายสถานที่คุมขังมายังโรงเรียนมัธยม Chao Ponhea Yat High School และเปลี่ยนชื่อเป็น หน่วยสันติบาลที่ 21 หรือ Santibal 21 /S-21คุกนรกตวล สเลง ที่คุมขังนักโทษได้ถึง 1,500 คน โดยรัฐบาลเขมรแดงได้สั่งให้จับกุมและประหารชีวิตบุคคลที่ต้องสงสัยว่าเป็นศัตรูของรัฐ อันได้แก่
- ทุกคนที่มีความเกี่ยวข้องกับรัฐบาลสาธารณรัฐเขมรหรือรัฐบาลต่างชาติ
- ผู้เชี่ยวชาญและอาจารย์ รวมทั้งทุกคนที่มีการศึกษาหรือแม้แต่คนที่สวมแว่นตา
- ผู้มีความชำนาญในศิลปะ นักดนตรี นักเขียน นักแสดง
- ชนกลุ่มน้อยที่มีเชื้อสายเวียดนาม จีน ไทย และชนกลุ่มน้อยบางส่วนในพื้นที่สูงทางตะวันออก ชาวกัมพูชาที่นับถือศาสนาคริสต์หรืออิสลาม พระสงฆ์
- พ่อค้านักเศรษฐกิจอื่นๆในเมืองที่ไม่มีความสามารถในการทำการเกษตร
มีการคาดการณ์กันว่า ประชาชนชาวเขมรประมาณ 17,000 คนที่เคยเข้าคุกนรกตวลสเลง ส่วนใหญ่ถูกประหารชีวิตด้วยวิธีการที่โหดเหี้ยมไร้มนุษยธรรม และยากต่อการรับรู้ได้โดยวิญญูชนหรือบุคคลทั่วไปจะพึงทราบได้ถึงวิธีการดังกล่าว ทั้งนี้งานวิจัยสมัยใหม่ที่ศึกษาทางด้านนี้ระบุว่าผู้ที่เสียชีวิตจากยุคเปลี่ยนแปลงระบอบเขมรแดง อยู่ราวๆ 1.4 - 2.2 ล้านคน มีทั้งที่ถูกฆ่าและตายเพราะขาดอาหารและโรคระบาด ซึ่งสามารถค้นพบได้จากหลุมขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยซากกระดูกมนุษย์
โปรดติดตามตอนต่อไปครับ