พระมหาโมคคัลลานะ ผู้เป็นพยานให้พระพุทธเจ้าในทิพจักขุญาณ

เมื่อวานวันพระ แรม ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๒
วันนี้ เมื่อสองพันห้ารอยกว่าปีก่อน ก็เป็นวันที่พระมหาโมคคัลลานะ อัครสาวกเบื้องซ้ายของพระพุทธเจ้า
ได้เข้ามากราบทูลลาสมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดา เพื่อปรินิพพาน
วันนี้จะขอยกพระสูตรคลาสสิคของท่านมหาโมคคัลลานะผู้มีฤทธิ์ เรื่องของท่านก็จะเนื่องด้วยฤทธิ์อยู่เรื่อยๆ
ซึ่งก็เป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้พระพุทธศาสนานั้นเจริญงอกงาม ซึ่งก็ทำให้เดียรถีย์ทั้งหลายเดือดร้อนกันไปถ้วนหน้า
จนในที่สุดก็ลงขันกันจ้างโจรมาทุบท่าน (ซึ่งหลายๆท่านคงเคยอ่านไปหลายรอบแล้ว)
พระสูตรที่เกี่ยวของกับพระมหาโมคัลลานะจึงมักเกี่ยวกับ วิมานวัตถุ เปตวัตถุ เป็นส่วนใหญ่
ดังเรื่องที่ยกมานี้เป็นเรื่องที่ท่านได้เป็นพยานให้แก่พระพุทธเจ้าในทิพจักขุญาณครั้งหนึ่งในหลายๆครั้ง

ปล. เรื่องพระมหาโมคคัลลานะมีอีกหลายเรื่องที่น่าสนใจ เช่นเรื่องคุมงานก่อสร้างเป็นต้น


ลักขณสังยุตต์
ปฐมวรรคที่ ๑
๑. อัฏฐิสูตร
[๖๓๖] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้-

สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเวฬุวัน กลันทกนิวาปสถาน เขตพระนครราชคฤห์
ก็สมัยนั้นแล ท่านพระลักขณะกับท่านพระมหาโมคคัลลานะ อยู่บนภูเขาคิชฌกูฏ ฯ

[๖๓๗] ครั้งนั้นแล เป็นเวลาเช้า ท่านพระมหาโมคคัลลานะ นุ่งแล้วถือบาตรและจีวรเข้าไปหาท่านพระลักขณะจนถึงที่อยู่
ครั้นเข้าไปหาแล้วได้กล่าวชวนท่านพระลักขณะว่า
มาไปบิณฑบาตยังพระนครราชคฤห์ ด้วยกันเถิดท่านลักขณะ

ท่านพระลักขณะรับคำท่านพระมหาโมคคัลลานะว่า อย่างนั้น
ลำดับนั้นแล ท่านพระมหาโมคคัลลานะกำลังลงจากภูเขาคิชฌกูฏ
ได้ยิ้มแย้มขึ้นในที่แห่งหนึ่ง ทีนั้นท่านพระลักขณะได้ถามท่านพระมหาโมคคัลลานะว่า
ท่านโมคคัลลานะ อะไรเล่าเป็นเหตุ เป็นปัจจัย ทำให้ยิ้มแย้ม ท่านมหาโมคคัลลานะตอบว่า
ท่านลักขณะมิใช่เวลาที่จะเฉลยปัญหาข้อนี้ ท่านจงถามผมในสำนักพระผู้มีพระภาคเถิด ฯ

[๖๓๘] ครั้งนั้นแล ท่านพระลักขณะกับท่านพระมหาโมคคัลลานะเที่ยวบิณฑบาตในพระนครราชคฤห์
กลับจากบิณฑบาต ภายหลังภัตตาหารแล้ว เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ
ครั้นเข้าไปเฝ้าแล้ว ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง

ครั้นท่านพระลักขณะนั่งเรียบร้อยแล้ว ได้ถามท่านพระมหาโมคคัลลานะว่า
ท่านมหาโมคคัลลานะ เมื่อลงจากภูเขาคิชฌกูฏ ได้ยิ้มแย้มขึ้นแล้วในที่แห่งหนึ่ง ดูกรท่านพระมหาโมคคัลลานะ
อะไรเล่าเป็นเหตุเป็นปัจจัย ทำให้ยิ้มแย้มขึ้น ฯ

[๖๓๙] ท่านพระมหาโมคคัลลานะได้ตอบว่า เมื่อผมลงมาจากภูเขาคิชฌกูฏ
ได้เห็นโครงกระดูกลอยอยู่ในเวหาส พวกแร้งบ้าง กาบ้าง นกตะกรุมบ้าง
ต่างก็โผถลาตามเจาะ จิก ทึ้งโครงกระดูกนั้น ได้ยินว่า โครงกระดูกนั้นส่งเสียงร้องครวญคราง
ผมคิดว่า อัศจรรย์จริงหนอ ไม่เคยมีมาหนอ สัตว์แม้เห็นปานนี้ก็จักมี ยักษ์แม้เห็นปานนี้ก็จักมี
การได้อัตภาพแม้เห็นปานนี้ก็จักมี ฯ

[๖๔๐] ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสกะภิกษุทั้งหลายว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย สาวกทั้งหลายเป็นผู้มีจักษุหนอ เป็นผู้มีญาณหนอ
เพราะว่า แม้สาวกก็จักรู้ จักเห็นสัตว์เช่นนี้ หรือจักเป็นพยาน
เมื่อก่อนเราได้เห็นสัตว์ตนนั้นเหมือนกัน แต่ว่าไม่ได้พยากรณ์ไว้
หากว่าเราพึงพยากรณ์สัตว์นั้นไซร้ คนอื่นๆ ก็จะไม่พึงเชื่อถือเรา
ข้อนั้นพึงเป็นไปเพื่อมิใช่ประโยชน์ เพื่อความทุกข์สิ้นกาลนาน แก่ผู้ไม่เชื่อถือเรา

ดูกรภิกษุทั้งหลาย สัตว์นี้เป็นคนฆ่าโคอยู่ในพระนครราชคฤห์นี้เอง ด้วยผลของกรรมนั้น
เขาจึงหมกไหม้อยู่ในนรกสิ้นปี สิ้นร้อยปีพันปี แสนปี เป็นอันมาก ด้วยผลของกรรมนั่นแหละยังเหลืออยู่
เขาจึงต้องเสวยการได้อัตภาพเห็นปานนี้ ฯ

จาก http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=16&A=6737&Z=6775
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่