ภาคต่อมาแล้ว.. ยาวอีกเช่นเคย
เจ้าของกระทู้รวบรวมสมาธิเขียนนาน ฉะนั้น อย่าเสียเวลา ไปอ่านกันเลยค่าา ^ ^
" หลังจากผ่านไฟลท์เดลฮีนั้นไป.. ชีวิตก็เหมือนจะโรยด้วยกลีบกุหลาบอีกครั้ง ไฟลท์ทดลอง 3-4-5 ช่างน่าประทับใจ มันเต็มไปด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ(ของเราเอง เพราะเห่อ - -")
ตอนนี้เราพร้อมบินจริงละ ช่างน่าตื่นเต้นกับตารางบินที่วาไรตี้ถึงจุดพีคอะไรเช่นนี้ คือใช่! ครบทุกทวีปใน 1 เดือน มันช่างเป็นอะไรที่น่าอัศจรรย์จิต
ไฟลท์เปิดตัวไฟลท์แรกของเราคือกรุงโตรอนโต ประเทศแคนาดา และบินกับเพื่อนร่วมชั้น! เหมือนสวรรค์บันดาล ได้บินกับคนรู้จักในไฟลท์ จะได้ไปกินข้าว และท่องเที่ยวเปิดโลกกว้างด้วยกัน ไฟลท์ยาว 14 ชั่วโมงนี่ก็ไม่ไรนะ.. ดีใจอยู่ดี คนอื่นทำไหว เราก็ต้องทำไหวสิ เห็นเค้าบอกมีให้นอนระหว่างไฟลท์ด้วย สบายเลยเรา เราเป็นคนหลับง่าย
เช่นเคย กระดี๊กระด๊าดุจกินกระทิงแดง ตื่นตี 5 ครึ่งขึ้นมาอาบน้ำแต่งตัวทำผมเพราะรถมารับ 7 โมงตรง ใจแอบตื่นเต้นระรัวที่จะได้มีตู้อาหารไว้เสิร์ฟเป็นของตัวเองครั้งแรก.. และเมื่อคิดถึงไฟลท์ ก็พลันยิ้มอ่อนในใจ
ระหว่างรอรถ ซึ่งต้องมารอ 1 ชั่วโมงครึ่งก่อนเวลาประชุม
"หวัดดี บินไปไหนน่ะ?" ฝรั่งนางหนึ่งที่นั่งรออยู่ก่อนถาม
แหม่.. เท่ห์ว่ะ นั่งรอรถทีไร เป็นต้องได้ยินคำถามนี้ในการทักทาย
"ไปโตรอนโต แล้วเธอล่ะ?" เราตอบด้วยความกระหยิ่มในใจ ว่าเราโชคดีที่ได้ไฟลท์นี้ ได้อยู่ตั้ง 2-3 วันแน่ะ คนอื่นต้องอิจฉาแน่ๆ คิคิ
คุยไปคุยมาสักพัก รถก็มา
เมื่อมาถึงสนามบิน ลากกระเป๋าอมยิ้มด้วยความเท่ห์ ผ่านด่านตรวจความปลอดภัยช่องพิเศษสำหรับแอร์ที่อยู่ด้านข้างของตัวสนามบิน
"อภิสิทธิ์ชนจริงๆเลยเรา"
หลังส่งกระเป๋าไปฝากเข้าใต้ท้องเครื่อง ก็วิ่งแจ้นเข้าห้องประชุมทันที ก็แหม.. คนมันรักงานนี่เนอะ
เมื่อถึงเวลา หัวหน้าฝรั่งผมทองรูปงามก็เดินเข้ามาให้ลูกเรือทุกคนแนะนำตัวและอธิบายรายละเอียดไฟลท์บินให้ฟัง
"ซึ่งไฟลท์นี้เต็ม!" นางกล่าวพร้อมถอนหายใจเบาๆ ในขณะที่เรากำลังฟุ้งซ่านอมยิ้มมองไปรอบๆห้อง เอ๊ะ.. มีแต่คนต่างชาติ นี่เราเป็นคนไทยคนเดียวในไฟลท์ ลึกๆก็อยากพูดภาษาไทยนะ อิอิ ไว้เวลาบ่นสนุกๆ
เมื่อวันนี้เป็นไฟลท์บินจริง ปกติลูกเรือทุกคนต้องตอบคำถามเกี่ยวกับความปลอดภัยและการปฐมพยาบาลก่อนบิน เราจึงจะได้ตอบจริงจังเป็นครั้งแรก ซึ่งเราร้อนวิชาเนื่องจากเพิ่งออกมาจากสถาบันฝึก มั่นใจสุดพลังว่าถามได้ตอบได้ยิ่งกว่าอับดุล แต่เมื่อถึงเวลาตอบจริง ปากกลับสั่น ติดอ่างจนเราแอบอาย
จบการประชุม! ได้เวลาเดินไปที่เครื่องบิน
สะบัดข้อมือดูนาฬิกา มาดูจริงๆ เรามีเวลาเช็คอุปกรณ์และรับผู้โดยสารเข้าจนเครื่องออกนี่.. อีกตั้งเกือบ 2 ชั่วโมงเลยนะ ยังไม่รวมชั่วโมงบินอีก 14 ชั่วโมง
ใจนึกซีดเบาๆ แต่เรายังเด็ก ร่างกายเราทนอยู่แล้ว เดี๋ยวถึงเวลาพักเราก็จะได้นอน ไม่เห็นมีอะไรต้องกลัว
ตั้งแต่มายืนรอรถด้วยรอยยิ้มที่เต็มปรี่จนถึงบัดนี้ จึงไม่ใช่เรื่องผิดสังเกตอะไรที่ทุกคนจะรู้ว่าเราเป็นเด็กใหม่ หรือเรียกง่ายๆว่าดูเสล่อนั่นเอง เราแอบสังเกตพี่ๆแอร์ซีเนียร์ที่นี่ ทำไมเค้าดูเพลียๆ เนือยๆ บ้างก็เครียดกันจัง ไม่ตื่นเต้นเหรอ..? อาชีพนี้จ้างเราไปเที่ยวนะ ดีออก
เมื่อได้เวลาท่านผู้โดยสารเซ็ตแรกเริ่มเดินเข้ามาในเครื่อง เราก็เกิดอาการมึนงงในใจ
นี่เรามาผิดไฟลท์เปล่าวะ..? เช็คชื่อจุดหมายปลายทางที่ตั๋ว เออ.. ก็ถูกไฟลท์นะ โตรอนโต
แต่ทำไมท่านผู้โดยสารที่แห่แหนกันเข้ามาในเครื่องล้วนแต่เป็นชาวอินเดียกับปากีสถานกันหมด ส่วนที่เป็นฝรั่งเท่าที่เดินผ่านเข้ามา นับได้ไม่เกิน 5 คนของทั้งชั้นประหยัด
ลูกเล็กเด็กแดงมากันเต็มไฟลท์ ยังไม่รวมทารกที่ที่นั่งแถวหน้า ตรงจุดติดเบาะนอนเด็กทารกอีกด้วย
แจ่มจริงๆ.. นี่เราจะได้ใช้ความรู้ที่เรียนมาในการเช็คน้ำหนักตัวเด็กและติดตั้งเบาะจริงแล้วล่ะสิ โลกสวยจัง เรายังคงยิ้มแย้มต่อไปไม่เสื่อมคลาย
เช่นกันกับไฟลท์เดลฮี ไฟเรียกลูกเรือสีเหลืองทองได้ถูกกดจากหลายที่นั่งตั้งแต่เครื่องยังไม่ทันขยับ แต่วันนี้เราจะไม่หนี.. เพราะเราคือตัวจริง ไม่ใช่เด็กฝึกหัด ปฏิบัติหน้าที่ไล่ตอบซะดีๆ
เอ่อ.. เมื่อตอบ 1 คน คนข้างหลังก็จะเรียก ตอบอีกคน ท่านที่นั่งข้างๆก็จะสะกิด ดูเหมือนหลายท่านจะหิวน้ำ หนาวจนอยากได้ผ้าห่มอีก อยากใช้เราล้างขวดนมเพราะติดอุ้มลูก อยากได้นมใส่ขวดให้ลูกกิน และอีกสารพัดปัญหามากมาย
การจะเดินผ่านจากชั้นประหยัดแถวแรกไปจนถึงแถวสุดท้ายนี่ช่างยากแสน อุปสรรคมันเยอะเหลือเกิน ไม่แปลกใจที่พี่สจ๊วตอีกฝั่งถึงกับเดินมั่นหน้าด้วยความเร็วสูงเหมือนกำลังจ้องมองอะไรอยู่ที่ปลายเครื่อง จนพี่แกไม่มองใครเลย
ส่วนเรานั้นเดินหยุดยิ้มให้กับทุกคนงี้.. จะเหลือเหรอ
แต่เค้าจ้างให้มาทำงาน เราก็จะทำเต็มที่ เฮ้!
เมื่อวิดีโอรักษาความปลอดภัยถูกเปิด สิ่งที่ลูกเรือทำก็คือเมาท์มอย จนได้ข้อมูลข่าวกรองจากซีเนียร์ชาวเคนยาท่านหนึ่งว่า ไฟลท์ที่ไปแคนาดากับอเมริกาของสายการบินตะวันออกกลางนี้ ช่างมีความคล้ายคลึงถึงเหมือนกับไฟลท์ไปเดลฮีหรือบอมเบย์ซะทีเดียว ต่างกันก็เพียงแต่มีระยะเวลายาวนานกว่าถึง 5-6 เท่า
โอ้โห.. นี่ข่าวดีจริงๆ - บัดนี้ เสมือนได้มีคนมาจุดไฟเผาทุ่งดอกคาร์เนชั่นอันงดงามในใจเราให้วอดไปจนหมดสิ้นแล้ว เหลือเพียงแต่ตอตะโก
สวดมนต์ดีกว่าระหว่างเครื่องขึ้น เผื่อผ่อนหนักให้เป็นเบา เราคิดในใจ
สัญญาณรัดเข็มขัดดับ ได้เวลาเปลี่ยนเป็นชุดกันเปื้อน
"อาชีพนี้เราต้องสวย.. ขอเข้าห้องน้ำดูกระจกแพรพนะ"
พอเปิดประตูออกมา ก็เห็นผู้โดยสารยืนรอต่อคิวห้องน้ำกันแล้ว เราจึงรู้สึกผิดเล็กๆ เลยรีบเดินเข้าไปในครัวเพื่อทำงาน
และพบว่า.. ไฟลท์นี้มีอาหารพิเศษที่ท่านผู้โดยสารรีเควสมากว่าร้อยถาด จากจำนวน 244 ที่นั่ง
ซึ่งทุกถาด เราจะต้องเสิร์ฟรายบุคคลก่อนการเสิร์ฟด้วยตู้อาหารรวม
แจ่มว้าว.. เปิดไฟลท์ได้ดี!
ส่วนใหญ่ อาหารพิเศษที่ขอกันมาจะเป็นอาหารเจ รองลงมาก็คืออาหารฮินดู(ไม่มีเนื้อวัว)
ดีสิ! เสิร์ฟอาหารเจ อาหารบุญของคนถือศีล ใครจะบ่นก็บ่นไป แต่เราไม่บ่น
นอกจากจะเดินกันอลหม่านไปๆกลับๆนับสิบรอบแล้ว ยังพบว่า ท่านผู้โดยสาร 2-3 คนแจ้งว่า ไก่ในเมนูชื่อน่ากินกว่า ขอกินไก่แทนได้มั้ย และอีกราว 2 ท่านตีเนียน บอกไม่ได้สั่งอาหารเจ จะกินไก่ จนเราต้องขอดูตั๋ว ท่านจึงยอมรับอาหารไปแต่โดยดี
"อาหารมันโหลดมาพอดีค่ะ จะให้ทุกท่านเปลี่ยนตามอำเภอใจ แล้วคนที่รอเราเสิร์ฟอยู่ล่ะคะ จะทำยังไง?" พูดอธิบายไปมาอยู่นานกว่าจะได้เดินไปลากตู้ถาดอาหารมาเสิร์ฟซะที
เอาเข้าจริง พอมาเข็นอีตู้อาหารนี้คนเดียวมันหนักจังเลยนะ ท่านผู้โดยสารโปรดอย่ายื่นแขน ยื่นขา และหัวออกมาเลย ได้โปรด กราบบ
เสิร์ฟเสร็จไป 4 แถว เสมือนตัวเลือกในเมนูนั้นมีแต่ไก่ ส่วนปลา กับพาสต้าไม่มีใครเอา
ถึงหน้าเราจะเริ่มซีดเล็กๆ แต่เราจะไม่โทษใคร เทคนิคการขายเราอาจจะยังไม่ดี เราจึงเริ่มพยายามชงว่าปลานั้นอร่อยมากมาย จนเริ่มมีคนเอาปลาซะที
แต่กระนั้นก็ตาม ไก่หมด ไม่พอเสิร์ฟ แม้จะพยายามขโมยจากเพื่อนแล้วก็ตาม เมื่อเสิร์ฟไปถึงแถวท้ายๆ จึงเป็นการเสิร์ฟไป ขอโทษไป เสิร์ฟไป อธิบายไปจนเหมือนแผ่นเสียงตกร่อง
นึกย้อนเวลากลับไปสมัยอยู่ไทย เรานี่เก่งมากนะเรื่องเบะปาก เอาศอกหนี รังเกียจทิชชู่ใช้แล้วบนโต๊ะที่ร้านอาหาร
"อี๋ สกปรกอ่ะ.. น้ำมูกรึเปล่า น้ำลายใครก็ไม่รู้ เรียกเค้ามาเช็ดโต๊ะทีสิ ทำไมไม่เช็ดโต๊ะเนี่ย"
บัดนี้ ณ ยามเคลียร์ถาด สิ่งที่เราต้องทำแข่งกับเวลา ก็คือการยัดถาดและขยะทุกอย่างกลับคืนตู้อาหารอย่างรวดเร็ว เนื่องจากขณะนี้มีคนนับร้อยมองเราอยู่ พร้อมเปรียบเทียบสปีดการเก็บถาดของเรากับพี่สจ๊วตอีกฝั่ง
จุดนี้คือพี่ต้องจับ จะทิชชู่ ไม้จิ้มฟัน แก้วน้ำมันๆมีข้าวติด จัดมาให้หมดเลย ทั้งก้มทั้งเงย และเคลียร์แก้วออกจากถาด
จากที่เคยกลัวจับจิต บัดนี้ ดิชั้นกลับสูดดมเศษอาหารในระยะประชิดโดยไม่รู้สึกอะไร
พอเคลียร์เสร็จ เก็บของ ดูเวลาอีกทีหมดไปแล้วก็เกือบ 3 ชั่วโมง
เหลือบเห็นกระจกตกใจ เหมือนวิ่งลงตุ่มบ้านผีปอบมาจนโทรมดูไม่เหลือเค้าแอร์
และแล้วก็ถึงเวลานอน..
ต่อคิวห้องน้ำเจตนาเข้าไปล้างมือล้างหน้าแปรงฟัน แต่สรุปคือต้องเข้าไปล้างห้องน้ำ เพราะเมื่อสกปรก หน้าที่เราก็ต้องทำความสะอาด เช็ดพื้นที่เปียก เติมกระดาษ เติมของที่ขาด แล้วเราจึงจะได้ทำธุระส่วนตัว
ด้วยความใหม่จึงละเมียดละไมเปลี่ยนชุดนอน แกะผมมวย ลบเครื่องสำอาง และจึงตั้งนาฬิกาปลุก โอ้โห เหลือเวลานอนอีกแค่ 2 ชั่วโมงครึ่ง
.. ไม่สิ ไหนจะต้องตื่นมาเปลี่ยนชุด ทำผม แต่งหน้าอีกล่ะ นอนหลับมั้ยฟระตู
ดูนาฬิกา บ่ายสาม! ใครจะไปหลับ! พยายามข่มตาเท่าไหร่ก็ไม่หลับ และเมื่อถึงตอนจะหลับ ก็ได้เวลาตื่น
เยี่ยมที่สุด! ไม่ต้องนอนมันซะเลย
กลับขึ้นมาทำงาน มืดสนิท หน้าต่างทุกบานถูกปิด และคุณหัวหน้าดับไฟให้ผู้โดยสารท่านได้นอน แต่บ่ายแก่ๆแบบนี้ ใครล่ะจะนอนได้
อ่ะ.. เดินเสิร์ฟน้ำ เดินเช็คห้องน้ำ ได้เวลาเสิร์ฟแซนด์วิช แล้วไปเคลียร์ขยะ ครบละครึ่งชั่วโมงก็ไปเดินเสิร์ฟน้ำ เดินเช็คห้องน้ำ ได้เวลาเสิร์ฟไอติม แล้วเคลียร์ขยะ เดินวนไปมา สวนกับปุ่มกดเรียกลูกเรือที่ถูกกดเป็นพักๆ นี่ถ้าอยู่บนลู่วิ่งนี่คงเบิร์นไปหลายกิโลแคลเลยทีเดียว
กว่าลูกเรือกะสองจะขึ้นมาและได้เวลาเสิร์ฟมื้อสุดท้ายก่อนเครื่องแลนด์ก็เกือบห้าทุ่มอาบูดาบี ท่านผู้โดยสารก็เริ่มหลับสนิทกันไปเพราะได้เวลานอน
รวมทั้งเรา..
ตาจะปิด พ่อแก้วแม่แก้วช่วยด้วย เหนื่อยเหลือเกิน
ไม่ต้องถึงพ่อแม่ กาแฟช่วยได้! จัดไป 2 ซอง ไม่งั้นคงเสิร์ฟแบบงงๆ ไม่ก็หลับตอนเครื่องลงแน่ๆ แถมที่นั่งก็ประจันหน้ากับผู้โดยสารขนาดนั้น
ทำงานจนไม่รู้เวลา รู้แต่หัวชากับแสงอาทิตย์ปะทะเกล็ดหิมะที่ส่องยามเดินไปขึ้นรถตู้หลังออกจากสนามบิน
"กี่โมงน่ะเธอตอนนี้?"
เพื่อนเอ่ย "4 โมงเย็นนะเธอ จะ 5 โมงเอง ไปกินข้าวกันดีกว่า" เพื่อนชาวจีนนอร์เวย์ยิ้มอ่อน
เหลือบดูนาฬิกาข้อมือตัวเอง ตี 2 อาบูดาบี บ้า!ใครจะไปกินลง ง่วงนอนจะตาย อยู่ยาวมา 20 กว่าชั่วโมง เรานึกฉุนในใจ
แต่เพื่อนเหมือนมีจิตสัมผัส รู้สิ่งที่เราคิดในใจ จึงอธิบายเสริม
"เธอมีเวลาที่นี่แค่ 2 วันกว่า ถ้าเธอนอนตอนนี้ เธอก็จะไปตื่นเอากลางดึก และเธอก็จะทำอะไรไม่ได้เลยในวันถัดไป มาเสียเที่ยวนะ ดังนั้น เธอต้องห้ามนอน เธอต้องไปนอนเอาตอนดึกแทน"
เออน่ะ.. มีเหตุผล!
เปลี่ยนเสื้อผ้า หน้าช่างมัน ใต้ตาดำ ปากแดงแป๋แต่เราไม่อาย เพราะจุดนี้เราไม่มีแรงแล้ว รีบออกไปกินข้าวเย็นเพื่อฝืนถ่างตาให้ถึง 3 ทุ่มตามเพื่อนแนะนำ
ท้องอืดเล็กๆ มึนหน่อยๆ หิมะก็ตก แต่ยังยิ้มหัวเราะเมาท์มอยกับเพื่อนได้
พอถึงเวลา กลับมาอาบน้ำล้างหน้า กระโดดขึ้นเตียง เตรียมนอน ดีใจ!
กล้ามเนื้อขามันกระตุกๆ หลังมันร้าวไปหมด และหัวมันชาๆ
แล้วที่สำคัญ นอนไม่หลับ!
เพราะที่อาบูมันคือเช้า เท่ากับเวลาที่เราตื่นเมื่อวาน แล้วตอนนี้.. ฉันจะทำอย่างไร สวดมนต์ก็ไม่ได้เพราะสมองไม่ทำงาน
เงียบสนิท จนไม่รู้ว่าหลับไปเมื่อไร ใจลึกๆอยากให้มันเป็นเตียงที่บ้าน อยากเล่าให้ครอบครัวฟัง ว่าวันนี้หนูไปเจออะไรมาบ้าง และหนูเหนื่อยมากเลย.. Zzzz..
ราตรีสวัสดิ์นะคะทุกคน 🌙 "
ยาวววมาก ตอน 2 นี้.. เพราะเป็นไฟลท์แรก เจ้าของกระทู้เลยเก็บทุกเม็ด ใครอ่านจบนี่ขอคาราวะเลยค่ะ ^ ^
อยากให้เห็นใจหน้าที่แอร์โฮสเตสกันเยอะๆนะคะ เพราะจริงๆแล้ว งานนี้ไม่ใช่อะไรที่ง่ายอย่างที่หลายคนเข้าใจเลย เราต่างต้องแลกด้วยสุขภาพและความอดทนจริงๆ
แล้วตอนหน้าจะเป็นอย่างไร เราจะกล้าหักปีกที่เคยไฝ่ฝันไล่ล่ามา แล้วกลับบ้านเลยหรือไม่ จะเขียนเป็นตอนๆทยอยลงให้ได้ชมกันนะคะ
วันนี้ขอขอบคุณที่ติดตามค่ะ ^ ^ ขอสวัสดีเพียงเท่านี้
ปล. ลืมแปะลิงค์ภาค 2 ไว้ให้ค่าา ^ ^
ลิงค์ " เรื่องเล่าแอร์โฮสเตสตะวันออกกลาง : ฝันที่เป็นจริงหรือภาพลวงตา ✈️✨ " ลองกดได้เลยนะคะที่
http://www.ppantip.com/topic/34504171?
ส่วนใครยังไม่ได้อ่านกระทู้แรกสุด "แกคือคนสุดท้ายในรุ่นที่ชั้นจะคิดว่าได้เป็นแอร์" ..จากคำสบประมาท สู่ฝันแอร์โฮสเตสสายการบินตะวันออกกลาง"
ชมได้เลยนะคะที่
http://www.ppantip.com/topic/34273378
หรือฉันจะไม่ใช่นางฟ้า ? .. (ภาคต่อ " เรื่องเล่าแอร์โฮสเตสตะวันออกกลาง : ฝันที่เป็นจริงหรือภาพลวงตา ✈️✨ ")
เจ้าของกระทู้รวบรวมสมาธิเขียนนาน ฉะนั้น อย่าเสียเวลา ไปอ่านกันเลยค่าา ^ ^
" หลังจากผ่านไฟลท์เดลฮีนั้นไป.. ชีวิตก็เหมือนจะโรยด้วยกลีบกุหลาบอีกครั้ง ไฟลท์ทดลอง 3-4-5 ช่างน่าประทับใจ มันเต็มไปด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ(ของเราเอง เพราะเห่อ - -")
ตอนนี้เราพร้อมบินจริงละ ช่างน่าตื่นเต้นกับตารางบินที่วาไรตี้ถึงจุดพีคอะไรเช่นนี้ คือใช่! ครบทุกทวีปใน 1 เดือน มันช่างเป็นอะไรที่น่าอัศจรรย์จิต
ไฟลท์เปิดตัวไฟลท์แรกของเราคือกรุงโตรอนโต ประเทศแคนาดา และบินกับเพื่อนร่วมชั้น! เหมือนสวรรค์บันดาล ได้บินกับคนรู้จักในไฟลท์ จะได้ไปกินข้าว และท่องเที่ยวเปิดโลกกว้างด้วยกัน ไฟลท์ยาว 14 ชั่วโมงนี่ก็ไม่ไรนะ.. ดีใจอยู่ดี คนอื่นทำไหว เราก็ต้องทำไหวสิ เห็นเค้าบอกมีให้นอนระหว่างไฟลท์ด้วย สบายเลยเรา เราเป็นคนหลับง่าย
เช่นเคย กระดี๊กระด๊าดุจกินกระทิงแดง ตื่นตี 5 ครึ่งขึ้นมาอาบน้ำแต่งตัวทำผมเพราะรถมารับ 7 โมงตรง ใจแอบตื่นเต้นระรัวที่จะได้มีตู้อาหารไว้เสิร์ฟเป็นของตัวเองครั้งแรก.. และเมื่อคิดถึงไฟลท์ ก็พลันยิ้มอ่อนในใจ
ระหว่างรอรถ ซึ่งต้องมารอ 1 ชั่วโมงครึ่งก่อนเวลาประชุม
"หวัดดี บินไปไหนน่ะ?" ฝรั่งนางหนึ่งที่นั่งรออยู่ก่อนถาม
แหม่.. เท่ห์ว่ะ นั่งรอรถทีไร เป็นต้องได้ยินคำถามนี้ในการทักทาย
"ไปโตรอนโต แล้วเธอล่ะ?" เราตอบด้วยความกระหยิ่มในใจ ว่าเราโชคดีที่ได้ไฟลท์นี้ ได้อยู่ตั้ง 2-3 วันแน่ะ คนอื่นต้องอิจฉาแน่ๆ คิคิ
คุยไปคุยมาสักพัก รถก็มา
เมื่อมาถึงสนามบิน ลากกระเป๋าอมยิ้มด้วยความเท่ห์ ผ่านด่านตรวจความปลอดภัยช่องพิเศษสำหรับแอร์ที่อยู่ด้านข้างของตัวสนามบิน
"อภิสิทธิ์ชนจริงๆเลยเรา"
หลังส่งกระเป๋าไปฝากเข้าใต้ท้องเครื่อง ก็วิ่งแจ้นเข้าห้องประชุมทันที ก็แหม.. คนมันรักงานนี่เนอะ
เมื่อถึงเวลา หัวหน้าฝรั่งผมทองรูปงามก็เดินเข้ามาให้ลูกเรือทุกคนแนะนำตัวและอธิบายรายละเอียดไฟลท์บินให้ฟัง
"ซึ่งไฟลท์นี้เต็ม!" นางกล่าวพร้อมถอนหายใจเบาๆ ในขณะที่เรากำลังฟุ้งซ่านอมยิ้มมองไปรอบๆห้อง เอ๊ะ.. มีแต่คนต่างชาติ นี่เราเป็นคนไทยคนเดียวในไฟลท์ ลึกๆก็อยากพูดภาษาไทยนะ อิอิ ไว้เวลาบ่นสนุกๆ
เมื่อวันนี้เป็นไฟลท์บินจริง ปกติลูกเรือทุกคนต้องตอบคำถามเกี่ยวกับความปลอดภัยและการปฐมพยาบาลก่อนบิน เราจึงจะได้ตอบจริงจังเป็นครั้งแรก ซึ่งเราร้อนวิชาเนื่องจากเพิ่งออกมาจากสถาบันฝึก มั่นใจสุดพลังว่าถามได้ตอบได้ยิ่งกว่าอับดุล แต่เมื่อถึงเวลาตอบจริง ปากกลับสั่น ติดอ่างจนเราแอบอาย
จบการประชุม! ได้เวลาเดินไปที่เครื่องบิน
สะบัดข้อมือดูนาฬิกา มาดูจริงๆ เรามีเวลาเช็คอุปกรณ์และรับผู้โดยสารเข้าจนเครื่องออกนี่.. อีกตั้งเกือบ 2 ชั่วโมงเลยนะ ยังไม่รวมชั่วโมงบินอีก 14 ชั่วโมง
ใจนึกซีดเบาๆ แต่เรายังเด็ก ร่างกายเราทนอยู่แล้ว เดี๋ยวถึงเวลาพักเราก็จะได้นอน ไม่เห็นมีอะไรต้องกลัว
ตั้งแต่มายืนรอรถด้วยรอยยิ้มที่เต็มปรี่จนถึงบัดนี้ จึงไม่ใช่เรื่องผิดสังเกตอะไรที่ทุกคนจะรู้ว่าเราเป็นเด็กใหม่ หรือเรียกง่ายๆว่าดูเสล่อนั่นเอง เราแอบสังเกตพี่ๆแอร์ซีเนียร์ที่นี่ ทำไมเค้าดูเพลียๆ เนือยๆ บ้างก็เครียดกันจัง ไม่ตื่นเต้นเหรอ..? อาชีพนี้จ้างเราไปเที่ยวนะ ดีออก
เมื่อได้เวลาท่านผู้โดยสารเซ็ตแรกเริ่มเดินเข้ามาในเครื่อง เราก็เกิดอาการมึนงงในใจ
นี่เรามาผิดไฟลท์เปล่าวะ..? เช็คชื่อจุดหมายปลายทางที่ตั๋ว เออ.. ก็ถูกไฟลท์นะ โตรอนโต
แต่ทำไมท่านผู้โดยสารที่แห่แหนกันเข้ามาในเครื่องล้วนแต่เป็นชาวอินเดียกับปากีสถานกันหมด ส่วนที่เป็นฝรั่งเท่าที่เดินผ่านเข้ามา นับได้ไม่เกิน 5 คนของทั้งชั้นประหยัด
ลูกเล็กเด็กแดงมากันเต็มไฟลท์ ยังไม่รวมทารกที่ที่นั่งแถวหน้า ตรงจุดติดเบาะนอนเด็กทารกอีกด้วย
แจ่มจริงๆ.. นี่เราจะได้ใช้ความรู้ที่เรียนมาในการเช็คน้ำหนักตัวเด็กและติดตั้งเบาะจริงแล้วล่ะสิ โลกสวยจัง เรายังคงยิ้มแย้มต่อไปไม่เสื่อมคลาย
เช่นกันกับไฟลท์เดลฮี ไฟเรียกลูกเรือสีเหลืองทองได้ถูกกดจากหลายที่นั่งตั้งแต่เครื่องยังไม่ทันขยับ แต่วันนี้เราจะไม่หนี.. เพราะเราคือตัวจริง ไม่ใช่เด็กฝึกหัด ปฏิบัติหน้าที่ไล่ตอบซะดีๆ
เอ่อ.. เมื่อตอบ 1 คน คนข้างหลังก็จะเรียก ตอบอีกคน ท่านที่นั่งข้างๆก็จะสะกิด ดูเหมือนหลายท่านจะหิวน้ำ หนาวจนอยากได้ผ้าห่มอีก อยากใช้เราล้างขวดนมเพราะติดอุ้มลูก อยากได้นมใส่ขวดให้ลูกกิน และอีกสารพัดปัญหามากมาย
การจะเดินผ่านจากชั้นประหยัดแถวแรกไปจนถึงแถวสุดท้ายนี่ช่างยากแสน อุปสรรคมันเยอะเหลือเกิน ไม่แปลกใจที่พี่สจ๊วตอีกฝั่งถึงกับเดินมั่นหน้าด้วยความเร็วสูงเหมือนกำลังจ้องมองอะไรอยู่ที่ปลายเครื่อง จนพี่แกไม่มองใครเลย
ส่วนเรานั้นเดินหยุดยิ้มให้กับทุกคนงี้.. จะเหลือเหรอ
แต่เค้าจ้างให้มาทำงาน เราก็จะทำเต็มที่ เฮ้!
เมื่อวิดีโอรักษาความปลอดภัยถูกเปิด สิ่งที่ลูกเรือทำก็คือเมาท์มอย จนได้ข้อมูลข่าวกรองจากซีเนียร์ชาวเคนยาท่านหนึ่งว่า ไฟลท์ที่ไปแคนาดากับอเมริกาของสายการบินตะวันออกกลางนี้ ช่างมีความคล้ายคลึงถึงเหมือนกับไฟลท์ไปเดลฮีหรือบอมเบย์ซะทีเดียว ต่างกันก็เพียงแต่มีระยะเวลายาวนานกว่าถึง 5-6 เท่า
โอ้โห.. นี่ข่าวดีจริงๆ - บัดนี้ เสมือนได้มีคนมาจุดไฟเผาทุ่งดอกคาร์เนชั่นอันงดงามในใจเราให้วอดไปจนหมดสิ้นแล้ว เหลือเพียงแต่ตอตะโก
สวดมนต์ดีกว่าระหว่างเครื่องขึ้น เผื่อผ่อนหนักให้เป็นเบา เราคิดในใจ
สัญญาณรัดเข็มขัดดับ ได้เวลาเปลี่ยนเป็นชุดกันเปื้อน
"อาชีพนี้เราต้องสวย.. ขอเข้าห้องน้ำดูกระจกแพรพนะ"
พอเปิดประตูออกมา ก็เห็นผู้โดยสารยืนรอต่อคิวห้องน้ำกันแล้ว เราจึงรู้สึกผิดเล็กๆ เลยรีบเดินเข้าไปในครัวเพื่อทำงาน
และพบว่า.. ไฟลท์นี้มีอาหารพิเศษที่ท่านผู้โดยสารรีเควสมากว่าร้อยถาด จากจำนวน 244 ที่นั่ง
ซึ่งทุกถาด เราจะต้องเสิร์ฟรายบุคคลก่อนการเสิร์ฟด้วยตู้อาหารรวม
แจ่มว้าว.. เปิดไฟลท์ได้ดี!
ส่วนใหญ่ อาหารพิเศษที่ขอกันมาจะเป็นอาหารเจ รองลงมาก็คืออาหารฮินดู(ไม่มีเนื้อวัว)
ดีสิ! เสิร์ฟอาหารเจ อาหารบุญของคนถือศีล ใครจะบ่นก็บ่นไป แต่เราไม่บ่น
นอกจากจะเดินกันอลหม่านไปๆกลับๆนับสิบรอบแล้ว ยังพบว่า ท่านผู้โดยสาร 2-3 คนแจ้งว่า ไก่ในเมนูชื่อน่ากินกว่า ขอกินไก่แทนได้มั้ย และอีกราว 2 ท่านตีเนียน บอกไม่ได้สั่งอาหารเจ จะกินไก่ จนเราต้องขอดูตั๋ว ท่านจึงยอมรับอาหารไปแต่โดยดี
"อาหารมันโหลดมาพอดีค่ะ จะให้ทุกท่านเปลี่ยนตามอำเภอใจ แล้วคนที่รอเราเสิร์ฟอยู่ล่ะคะ จะทำยังไง?" พูดอธิบายไปมาอยู่นานกว่าจะได้เดินไปลากตู้ถาดอาหารมาเสิร์ฟซะที
เอาเข้าจริง พอมาเข็นอีตู้อาหารนี้คนเดียวมันหนักจังเลยนะ ท่านผู้โดยสารโปรดอย่ายื่นแขน ยื่นขา และหัวออกมาเลย ได้โปรด กราบบ
เสิร์ฟเสร็จไป 4 แถว เสมือนตัวเลือกในเมนูนั้นมีแต่ไก่ ส่วนปลา กับพาสต้าไม่มีใครเอา
ถึงหน้าเราจะเริ่มซีดเล็กๆ แต่เราจะไม่โทษใคร เทคนิคการขายเราอาจจะยังไม่ดี เราจึงเริ่มพยายามชงว่าปลานั้นอร่อยมากมาย จนเริ่มมีคนเอาปลาซะที
แต่กระนั้นก็ตาม ไก่หมด ไม่พอเสิร์ฟ แม้จะพยายามขโมยจากเพื่อนแล้วก็ตาม เมื่อเสิร์ฟไปถึงแถวท้ายๆ จึงเป็นการเสิร์ฟไป ขอโทษไป เสิร์ฟไป อธิบายไปจนเหมือนแผ่นเสียงตกร่อง
นึกย้อนเวลากลับไปสมัยอยู่ไทย เรานี่เก่งมากนะเรื่องเบะปาก เอาศอกหนี รังเกียจทิชชู่ใช้แล้วบนโต๊ะที่ร้านอาหาร
"อี๋ สกปรกอ่ะ.. น้ำมูกรึเปล่า น้ำลายใครก็ไม่รู้ เรียกเค้ามาเช็ดโต๊ะทีสิ ทำไมไม่เช็ดโต๊ะเนี่ย"
บัดนี้ ณ ยามเคลียร์ถาด สิ่งที่เราต้องทำแข่งกับเวลา ก็คือการยัดถาดและขยะทุกอย่างกลับคืนตู้อาหารอย่างรวดเร็ว เนื่องจากขณะนี้มีคนนับร้อยมองเราอยู่ พร้อมเปรียบเทียบสปีดการเก็บถาดของเรากับพี่สจ๊วตอีกฝั่ง
จุดนี้คือพี่ต้องจับ จะทิชชู่ ไม้จิ้มฟัน แก้วน้ำมันๆมีข้าวติด จัดมาให้หมดเลย ทั้งก้มทั้งเงย และเคลียร์แก้วออกจากถาด
จากที่เคยกลัวจับจิต บัดนี้ ดิชั้นกลับสูดดมเศษอาหารในระยะประชิดโดยไม่รู้สึกอะไร
พอเคลียร์เสร็จ เก็บของ ดูเวลาอีกทีหมดไปแล้วก็เกือบ 3 ชั่วโมง
เหลือบเห็นกระจกตกใจ เหมือนวิ่งลงตุ่มบ้านผีปอบมาจนโทรมดูไม่เหลือเค้าแอร์
และแล้วก็ถึงเวลานอน..
ต่อคิวห้องน้ำเจตนาเข้าไปล้างมือล้างหน้าแปรงฟัน แต่สรุปคือต้องเข้าไปล้างห้องน้ำ เพราะเมื่อสกปรก หน้าที่เราก็ต้องทำความสะอาด เช็ดพื้นที่เปียก เติมกระดาษ เติมของที่ขาด แล้วเราจึงจะได้ทำธุระส่วนตัว
ด้วยความใหม่จึงละเมียดละไมเปลี่ยนชุดนอน แกะผมมวย ลบเครื่องสำอาง และจึงตั้งนาฬิกาปลุก โอ้โห เหลือเวลานอนอีกแค่ 2 ชั่วโมงครึ่ง
.. ไม่สิ ไหนจะต้องตื่นมาเปลี่ยนชุด ทำผม แต่งหน้าอีกล่ะ นอนหลับมั้ยฟระตู
ดูนาฬิกา บ่ายสาม! ใครจะไปหลับ! พยายามข่มตาเท่าไหร่ก็ไม่หลับ และเมื่อถึงตอนจะหลับ ก็ได้เวลาตื่น
เยี่ยมที่สุด! ไม่ต้องนอนมันซะเลย
กลับขึ้นมาทำงาน มืดสนิท หน้าต่างทุกบานถูกปิด และคุณหัวหน้าดับไฟให้ผู้โดยสารท่านได้นอน แต่บ่ายแก่ๆแบบนี้ ใครล่ะจะนอนได้
อ่ะ.. เดินเสิร์ฟน้ำ เดินเช็คห้องน้ำ ได้เวลาเสิร์ฟแซนด์วิช แล้วไปเคลียร์ขยะ ครบละครึ่งชั่วโมงก็ไปเดินเสิร์ฟน้ำ เดินเช็คห้องน้ำ ได้เวลาเสิร์ฟไอติม แล้วเคลียร์ขยะ เดินวนไปมา สวนกับปุ่มกดเรียกลูกเรือที่ถูกกดเป็นพักๆ นี่ถ้าอยู่บนลู่วิ่งนี่คงเบิร์นไปหลายกิโลแคลเลยทีเดียว
กว่าลูกเรือกะสองจะขึ้นมาและได้เวลาเสิร์ฟมื้อสุดท้ายก่อนเครื่องแลนด์ก็เกือบห้าทุ่มอาบูดาบี ท่านผู้โดยสารก็เริ่มหลับสนิทกันไปเพราะได้เวลานอน
รวมทั้งเรา..
ตาจะปิด พ่อแก้วแม่แก้วช่วยด้วย เหนื่อยเหลือเกิน
ไม่ต้องถึงพ่อแม่ กาแฟช่วยได้! จัดไป 2 ซอง ไม่งั้นคงเสิร์ฟแบบงงๆ ไม่ก็หลับตอนเครื่องลงแน่ๆ แถมที่นั่งก็ประจันหน้ากับผู้โดยสารขนาดนั้น
ทำงานจนไม่รู้เวลา รู้แต่หัวชากับแสงอาทิตย์ปะทะเกล็ดหิมะที่ส่องยามเดินไปขึ้นรถตู้หลังออกจากสนามบิน
"กี่โมงน่ะเธอตอนนี้?"
เพื่อนเอ่ย "4 โมงเย็นนะเธอ จะ 5 โมงเอง ไปกินข้าวกันดีกว่า" เพื่อนชาวจีนนอร์เวย์ยิ้มอ่อน
เหลือบดูนาฬิกาข้อมือตัวเอง ตี 2 อาบูดาบี บ้า!ใครจะไปกินลง ง่วงนอนจะตาย อยู่ยาวมา 20 กว่าชั่วโมง เรานึกฉุนในใจ
แต่เพื่อนเหมือนมีจิตสัมผัส รู้สิ่งที่เราคิดในใจ จึงอธิบายเสริม
"เธอมีเวลาที่นี่แค่ 2 วันกว่า ถ้าเธอนอนตอนนี้ เธอก็จะไปตื่นเอากลางดึก และเธอก็จะทำอะไรไม่ได้เลยในวันถัดไป มาเสียเที่ยวนะ ดังนั้น เธอต้องห้ามนอน เธอต้องไปนอนเอาตอนดึกแทน"
เออน่ะ.. มีเหตุผล!
เปลี่ยนเสื้อผ้า หน้าช่างมัน ใต้ตาดำ ปากแดงแป๋แต่เราไม่อาย เพราะจุดนี้เราไม่มีแรงแล้ว รีบออกไปกินข้าวเย็นเพื่อฝืนถ่างตาให้ถึง 3 ทุ่มตามเพื่อนแนะนำ
ท้องอืดเล็กๆ มึนหน่อยๆ หิมะก็ตก แต่ยังยิ้มหัวเราะเมาท์มอยกับเพื่อนได้
พอถึงเวลา กลับมาอาบน้ำล้างหน้า กระโดดขึ้นเตียง เตรียมนอน ดีใจ!
กล้ามเนื้อขามันกระตุกๆ หลังมันร้าวไปหมด และหัวมันชาๆ
แล้วที่สำคัญ นอนไม่หลับ!
เพราะที่อาบูมันคือเช้า เท่ากับเวลาที่เราตื่นเมื่อวาน แล้วตอนนี้.. ฉันจะทำอย่างไร สวดมนต์ก็ไม่ได้เพราะสมองไม่ทำงาน
เงียบสนิท จนไม่รู้ว่าหลับไปเมื่อไร ใจลึกๆอยากให้มันเป็นเตียงที่บ้าน อยากเล่าให้ครอบครัวฟัง ว่าวันนี้หนูไปเจออะไรมาบ้าง และหนูเหนื่อยมากเลย.. Zzzz..
ราตรีสวัสดิ์นะคะทุกคน 🌙 "
ยาวววมาก ตอน 2 นี้.. เพราะเป็นไฟลท์แรก เจ้าของกระทู้เลยเก็บทุกเม็ด ใครอ่านจบนี่ขอคาราวะเลยค่ะ ^ ^
อยากให้เห็นใจหน้าที่แอร์โฮสเตสกันเยอะๆนะคะ เพราะจริงๆแล้ว งานนี้ไม่ใช่อะไรที่ง่ายอย่างที่หลายคนเข้าใจเลย เราต่างต้องแลกด้วยสุขภาพและความอดทนจริงๆ
แล้วตอนหน้าจะเป็นอย่างไร เราจะกล้าหักปีกที่เคยไฝ่ฝันไล่ล่ามา แล้วกลับบ้านเลยหรือไม่ จะเขียนเป็นตอนๆทยอยลงให้ได้ชมกันนะคะ
วันนี้ขอขอบคุณที่ติดตามค่ะ ^ ^ ขอสวัสดีเพียงเท่านี้
ปล. ลืมแปะลิงค์ภาค 2 ไว้ให้ค่าา ^ ^
ลิงค์ " เรื่องเล่าแอร์โฮสเตสตะวันออกกลาง : ฝันที่เป็นจริงหรือภาพลวงตา ✈️✨ " ลองกดได้เลยนะคะที่
http://www.ppantip.com/topic/34504171?
ส่วนใครยังไม่ได้อ่านกระทู้แรกสุด "แกคือคนสุดท้ายในรุ่นที่ชั้นจะคิดว่าได้เป็นแอร์" ..จากคำสบประมาท สู่ฝันแอร์โฮสเตสสายการบินตะวันออกกลาง"
ชมได้เลยนะคะที่
http://www.ppantip.com/topic/34273378